ตอนที่ 77 สงคราม
ระหว่างที่จักรพรรดิทั้งสาม และจอมราชันย์ทั้งสิบก้าวเดินออกมาทีละคนนั้น เหล่าอสูรกายต่างก็พากันหันไปมอง ทั้งหมดยืนแน่นิ่งแต่จิตใจอยู่ในสภาพตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
“ชนเผ่าอสูรกายผู้กล้าหาญทั้งหลาย!! ข้ามีความสุขยิ่งนักที่ได้เห็นพวกเจ้าทุกคนตื่นเต้นกับสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้ และสมัครใจที่จะเข้าร่วมเป็นกองกำลังต่อสู้โดยมิต้องคัดเกณฑ์แต่อย่างใด ในมหาสงครามครั้งก่อนพวกเราได้พ่ายแพ้ในสงคราม แต่ครานี้.. ได้เวลาที่พวกเราเหล่าอสูรกายจักต้องแก้แค้นคืนแล้ว!!”
จักรพรรดิเชนเทียประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว แม้เขาจักกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มิได้ดังนัก แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปาก เหล่าอสูรกายต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“ข้ากล่าวคำว่า ‘แก้แค้น’ ย่อมมิได้หมายถึงชนเผ่าอื่นๆที่พวกเจ้ากำลังนึกถึงเท่านั้น! แต่ข้าหมายถึงการแก้แค้นเจ้าปีศาจร้ายที่เข่นฆ่าเหล่าอสูรกายผู้บริสุทธิ์ของเผ่าเราไปมากมายในมหาสงครามครั้งสุดท้าย! ลูกหลานของเราหลายคนต้องเติบโตมาโดยไร้ซึ่งครอบครัว ปีศาจตนนั้นเข่นฆ่าพวกเราเพียงเพื่อความสุขสนุกของมัน เพราะมันมิใช่หรือ.. พวกเราเหล่าอสูรกายทั้งหลายจึงต้องอยู่อย่างหวาดผวามานาน และปีศาจร้ายที่ข้ากำลังพูดจักเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากมนุษย์ผู้มีนามว่าเทียนเฉิน!!”
จักรพรรดิทารัสกล่าวด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และทันทีที่สิ้นคำพูดของจักรพรรดิทารัส เสียงพูดคุยก็ดังกระหึ่มขึ้นทันที
“เงียบ!!”
จักรพรรดิทารัสร้องตะโกนสั่ง และทุกคนต่างก็หุบปากอย่างเชื่อฟังทันที จากนั้นจักรพรรดิเชนเทียจึงเป็นผู้กล่าวต่อ..
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนกำลังคิดเช่นใด.. พวกเจ้าทั้งหมดคงจะกำลังคิดว่า มนุษย์ผู้นั้นหายตัวไปนานหลายพันปีแล้ว พวกเราจักสามารถแก้แค้นเขาได้อย่างไรสินะ? หรือไม่ก็.. ผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้เขาจักยังมีชีวิตอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเจ้าคงจักคิดว่า.. แม้แต่บรรพบุรุษของเรายังมิสามารถทำร้ายเขาได้ แล้วพวกเราที่อ่อนแอกว่าจะแก้แค้นเขาได้อย่างไร? เพราะหากเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงเวลานี้ จักมิแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากแล้วรึ? เช่นนี้แล้วพวกเราจักมีโอกาสแก้แค้สำเร็จได้อย่างไร? ข้อสงสัยทั้งหมดนี้ข้ามีคำตอบที่กระจ่างให้กับทุกคน..” จักรพรรดิเชนเทียกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้า
“ประการแรก.. ที่พวกเจ้าคิดนั้นไม่ผิด เวลานี้ต่อให้เทียนเฉินมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเรา และยังคงแข็งแกร่งดังเช่นเมื่อมหาสงครามครั้งก่อน พวกเราก็คงมิสามารถแม้แต่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ จึงแทบมิต้องคิดถึงเรื่องการแก้แค้น!”
“แต่ยามนี้ทุกอย่างได้แตกต่างจากเดิม.. โอกาสทองในการแก้แค้นของพวกเรามาถึงแล้ว! แม้ปีศาจเทียนเฉินจักมิได้ปรากฏตัวเอง แต่หนึ่งในทายาทของมันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกนี้แล้ว และช่างน่ายินดียิ่งนักที่มนุษย์ผู้นี้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าเทียนเฉิน และนี่เป็นโอกาสที่พวกเราจักได้ลบล้างความพ่ายแพ้ในครั้งมหาสงครามออกจากจิตใจ!”
จักรพรรดิเชนเทียอธิบายพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด..
“ใช่แล้ว!! นี่เป็นโอกาสที่พวกเราจักได้เขียนประวัติศาสตร์ใหม่! ในประวัติศาสตร์ใหม่นี้จักต้องบันทึกว่า มนุษย์และเผ่าอื่นๆได้ถูกพวกเราสังหารจนสิ้น และเหล่าอสูรกายได้ครอบครองโลกนี้ทั้งหมด! พวกเจ้าปรารถนาที่จะทำความฝันนี้ให้เป็นจริงไปพร้อมกับข้าหรือไม่? นี่คือความฝันของเผ่าอสูรกาย!!”
จักรพรรดิเชนเทียประกาศกึกก้อง สายตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่ของเขาจับจ้องอยู่ที่เหล่าอสูรกายตรงหน้า พร้อมกับยกกำปั้นขวาชูขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิม
“พวกเรายินดีร่วมเขียนประวัติศาสตร์ใหม่กับองค์จักรพรรดิ!!” เสียงร้องตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันของเหล่าอสูรกายดังกึกก้อง
“เอาล่ะ.. ได้ฤกษ์ที่กำหนดไว้แล้ว!! ทุกคนต้องจดจำไว้ให้ดีว่า นี่คือสงครามช่วงชิงโลกใบนี้ มิว่าจะเป็นมนุษย์หรือชนเผ่าแบนชี หรือชนเผ่าใดๆก็ตาม ตราบใดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเรา พวกมันจักต้องถูกสังหารตายทั้งสิ้น!”
จักรพรรดิทารัสประกาศกึกก้อง และเสียงของเขาก็ดังกระหึ่มออกไปไกล จนสามารถได้ยินกันทั่วทั้งเมือง และป่ารอบนอก
เหล่านักรบอสูรกายเริ่มออกเดินทางตามฤกษ์ยามที่กำหนด โดยมีจักรพรรดิทั้งสองพระองค์เป็นผู้เดินนำออกไป และเหล่าจอมราชันย์อสูรกายทั้งสิบเดินตามหลัง ตามมาด้วยเหล่านักรบอสูรกายทั้งหมด
จักรพรรดิเชนเทียขี่ม้าศึก ในขณะที่จักรพรรดิทารัสเดินด้วยสองเท้าเยี่ยงมนุษย์ ท่าทางการก้าวย่างของเขานั้นมั่นคง และมิมีท่าทีว่าจะล้มหงายหลังเลยแม้แต่น้อย
“เฒ่าทารัส เหตุใดท่านจึงมิให้ข้าขี่ม้าให้ท่านนั่งเล่า?” จักรพรรดิเชนเทียกล่าวหยอกล้อ
“ท่านอย่าได้คิดทำเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นท่านจักต้องตายแน่! ข้ามิต้องการที่จะออกรบโดยมิมีท่านไปด้วยหรอกนะ..” จักรพรรดิทารัสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงดรำคาญ
“เฒ่าทารัส ข้าเพียงแค่หยอกเย้าท่านเล่นเท่านั้น เหตุใดจึงต้องทำสีหน้าท่าทางจริงจังเช่นนั้นด้วยเล่า?” จักรพรรดิเช่นเทียหัวเราะออกมาพร้อมกับควบม้านำหน้าไป
“นี่หากเฒ่าบาลังออกรบร่วมกันกับพวกเราก็จะดีไม่น้อยทีเดียว เขาคงพลาดโอกาสสนุกสนานเช่นนี้ไปอย่างน่าเสียดาย!” จักรพรรดิเชนเทียหันมาพูดกับจักรพรรดิทารัส
“ปล่อยตาเฒ่าหัวดื้อไว้ในเผ่านั่นล่ะ! เขามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เหตุใดยังต้องหวาดกลัวมนุษย์ตัวเล็กๆที่ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น? เขาหวาดระแวงว่าจักเกิดโศกนาฏกรรมเหมือนคราก่อน จึงตัดสินใจที่จะอยู่ในเมืองเพื่อปกป้องเด็กๆในเผ่า หากเขาสบายใจที่จักทำเช่นนั้นก็จงปล่อยเขาไปเถิด อีกอย่าง.. สงครามครั้งนี้ก็มิได้มีอะไรน่ากลัว จึงมิจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเขา ถึงแม้มิมีเฒ่าบาลัง การสังหารมนุษย์เด็กและชนเผ่าอื่นๆก็เป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ” จักรพรรดิทารัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนดุดัน และยังคงนำกองทัพอสูรกายมุ่งไปด้านหน้า
……
รุ่งอรุณแห่งเช้าวันใหม่ได้มาเยือนอีกครา แม้โลกนี้จะมิมีดวงอาทิตย์และจันทรา แต่กลับมีแสงสว่างที่เพียงพออย่างน่าอัศจรรย์ หลงเฉินตื่นขึ้นโดยมิรู้เลยว่ากำลังจักมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะตนเองเป็นต้นเหตุ ทันทีที่ตื่นขึ้น เขาก็จัดการเก็บเปลเข้าไปไว้ในแหวนบรรจุ และเริ่มออกเดินทางต่อทันที
หลงเฉินเดินทางต่อไปอีกตลอดทั้งวัน และค่ำคืนใหม่ก็มาเยือน แต่เวลานี้เขาได้มาหยุดอยู่หน้าประตูเผ่าเอลเฟียแล้ว และทหารอารักขาก็จดจำเขาได้ดีจึงรีบเปิดประตูให้เขาเข้าไป เมื่อได้พบเห็นภาพเดิมๆที่คุ้นตา หลงเฉินก็อดที่จะแย้มยิ้มออกมาไม่ได้
หลงเฉินไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า.. เขาขี่ม้าตรงเข้าไปยังคฤหาสน์ของหัวหน้าเผ่าทันที..
ในที่สุดม้าเอลเฟียก็เหยียบย่างเข้าไปในสวนด้านหน้าของคฤหาสน์หัวหน้าเผ่า โดยมีหลงเฉินนั่งอยู่บนหลังของมัน ชายชราผมขาวโพลนเปิดประตู และเชื้อเชิญให้หลงเฉินเข้าไปนั่งรอด้านใน
“เท็นช่าอยู่ที่ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มให้
“ท่านหัวหน้าเผ่ากำลังอ่านตำราอยู่ในห้อง ข้าจักไปแจ้งเขาเดี๋ยวนี้ว่าท่านกลับมาแล้ว เขาคงต้องรีบรุดมาที่นี่อย่างรวดเร็วเป็นแน่!” ชายชราตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม.
“ไม่ต้อง! ข้ารู้ว่าห้องตำราของเขาอยู่ที่ใด ข้าจักเดินไปหาเขาเอง”
หลงเฉินเอ่ยบอกชายชรายิ้มๆ พร้อมกับก้าวเดินไปตามทางทันที มินานนักร่างของหลงเฉินก็ได้ไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องตำรา เขาเปิดสัมผัสเทวะออกสำรวจเข้าไปในห้อง แต่สิ่งที่พบเห็นกลับทำให้เขาตกใจอย่างมาก สีหน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนไปในทันที หลงเฉินมิคาดคิดมาก่อนว่าตนเองจักต้องกลับมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้!!