ตอนที่ 82 ปราการที่มองไม่เห็น
“ราชินีเมี่ยส่งสาส์นมาขอความช่วยเหลือจากเผ่าเรา..” เท็นช่าเอ่ยตอบซูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เหตุใดนางต้องของความช่วยเหลือจากเราด้วย?” ซูเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“กองทัพอสูรกายกำลังมุ่งหน้าไปยังเผ่าแบนชี และดูเหมือนว่าพวกมันต้องการที่จะยึดครองโลก ระหว่างทางที่ผ่านมานั้น เหล่าอสูรกายได้สังหารและทำลายเผ่าต่างๆมาตลอดเส้นทาง ราชินีเมี่ยจึงส่งสาส์นมาขอให้เผ่าเราช่วยต่อสู้กับเหล่าอสูรกายด้วย” เท็นช่ากล่าวอธิบายเพิ่มเติม
“พวกเราจำต้องปรึกษาหารือกันเสียก่อน เจ้ารออยู่ตรงนี้ แล้วพวกข้าจะกลับมา!”
ซูเอ่ยบอกผู้ส่งสาส์นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทั้งเขาและเท็นช่าต่างก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งเทอร่ากับเซี่ยไว้ที่ห้องโถง
ภายในห้องลับ.. เท็นช่ากับซูนั่งเผชิญหน้ากัน และกำลังปรึกษาหารือกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แม้มนุษย์จักออกมาจากเผ่าแบนชีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเผ่าอสูรกายยังคงเข้าใจว่ามนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น ข้าเชื่อว่าพวกมันบุกมาครานี้เพราะต้องการแก้แค้นที่พ่ายแพ้ในมหาสงครามครั้งก่อน นับว่าแผนส่งตัวท่านหลงเฉินไปที่เผ่าแบนชีได้ผลดียิ่งนัก เวลานี้สงครามกำลังจักเกิดขึ้นที่เผ่าแบนชี ฉะนั้น.. ชนเผ่าผู้บริสุทธิ์ของเราก็จักได้อยู่อย่างปลอดภัย!” ซูเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เหตุใดท่านจึงมั่นใจยิ่งนักว่า เผ่าอสูรกายประกาศสงครามครานี้สืบเนื่องมาจากท่านหลงเฉิน?” เท็นช่าเอ่ยถาม
“จักเป็นด้วยเหตุอื่นไปได้อย่างไรกันเล่า? เขาอาศัยอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งแล้ว และเพิ่งจะกลับถึงเผ่าเราไม่กี่วัน แต่จู่ๆ เผ่าอสูรกายที่มิได้รุกรานเผ่าใดมานับหลายพันปี จู่ๆกลับตัดสินใจรุกรานเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นเผ่าที่ให้มนุษย์อาศัยอยู่ด้วย จึงไม่ยากที่จะคาดเดาได้..” ซูเอ่ยตอบ
“แม้ว่าจักเป็นเรื่องดีที่สงครามมิได้เกิดขึ้นภายในเผ่าของเรา แต่การที่เด็กเล็กและคนชราในเผ่าของเรารอดพ้นจากความตายเช่นนี้ ข้าก็อดเห็นใจชาวเผ่าแบนนชีผู้บริสุทธิ์มิได้ พวกเขาย่อมมีเด็กและคนชราเช่นกัน..” เท็นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เจ้ามิจำเป็นต้องรู้สึกแย่หรือรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ เพราะหากให้เผ่าอสูรกายล่วงรู้ก่อนหน้าว่า มนุษย์ได้มาอาศัยอยู่กับเรา พวกมันย่อมต้องบุกรุกเผ่าของเราเช่นกัน สำหรับพวกเราในฐานะผู้นำเผ่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องรักษาชีวิตของชนเผ่าเราก่อนมิใช่รึ?!” ซูเอ่ยตอบพร้อมกับข้องมองเท็นช่า
“ในบรรดาเผ่าอื่นๆ เผ่าแบนชีนับเป็นเผ่าเดียวที่จักสามารถรับมือกับการรุกรานของเผ่าอสูรได้นานที่สุด เพราะพวกเขามีปราการป้องกัน จึงมีเวลามากพอที่จะเตรียมพร้อมและขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่นได้ทัน..” ซูกล่าวต่อด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ที่ท่านกล่าวมาก็มิผิดนัก.. แต่เวลานี้พวกเราบรรลุเป้าหมายที่จะเบี่ยงเบนสงครามให้เกิดห่างจากดินแดนของเราได้แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจักต้องไปที่นั่นเพื่อแสดงความรับผิดชอบ” เท็นช่าเอ่ยตอบยิ้มๆ
“แน่นอน.. ข้ามิได้ต้องการให้เผ่าเอลเฟียของเรากลายเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะเผ่าอื่นถูกทำลายล้างจนสิ้น แต่ข้าต้องการให้เผ่าเอลเฟียแข็งแกร่งที่สุด เพราะเผ่าอื่นๆล้วนอ่อนแอลงต่างหากเล่า ฉะนั้น.. เจ้าจักตัดสินใจเช่นใดจงสั่งมา ข้าจักได้ไปเตรียมตัว..” ซูเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเราจักส่งนักรบไปช่วยเผ่าแบนชี แต่หากพบว่าสถานการณ์เลวร้ายจนเกินไป พวกเราจักต้องหนีออกมาให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของชนเผ่าเอลเฟียย่อมต้องมาก่อนสิ่งอื่น!” เท็นเอ่ยตอบเสียงเครียด
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ออกไปแจ้งให้ผู้ส่งสาส์นรู้ถึงการตัดสินใจได้เลย จะได้จัดเตรียมการต่อไป” ซูเอ่ยบอกพร้อมกับเดินนำออกไป โดยมีเท็นช่าเดินตามหลังมา
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินเข้าไปในห้องโถง ก็พบว่าผู้ส่งสาส์นจากเผ่าแบนชียังคงยืนอยู่ที่เดิม โดยมีเทอร่ากับเซี่ยสอบถามเรื่องกองทัพอสูรกายที่พวกเขาพบเห็นอยู่ ทันทีที่เห็นเท็นช่ากลับเข้ามาในห้อง ผู้ส่งสาส์นก็หันกลับไปมองด้วยสีหน้าแววตาที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง
“พวกเราตัดสินใจที่จะไปช่วยเผ่าแบนชีร่วมรบกับกองทัพอสูรกาย!” เท็นช่าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าแววตามุ่งมั่น
“เฒ่าซู เจ้าไปเตรียมเหล่านักรบให้พร้อม ภายในสามวันพวกเราจักออกเดินทางทันที ในระหว่างนี้ก็ให้ผู้ส่งสาส์นอาศัยอยู่ที่เผ่าของเราไปพลางก่อน” เท็นช่าหันไปสั่งซู
“ท่านหัวหน้าเผ่าเท็นช่า ข้าใคร่ขอให้ท่านจัดเตรียมกองกำลังนักรบให้เสร็จสิ้นเร็วกว่านี้ เพราะอีกมินานกองทัพอสูรกายก็จักเดินทางถึงจักรวรรดิแบนชีแล้ว หากช้าไป.. จักรวรรดิแบนชีอาจถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากองก็เป็นได้ ข้าใคร่ขอให้พวกท่านเร่งรีบประหนึ่งว่ากองทัพอสูรกายกำลังเข้าประชิดประตูเผ่าของท่านเอง” ผู้ส่งสาส์นเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนใจยิ่ง
“เจ้าอย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น ข้าย่อมรู้ว่าเผ่าแบนชีมีปราการอันแข็งแกร่ง ที่แม้แต่จักรพรรดิแห่งอสูรกายยังมิอาจทำลายได้ และปราการนี้จักปรากฏขึ้นเป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน พวกเรายังมีเวลาที่จักสามารถเตรียมการอย่างดีที่สุดเสียก่อน..” เท็นช่าเอ่ยตอบ
“จักรวรรดิแบนชีของเรามิมีปราการที่ว่าอีกแล้ว! เวลานี้หาได้มีปราการใดปกป้องจักรวรรดิ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ของเราอีก!” ผู้ส่งสาส์นเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองเท็นช่าด้วยแววตาอ้อนวอน
“เกิดอันใดขึ้นกับปราการที่แข็งแกร่งของพวกเจ้ากันแน่?” เท็นช่าเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“มันได้ถูกใครบางคนทำลายลงแล้ว..” ผู้ส่งสาส์นเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ผู้ใดกันแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถทำลายปราการป้องกันของเผ่าแบนชีได้? หรือมีจักรพรรดิแห่งอสูรกายบุกมาก่อนหน้ากองทัพของพวกมันงั้นรึ?” เท็นช่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“หาใช่ถูกทำลายโดยจักรพรรดิของเผ่าอสูรกายไม่.. แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่พวกท่านนำพาไปที่จักรวรรดิของเรา..”
ผู้ส่งสาส์นเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองไปทางเซี่ยและเทอร่า ทุกคนในห้องต่างพากันอ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำพูดของเขา โดยเฉพาะเทอร่ากับเซี่ย
“จักเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน.. เขายังอยู่ที่นั่นไม่ถึงเจ็ดวันเลย เขาจักทำลายปราการนั่นได้อย่างไรกัน? มีเหตุผลอันใดที่เขาจักต้องทำเช่นนั้นด้วย?!” ซูระเบิดเสียงดังออกมาพร้อมกับจ้องมองผู้ส่งสาส์นจากเผ่าแบนชี
“เขามิต้องการที่จะอยู่ที่นั่นจนครบเจ็ดวัน จึงได้ทำลายปราการนั่นทิ้งด้วยเพลงดาบเพียงแค่สามกระบวน..” ผู้ส่งสาส์นเอ่ยตอบ และเขายังคงจดจำภาพในวันนั้นได้เป็นอย่างดี และทุกคนที่ได้พบเห็นเช่นเดียวกับเขา ต่างก็ตกอกตกใจอย่างที่สุด
“สำหรับคำถามที่่ว่าเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย? นั่นเป็นเพราะว่า.. เขากับราชินีของพวกเรามีเรื่อง.. เข้าใจผิดกันจนนำไปสู่การปะทะ!” ผู้ส่งสาส์นเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง
“ข้าพอรู้ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่มิคิดว่าจักแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้!” เท็นช่าพึมพำออกมาในขณะที่จ้องมองผู้ส่งสาส์น
‘นับว่าโชคดีที่พวกเราปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ..’ ซูครุ่นคิดในระหว่างที่จ้องมองผู้ส่งสาส์นของเผ่าแบนชีด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ.. พวกเราจักรีบเตรียมการให้เร็วที่สุด แต่อย่างน้อยก็ต้องนานกว่าหนึ่งวัน เพราะต้องเตรียมพร้อมที่จะรบกับเหล่าอสูรอย่างเต็มที่ ระหว่างนี้เจ้าก็อาศัยอยู่ที่ีนี่ไปพลางๆก่อน ข้าจักให้คนไปเตรียมที่พักให้กับเจ้า” เท็นช่าเอ่ยออกมา
“เร็วเข้า!! พวกเราจักต้องรีบไปบอกเรื่องนี้ให้ท่านปรมาจารย์หลงเฉินทราบ เฒ่าซู.. ท่านไปเตรียมกองกำลังนักรบ ส่วนข้าจักไปแจ้งท่านปรมาจารย์หลงเฉินเอง แม้ว่าเขาจักมีปัญหากับองค์ราชินีเมี่ย แต่ข้าเชื่อว่าเขาจักต้องยอมช่วยเหลือพวกเราให้รอดพ้นจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้เป็นแน่!” เท็นช่าหันไปสั่งซูในขณะที่ตนเองรีบก้าวเดินออกไปโดยเร็ว
ไม่นานนักเท็นช่าก็มาถึงอาราม เขาตั้งใจว่าจักต้องเคาะประตู และเอ่ยขออนุญาตหลงเฉินเสียก่อน เพื่อที่หลงเฉินจักมิได้โกรธเกรี้ยว หลังจากที่ได้เรียนรู้ชะตาการรมของเผ่าแบนชี เขาจึงยิ่งต้องระมัดระวังตัวกับหลงเฉินให้มากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อเข้าใกล้ประตูอาราม เท็นช่ากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด เขารู้สึกราวกับว่ารอบๆอารามนั้นมีปราการที่มองมิเห็นด้วยสายตาขวางกั้นอยู่ ทำให้เขามิอาจก้าวเดินไปด้านหน้าได้ แต่เมื่อเขาพยายามที่จะเดินเข้าไปด้านใน กลับพบว่าสิ่งรอบตัวเขาได้เปลี่ยนไปในทันที เวลานี้กลับกลายเป็นว่าเขาได้ยืนหันหลังให้อาราม แต่เมื่อเขาลองหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นซ้ำอีก..