ตอนที่ 85 อยากต่อสู้รึ?
ในขณะที่เผ่าแบนชีศึกษาเรื่องกฏแห่งน้ำแข็ง เผ่ามู่หลานก็ศึกษากฏแห่งปฐพี เผ่าเอลเฟียศึกษากฏแห่งไม้ ส่วนเผ่าบารองก็ศึกษากฏแห่งลม
กฏแห่งน้ำแข็งนับเป็นกฏระดับต่ำ แต่ก็ยังนับว่าแข็งแกร่งกว่ากฏแห่งไฟซึ่งเผ่าอสูรกายศึกษาเล็กน้อย ทำให้พวกเขาได้เปรียบในการต่อสู้ แต่ในอดีตที่ผ่านมาเผ่าอสูรกายก็หาได้ศึกษาเพียงกฏเดียวไม่ ภายในเผ่าอสูรกายครอบครองลูกแก้วถึงสองลูก และเผ่าอสูรกายก็เป็นเผ่าเดียวที่สามารถศึกษากฏอื่นที่แตกต่างได้สำเร็จ
หลายคนในเผ่าอสูรกายสามารถทำความเข้าใจกับกฏทั้งสองได้พร้อมกัน ซึ่งก็คือกฏแห่งไฟและกฏแห่งความแข็งแกร่ง และด้วยสองกฏนี้จึงทำให้กองทัพอสูรกายนั้นยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆในดินแดนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิของเผ่าอสูกรกาย ซึ่งนับว่าเป็นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้..
ในระหว่างที่จอมราชันย์อสูรกายทั้งสองกำลังต่อสู้อยู่กับหัวหน้าเผ่ามู่หลาน และหัวหน้าเผ่าบารองอยู่นั้น เหล่านักรบของพวกเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวด้วยเช่นกัน และในเวลานี้จอมราชันย์อสูรกายที่เหลืออีกแปดตน ก็ได้พากองทัพที่เหลือยาตราไปด้านหน้าเรื่อยๆ
“ทั้งคู่กำลังสนุกกับการต่อสู้เลยทีเดียว ข้าเองก็อยากจะลงไปร่วมสนุกเช่นกัน!! แต่พวกเขาทั้งสองต่างก็ได้คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกันแล้ว ข้ามิต้องการใช้กำลังที่มีมากกว่ารังแกอีกฝ่าย..” จอมราชันย์พยัคฆ์กล่าวยิ้มๆ
“ปล่อยให้พวกเขาสนุกกันไปก่อน พวกเรารอสู้กับราชินแห่งเผ่าแบนชี และหัวหน้าเผ่าเอลเฟียจักดีกว่า ทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา การสู้กับพวกเขาทั้งสองน่าจักสนุกกว่ามากมาย” จอมราชันย์โครงกระดูกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ระหว่างที่กองทัพอสูรกายยาตราไปด้านหน้านั้น นักรบของเผ่าอื่นๆต่างก็พากันออกมาจากที่ซ่อน และช่วยกันโจมตีกองทัพอสูรกายอยู่ห่างๆ เหล่าจอมราชันย์อสูรกายที่เหลือต่างก็นำพาตนเองเข้าสู่การต่อสู้ แต่เผ่าอื่นๆต่างก็มีแผนการและกลยุทธในการรบเช่นกัน โดยใช้หัวหน้าเผ่าที่อ่อนแอกว่าสองถึงสามคนในการต่อสู้กับจอมราชันย์อสูรกายหนึ่งตน เพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่อ่อนแอกว่ามาซูมันและบาล่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพอสูรกายเกือบทั้งหมดจึงต้องเข้าสู่การต่อสู้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เหลือเพียงกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ยังคงเดินหน้าตรงเข้าหากองทัพของเผ่าแบนชี โดยการนำของจอมราชันย์อีกสองตนคือจอมราชันย์พยัคฆ์ และจอมราชันย์โครงกระดูก แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่กองกำลังบางส่วนของกองกำลังอสูรกาย ก็ยังนับว่ามากกว่ากองทัพทั้งหมดของเผ่าแบนชีถึงสองเท่า..
“ข้าเห็นกองทัพนักรบของทุกเผ่าแล้ว เว้นแต่เผ่าเอลเฟียเท่านั้นที่ยังมิเห็น หรือพวกเขามิได้เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยรึ?” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยถามขึ้น
“ต่อให้พวกเขามาก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ เพราะวันนี้จักเป็นวันที่พวกเราเผ่าอสูรกายจะเขียนประวัติ และกฏระเบียบของการอยู่ในดินแดนแห่งนี้ใหม่ ต่อให้เผ่าเอลเฟียหดหัวมิออกรบ พวกมันก็มิอาจหนีรอดไปได้เช่นกัน รอให้พวกเราสังหารทุกคนที่นี่เสียก่อน พวกเราจึงค่อยบุกไปเผ่าเอลเฟียหาความสนุกต่อ” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นอันตรายยิ่ง
“พวกเรา.. บุกไปหาความสนุกกันให้เต็มที่!”
จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องตะโกนสั่งนักรบของตนทันทีที่เข้าใกล้กองกำลังของเผ่าแบนชีมากขึ้นแล้ว เหล่านักรบอสูรกายพากันบุกตะลุยเข้าใส่กองทัพของเผ่าแบนชีตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าจงบุกตะลุยเข้าไป ให้พวกมันได้เห็นความแข็งแกร่งของกองทัพเรา!!” จอมราชันย์โครงกระก็ร้องตะโกนสั่งนักรบของตนเช่นกัน
กองทัพอสูรกายที่ฮึกเหิมบุกตะลุยเข้าใส่กองทัพแบนชีด้วยความกระหายเลือด เวลานี้นักรบของเผ่าแบนชีทุกคนต่างก็ทำท่าทางเดียวกัน ผืนดินตรงหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งในทันที เหล่าอสูรกายต่างก็พากันหงายหลังลื่นล้มลง แต่ก็มีอสูรกายมากมายที่มิได้ก้าวเข้าเขตน้ำแข็งนั้น คลื่นอัคนีพลันปรากฏขึ้นละลายน้ำแข็ง และพุ่งโจมตีเข้าใส่กองทัพของเผ่าแบนชี เหล่านักรบแบนชีจึงต้องสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นสกัดกั้นไว้ เพื่อเอาชีวิตรอดจากทะเลเพลิงนั้น
เวลานี้กองทัพของทั้งสองเผ่าต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในสนามรบนั้นผืนดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ห้วงอากาศปกคลุมไปด้วยไฟหมอก ทัศนวิสัยของสมรภูมิรบจึงได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
“ราชินีเมี่ย.. นี่เจ้าจักยืนมองนักรบของตนถูกสังหารตายอยู่เฉยๆเช่นนี้รึ? เจ้ามิต้องการมาร่วมสนุกกับพวกเราในสนามรบบ้างหรืออย่างไร?”
จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องตะโกนถามพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง สายตาของเขาจับจ้องมองภาพการต่อสู้ในสนามรบด้วยความพึงพอใจ ในขณะที่ราชินีเมี่ยยืนอยู่ใกล้กับเผ่าแบนชี และกำลังจ้องมองนักรบของตนที่พ่ายแพ้ใหักับศัตรูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นับว่าเจ้าฉลาดเฉลียวยิ่งนัก.. ที่มิยอมลงมือด้วยตนเอง เพราะนั่นจักเป็นการบีบบังคับให้พวกเราต้องลงมือด้วยตัวเองเช่นกัน และนั่นย่อมมิเป็นการดีต่อกองทัพของเจ้าเป็นแน่” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ไฉนเจ้าจึงไม่ออกมาต่อสู้กับพวกเราแทนเล่า? เหตุใดยังต้องยืนนิ่งให้เสียเวลาเยี่ยงนั้น? หรือเจ้ากำลังรอคอยผู้ใดอยู่กันแน่? …ข้าจักบอกอันใดให้ เวลานี้พวกเราเบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว จอมราชันย์อสูรกายตนอื่นๆ อยากจะต่อสู้เต็มที ในเมื่อเจ้าเองเป็นผู้นำเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าทั้งหมด ฉะนั้นจงแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าออกมาให้พวกเราเห็น และเริ่มออกรบเสียที!” จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องตะโกนท้าทาย
“เจ้ามิต้องกังวลไป แม้เจ้าจักพ่ายแพ้ให้แก่ข้า แต่ข้าก็จักมิสังหารเจ้าแน่ เวลานี้ทั้งจอมราชันย์กระทิงและจอมราชันย์หมี ต่างก็ต้องการได้ตัวเจ้าไปเป็นนางบำเรอ และรอคอยให้เจ้าไปปรนเปรอพวกเขาทั้งสองอยู่..” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยกับราชินีเมี่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
‘เหตุใดเผ่าเอลเฟียยังมิปรากฏตัวอีก? ผู้ส่งสาส์นออกเดินทางไปนานแล้ว ข้ามั่นใจว่าพวกเขาต้องได้รับสาส์นแล้วอย่างน้อยสามวัน หรือพวกเขาจักมิมาช่วยจริงๆ!’ ราชินีเมี่ยได้แต่ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในระหว่างที่จ้องอมองเหล่าจอมราชันย์อสูรกาย
“ตอบข้ามา!!” จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องตะโกนถามเสียงดัง
“ในเมื่อเจ้ากระหายที่จะต่อสู้นัก เจ้าก็จักได้สมหวัง!!” ราชินีเมี่ยจ้องมองจอมราชันย์พยัคฆ์พร้อมกับเอ่ยตอบเสียงเนิบ
องค์ราชินีเมี่ยเงยหน้าขึ้นมอง พลันลูกนัยน์ตาทั้งคู่ของนางก็เปลี่ยนเป็นสีขาว หิมะเริ่มตกลงมาจากท้องนภา และก่อร่างเป็นลูกธนูน้ำแข็งขนาดมหึมา พริบตาเดียว.. ลูกธนูน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นก็ได้พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของจอมราชันย์พยัคฆ์
“ดัชนีเพลิงสวรรค์!”
จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องคำรามกึกก้องพร้อมกับยกนิ้วชี้ไปที่ลูกธนูน้ำแข็ง เปลวเพลิงรูปนิ้วมือปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา และพุ่งจู่โจมเข้าใส่ลูกธนูน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกธนูน้ำแข็งและเปลวเพลิงรูปนิ้วปะทะกัน แม้จะเป็นการปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ดัชนีเพลิงสวรรค์ก็ดับลงทันที ในขณะที่ลูกธนูน้ำแข็งก็ละลายไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของจอมราชันย์พยัคฆ์ต่อไป
เมื่อลูกธนูน้ำแข็งพุ่งเข้าใกล้ร่างของจอมราชันย์พยัคฆ์แล้ว เขาจึงยกกำปั้นขึ้นชกเข้าใส่ทันที ลูกธนูน้ำแข็งแตกกระจายเป็นเสียงๆ การโจมตีของราชินีเมี่ยล้มเหลว ส่วนมือของจอมราชันย์พยัคฆ์ก็ถึงกับหนาวเหน็บ จนต้องใช้เปลวไฟสร้างความอบอุ่นให้กับมือของตน ในขณะเดียวกันสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของราชินีเมี่ย
“เอาล่ะ.. ข้าเล่นสนุกพอแล้ว ได้เวลาที่ข้าต้องเอาจริงเสียที!!” จอมราชันย์พยัคฆ์คำรามลั่น และตามมาด้วยเสียงหัวเราะ
…..
ภายในอารามของเผ่าเอลเฟีย..
หลงเฉินกำลังนั่งขัดสมาธิโดยที่มือข้างซ้ายยังคงวางอยู่ด้านบนของลูกแก้วใสตรงหน้า เขานั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้น ดวงตาลืมขึ้นเป็นปกติแต่กลับมิกระพริบ เวลายังคงล่วงเลยไปเรื่อยๆ และหลงเฉินเองก็นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นมาเป็นเวลานาน โดยมิได้สนใจใยดีเวลาว่าเวลาจะล่วงเลยไปนานเท่าใดแล้ว..