ตอนที่ 1 ขยะตระกูลเยี่ย
“เยี่ยจง ! เยี่ยจง ! เจ้าไม่เป็นไรนะ ? เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ! ใกล้เริ่มคาบเรียนแล้ว วิชาต่อไปเป็นวิชาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ภาคสนามนะ หากเจ้ายังไม่รีบลุกมาอีกละก็ อาจารย์ม่อจะไม่เกรงใจกับเจ้าแล้วนะ ! “เสียงพูดเสียงหนึ่งพูดขึ้นอย่างร้อนรนดังขึ้นข้างโสตประสาทของเยี่ยจง เยี่ยจงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้อย่างประหลาด
“เหอะ เหอะ เหอะ เจ้างี่เง่าเยี่ยจงจะไม่มีหน้ามาพบคนแล้วกระมั่ง ? พวกเราชาวเมืองแห่งหมู่บ้านเฟยหงปรากฏขยะชิ้นหนึ่งเยี่ยงเจ้า ที่ร้อยปีจะมีสักคน ! มาเถอะ เงยหน้าของเจ้านี้ขึ้นมา อย่าทำให้พวกเราชาวเมืองแห่งหมู่บ้านเฟยหงต้องขายหน้าไปด้วย “มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นที่อีกข้างโสตของเขา เสียงนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เยาะเย้ยและเหยียดหยาม แต่ก็เพราะว่าเสียงนี้จึงทำให้เยี่ยจงได้สติขึ้นมาในทันที
เยี่ยจงขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังคงมึนงงพร้อมกับมองไปรอบด้าน ในระยะสายตาของเขาก็ได้ปรากฏใบหน้าของหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง ใบหน้าเหล่านี้ให้ความรู้สึกราวกับห่างเหินแบบหนึ่ง ทั้งที่ตนเองรู้จักพวกเขา แต่ก็เหมือนไม่รู้จักก็มิปาน
พอพบว่าใบหน้าที่กำลังเอ่อของเยี่ยจง ทั่วทั้งสี่ทิศรอบด้านก็หัวเราะเสียงดังออกมา เป็นที่แน่นอนว่า เสียงหัวเราะเหล่านี้ได้มุ่งเป้ามาที่เยี่ยจง
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้เยี่ยจงขมวดคิ้วเบาๆ ถ้านับตามลักษณะนิสัยของเขา คงมิมีเวลามากมายมาสนใจเรื่องราวมากมายเช่นนี้ แต่ตามสัญชาตญาณของเขาได้เตือนว่า สมควรระวังป้องกันผู้อื่นมาลงมือต่อเขา
หลังจากเงียบงันชั่วครู่ เยี่ยจงก็เกิดอาการตกใจอย่างแรง อีกเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้หัวใจแทบจะหลุดลอยออกจากร่างได้
แล้วพลังลมปราณของข้าละ พลังลมปราณที่อุตส่าห์ฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก อีกแค่เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ตนเองก็มั่นใจว่าจะต้องสามารถเลื่อนขึ้นสู่พลังลมปรานสามสวรรค์ขั้นที่สามได้แล้วอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในดินแดนแห่งเทพ (ดินแดนซานเชียนเซียนเจี่ย) ก็สามารถไปได้ แต่ว่าตอนนี้พลังปราณแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มีได้อย่างไรกัน
“เยี่ยจง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? “
ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเยี่ยจง มีเด็กร่างอ้วนใบหน้าดำคล้ำเล็กน้อยที่มิได้หัวเราะเยาะเหมือนคนอื่น เพียงแต่ใช้แขนเสื้อมาเช็ดที่หน้าผากของเยี่ยจง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเอ่ยถามออกมา
“เจ้าคือใคร ทีนี้ ที่นี่คือที่ใดกัน “หลังจากมองไปที่เด็กร่างอ้วนใบหน้าคล้ำ เยี่ยจงก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม้แต่หวังโม่ก็เกือบจะลืมซะแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
“เจ้าขยะยังไงก็เป็นได้แค่ขยะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
รอบด้านปรากฏเสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ไม่ขาดสาย ราวกับพบเจอเรื่องบางอย่างที่ตลกที่สุดก็มิปาน
“เยี่ยจง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ข้าหวังโม่ไง “เด็กอ้วนหวังโม่พูดข้างหูของเยี่ยจง พูดด้วยเสียงที่มีเพียงแค่เยี่ยจงเท่านั้นที่ได้ยินถามออกไปว่า “เยี่ยจง เจ้าก็ทนอีกหน่อยนะ แม้สิ่งนี้จะคือการตัดสินใจของตระกูลเยี่ยของเจ้า เจ้าความจริงก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่ในการขัดขืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตระกูลซูก็ใช่ว่าสมควรจะไปตอแยด้วย เจ้าทนไว้นะ เจ้าจะต้องทนไว้นะ ตระกูลเยี่ยก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เจ้าตาย เจ้าต้องทนให้ได้ “
“ตระกูลเยี่ย ? ตระกูลซู ? ไม่ได้หวังให้ข้าตาย ? “เยี่ยจงยังคงรู้สึกปวดศีรษะ ยังคงไม่สามารถตอบสนองกลับมาได้
เขาจำได้ว่า ความจริงตนเองกำลังทะลวงเข้าสู่พลังลมปรานสามสวรรค์ขั้นที่สาม แต่ในยามคับขันที่สุด ชิวเป่ยไห่ได้บุกโจมตีเข้ามา แน่นอนว่า เจ้าบัดซบนั้นไม่ทราบได้ข่าวคราวจากที่ใดว่าตนเองกำลังทะลวงพลังเข้าสู่ลมปราณชั้นฟ้า
ในเวลานั้น อาจารย์ของเขาได้ใช้ร่างเข้าปกป้องตนเองอีกทั้งยังต้องใช้พลังลมปราณเข้าช่วยเหลือตนเองในสภาวะธาตุไฟเข้าแทรก อีกด้านหนึ่งยังต้องต่อกรกับสารเลวชิวเป่ยไห่อีกทาง ความจริงแล้วหากเทียบด้านพลังคงเหนือกว่าชิวเป่ยไห่อยู่หลายขุม แต่ถึงแม้อาจารย์จะเก่งกาจกว่าชิวเป่ยไห่หลายเท่า ในที่สุดก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัสจนต้องหลบหนี
เขาจำได้ในตอนหลัง อาจารย์ได้ใช้วิชาโลหิตลับเพื่อส่งตนเองหนีไป แต่ทว่าตัวเขานั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงได้มาโผล่ที่นี้ ? ที่นี่ใช่แดนแห่งเทพหรือ ?
ใช่แล้ว ตอนนี้ตนเองยังนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ละ ? ท่านอาจารย์เพียงอายุมากกว่าตนแค่สามปีเท่านั้น แม้ว่าเจ้าบัดซบชิวเป่ยไห่กับข้าจะสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ความแค้นส่วนตัวระหว่างตนและชิวเป่ยไห่ แต่ก็มีสาเหตุอื่นอยู่ด้วย นั้นก็เพราะอาจารย์นั้นมีใบหน้าที่งดงามจนสามารถล้มเมืองได้ แม้ชิวเป่ยไห่ได้กล่าวว่าตนนั้นเป็นคุณชายแห่งนิกายเซียน หลายครั้งหลายคราที่ชิวเป่ยไห่พยายามลักลอบเข้าหาอาจารย์ แต่เพราะข้าและชิวเป่ยไห่มีความสัมพันธ์ผูกอาฆาตกัน จึงได้มีแต่เพาะความแค้นกันเรื่อยมา
แต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับทำสำเร็จ หากว่าอาจารย์ตกอยู่ในกำมือของชิวเป่ยไห่ละก็ ท้ายที่สุดไม่กล้าแม้แต่จะคิด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เยี่ยจงก็อดทนนิ่งเฉยไว้ไม่ไหว อาจารย์คือผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตเขา ที่เขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็เพราะได้รับการดูแลมาอย่างดี ถ้าหากว่าเกิดสิ่งที่ไม่ดีกับอาจารย์ละก็…………………
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยจงก็ทนนั่งต่อไปไม่ไหว จนลุกขึ้นมาในที่สุด
“นี้ไม่ใช่เยี่ยจงนายน้อยเยี่ยหรอกหรือ ข้ากำลังจะบอกให้เหล่านักศึกษามาประลองกันอยู่เลย อยู่ๆ เจ้าก็ลุกขึ้นมาเอง ถ้าหากข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วละก็ คงถือว่าไม่ไว้หน้าเจ้าแล้วละ “คนผู้นี้ที่สวมชุดคลุมสีแดง เป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปี กำลังยืนอยู่ตรงกลางของลานประลอง พบว่าเยี่ยจงลุกขึ้นยืน นางก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะถาม
ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในรั่วของโรงฝึกยุทธ์ในอาณาบริเวณของโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์ หญิงสาวนางนี้ ก็คืออาจารย์ฝึกสอนในโรงฝึกยุทธ์แห่งนี้ เพราะว่าความสัมพันธ์ของตระกูลม่อ นักศึกษาส่วนมากต่างก็รู้จักกันในนามอาจารย์ม่อ
โรงฝึกยุทธ์เฟยหงเป็นหนึ่งในสองโรงฝึกยุทธ์แห่งรัฐต้าโจวหวังเฉา (ย่อ : รัฐโจว) รัฐต้าโจวหวังเฉาเป็นหนึ่งในรัฐแห่งดินแดนซีฮวงอันยิ่งใหญ่ไพศาล หรือกล่าวได้ว่า เพื่อที่จะส่งเสริมให้ภายในรัฐให้มีเหล่าเด็กน้อยอัจฉริยะในยุทธภพ ในทุกๆ รัฐต่างก็จะสร้างโรงฝึกยุทธ์ออกมาในประเทศของตัวเอง เพื่อส่งเสริมแนวทางในการฝึกยุทธ์
“เหอะ เหอะ อาจารย์ม่อ อย่าเอาแต่รังแกนายน้อยเซี่ยของพวกเราเลย ท่านไม่เห็นหรือว่าเดี๋ยวเค้าก็เป็นลมไปอีกหรอก “
“นายน้อยขยะของพวกเราถ้าหากมีความกล้าพอที่จะต่อยตีกับผู้คน ข้าจะให้อ่านชื่อของข้ากลับหัวเลยก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
ในตอนนี้เมื่อเห็นอาจารย์กล่าวออกมาเช่นนี้ ก็มีเหล่านักศึกษาหลายคนค่อยๆ หัวเราะออกมา เหมือนดั่งคำที่ว่า นายว่าขี้ข้าพลอย คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่อาจารย์ม่อก็ยังต้องการที่จะเหยียบย้ำเด็กน้อยผู้นี้สักครา
เยี่ยจงขมวดคิ้วมองไปยังใบหน้าอันสวยงามที่กำลังยิ้มอยู่ของหญิงสาวชุดแดง นางถือว่ามีความงามหลายส่วน แต่จากที่เยี่ยจงดูแล้ว ถ้าเทียบกับอาจารย์นางก็เป็นได้เพียงแค่เส้นขนในศีรษะที่งอกเงยขึ้นมาได้เท่านั้น
แต่นี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเยี่ยจงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง หรือว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนแห่งเทพหรอกหรืออย่างไรกัน ?
คิ้วเริ่มที่จะขมวดมากยิ่งขึ้น เยี่ยจงต้องการที่จะรับทราบสถานการณ์ที่ในตอนนี้ให้ชัดเจน แต่แล้วอาการปวดหัวก็ได้กำเริ่มขึ้น ความทรงจำมากมายหลากหลายต่างไหลเข้ามาในหัวของเยี่ยจงอย่างวุ่นวาย
เยี่ยจง เป็นลูกหลานของตระกูลที่มีสกุลว่าเยี่ยเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ในรัฐต้าโจวหวังเฉา บิดามีนามว่าเยี่ยเทียน เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน
บิดาเสียชีวิตห้าปีต่อมาหลังจากนั้น ตระกูลก็เริ่มกีดกันสถานะภาพของเยี่ยจง ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา โดยให้เหตุไว้ว่า ชาติกำเนิดของเยี่ยจงนั้นไม่ชัดเจน
พูดง่ายๆ ก็คือ หลังจากบิดาของเยี่ยจงเสียชีวิตแล้ว ก็ไม่มีใครมาสามารถมาช่วยยืนยันเรื่องชาติกำเนิดให้แก่เยี่ยจงได้อีก
เยี่ยจงยังมีน้องชายและน้องสาวอย่างละหนึ่ง แต่ทว่า น้องชายและน้องสาวเพียงแค่ร่วมบิดาแต่มิได้มีมารดาร่วมกัน จึงทำให้เยี่ยจงนั้นถูกถอดถอนสถานะภาพจากตระกูล ถึงน้องทั้งสองคนจะเป็นน้องของเยี่ยจงแต่ทว่าน้องๆ ก็ยังได้รับการดูแลจากตระกูลเป็นอย่างดี
ห้าปีก่อน เยี่ยเทียนรู้ว่าตนเองมีชีวิตได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงไปหาผู้อาวุโสของตระกูล ผู้นำตระกูลเยี่ยมีความต้องการ ที่จะหมั้นกับตระกูลซู ซึ่งในตอนนั้นเองเยี่ยเทียนก็หวังไว้ว่าเยี่ยจงจะสามารถมีที่พึ่งพิงได้ ดังนั้นจึงได้ทำการหมั่นกับตระกูลซู และทำการเลือกคู่หมั้นให้ นั้นก็คือหลานสาวของผู้นำตระกูลซูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งรัฐต้าโจวหวังเฉา ซูเหวินชิง
การผูกสัมพันธ์กันระหว่างสองตระกูลใหญ่ เป็นสิ่งที่ตระกูลซูนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลซูจึงได้มอบหลานสาวคนโปรดหมั่นกับเยี่ยจง ห้าปีผ่านไป ซึ่งเมื่อก่อนยังเป็นแค่เด็กสาวที่น่ารักน่าชัง แต่ทว่าในเวลานี้เปรียบเสมือนนางงามอันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวหวังเฉาไปแล้ว
ห้าปีผ่านไป จุดยืนของเยี่ยจงนั้นได้เปลี่ยนไปจะหน้ามือเป็นหลังมือ เหตุผลนั้นช่างง่ายดาย นอกจากปัญหาทางสถานะในตระกูล อีกทั้งโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน พูดง่ายๆ ก็คือ มองในมุมมองของเหตุและผล ถึงแม้เยี่ยจงจะฝึกฝนวิชาไปทั้งชีวิต ถึงแม้อยากจะใช้พลังลมปราณซักเล็กน้อยก็ยังใช้ไม่ได้ ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ ทว่าเพียงผ่านไปแค่ค่ำคืนเดียว เรื่องราวก็แพร่ไปทั่วทั้งเมือง ว่าตระกูลเยี่ยหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ นั้นกำเนิดทายาทโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน จนทำให้ตระกูลเยี่ยอับอายขายขี้หน้า
ข่าวลือของทายาทตระกูลเยี่ยที่เป็นโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่านได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง แต่ทว่าตระกูลซูก็มิได้มาขอถอนหมั้นแต่อย่างไร เพียงแต่ได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้เป็นการแลกเปลี่ยน
ตระกูลซูเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะยกหลานสาวคนโปรดที่ทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีให้แก่คนพิการ แต่ตระกูลซูก็ไม่กล้าที่จะถอนหมั้นสุ่มสี่สุ่มห้า หลังจากที่ได้มาปรึกษาหารือกับตระกูลเยี่ยแล้ว ตระกูลซูยังคงจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยด้วยการหมั่นต่อไป แต่ทว่า คู่หมั่นของสาวงามนาม ซูเหวินชิงนั้น เปลี่ยนจากเยี่ยจงเป็น เยี่ยยี่ฟง หลานชายคนแรกของตระกูล และคู่หมั้นของเยี่ยจง ได้เปลี่ยนเป็นหลานสาวอีกคนนามว่า ซูขุย
“ที่แท้เป็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้ “หลังจากความทรงจำย้อนมาถึงตรงนี้ เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง เขาเข้าใจแล้วว่าที่แท้ตนเองได้กลับชาติมาเกิดใหม่มาอยู่ในร่างของเด็กที่มีนามว่า เยี่ยจง อีกทั้งโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน พิกลพิการแต่กำเนิด
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่เขาได้กำเนิดใหม่นั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะมากำเนิดใหม่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มที่ชื่อ เยี่ยจง นั้นได้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้
ขณะที่เยี่ยจงกำลังครุ่นคิดเรื่องราวความเป็นมาอยู่นั้น ที่ด้านหลังของเขาก็พบว่ามีบางอย่างเหินมาอย่างรวดเร็วหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งในลานฝึกยุทธ์
ที่ตรงนั้น หญิงสาวผู้นี้สูงเพียงเมตรครึ่ง ถ้ามองจากรอบเอวดูเหมือนจะมากพอๆ กับความสูงของนางเอง นางมองมาที่เยี่ยจงด้วยความตกใจ สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยกับการไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น
เยี่ยจงมองไปที่นางอย่างไม่ละสายตา สายตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา นั้นก็คงเป็นเพราะว่าจากความทรงจำของเจ้าหนุ่มเยี่ยจงหากไม่ผิดพลาดละก็ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตบุคคลที่เขาเจอคนสุดท้ายก็คือนาง นางคือหญิงสาวของตระกูลซู นามซูขุย ในตอนนั้นเอง เยี่ยจงได้ยินเรื่องที่ได้เปลี่ยนตัวคู่หมั้นหมาย เขาตัดสินใจที่จะทำการถอนหมั้นทันที หลังจากนั้นเขาก็สลบไป
หนุ่มน้อยเยี่ยจงไม่ใช่ว่าไม่ทราบว่าตนเองนั้นสลบไสลไปได้อย่างไร แต่ทว่าเพราะมีคนลงมือ อีกทั้งยังลงมือด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต การลงมือครั้งนี้มุ่งหมายในการเอาชีวิตเขา มีความเป็นไปได้อย่างน้อยแปดส่วนที่จะเป็น ซูขุย ที่เป็นคนสังหารเขา
หลังจากที่เรียบเรียงความทรงจำ หน้าตาของเยี่ยจงเปลี่ยนเป็นปั้นยาก เจ้าหนุ่มเยี่ยจงดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมและอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากมาย แต่ที่กังวลเป็นอย่างมากในตอนนี้ คือเรื่องอาจารย์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
.
.
.
.