งานหมั้นสีเลือด
“ บังอาจ “
ผู้ที่มีปฏิกิริยาเร็วสุดนั้นก็คือผู้คุ้มทั้งสี่คนที่หน้าประตูทางเข้า ผู้คุ้มกันทั้งสี่นั้นเป็นผู้คุ้มกันในจวนท่านเจ้าเมือง เมื่อทั้งสี่คนเห็นว่าเยี่ยจงชักกระบี่ออกมา ทั้งสี่ได้ชักดาบออกมาพร้อมทั้งส่งดังเฮ้ออย่างพร้อมเพรียง และได้ฟันออกไปโดยพร้อมเพรียง
“ เหอะ — — “
ห้องโถงในเวลานี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากสองฝั่งมีใครไม่รู้บ้างว่าเยี่ยจงนั้นเป็นเจ้าขยะที่ฝึกยุทธ์ไม่ได้ ไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แต่ก็เหมือนเขาเข้ามาหาที่ตายเอง ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเยี่ยหรือว่าตระกูลซู ต่างก็ไม่คิดที่จะเข้าไปห้ามแม้สักคนเดียว ในด้านของซูขุยนั้นนัยตายิ่งสาดประกายออกมา แผ่รังสีสังหารก็มิปาน
แต่ทว่าเยี่ยจงนั้นก็ไม่คิดที่จะแยแสพวกเขาว่าจะคิดยังไง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย สายตาเพียงเจดจ่อเหล่าผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่กำลังจะฟาดดาบออกมา ความจริงเขาคร้านที่จะใช้ไพ่ตายออกมา ดังนั้นจึงก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับตวัดมือขวาขึ้น จากนั้นกระบี่ก็ราวกับมีประกายสายฟ้าสายหนึ่งแผ่ออกมา จากนั้นก็ฟาดไปที่ข้อมือของผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านขวามือสุด ช่วงเวลานั้นเอง กระบี่ยาวของเยี่ยจงก็ได้แกว่งไปมา ไปกระทบถูกหัวเข่าของผู้คุ้มกันอีกคน
มีเพียงแต่เสียง “ ผัวะๆ “ ดังออกมาเท่านั้น กระดูกหัวเข่าของผู้พิทักษ์ผู้นั่นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนทำให้ร่างกายไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ จากนั้นจึงล้มลงกุมหัวเข่านอนกองกับพื้น กระบี่ของเยี่ยจงนั้นได้สาดประกายขึ้นอีกครั้ง เพลงกระบี่นั้นราวกับว่าได้ออกมาจากความว่างเปล่า พุ่งไปเสียบที่อกด้านขวาของผู้คุ้มกันทางด้านซ้าย เพียงไม่นาน เลือดก็ได้ไหลลงมาที่พื้น
หลิวชิงม้งที่กำลังอุ้มกองกระบี่และดาบอยู่นั้นได้มองตรงไปยังเพลงกระบี่ของเยี่ยจงที่ใช้ดั่งตรงไปตรงมา ไม่มีแม้กระทั้งการพลิกแพลง การที่ล้มผู้คุ้มในจวนตนด้วยเพียงกระบี่เดียวต่อคน ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด เป็นความรู้สึกประหลาดแบบหนึ่ง จากที่หลิวชิงม้งดูเพลงกระบี่ของเยี่ยจงนั้น รู้สึกว่าธรรมดา แต่ก็ช่างไร้ที่ติ ก็เหมือนกันการฝึกกระบี่ในหมู่บ้านฝึกยุทธ์ แต่ทว่าเหล่าผู้คุ้มกันที่ผ่านศึกมานับร้อยก็ยังต้องพ่ายให้กับเพลงกระบี่นี้
ไม่ว่าจะเรื่องฝีมือ ไม่ว่าจะด้านเพลงกระบี่ ราวกับว่าผ่านการฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน ราวกับไร้กระบวนท่า ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน หลิงชิงม้งเองนั้นก็นับว่าเป็นผู้เยาว์ที่โดดเด่นในเมืองเจียงโจว แต่ถ้าหากจะทำแบบเยี่ยจงแล้วละก็ นางคงสามารถที่จะล้มผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่ฝึกกำลังภายในจนถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สองได้เช่นกัน เพียงแต่ว่านางจะไม่สามารถล้มคู่ต่อสู้ด้วยการใช้กระบวนท่าเพียงกระบวนท่าเดียวได้ อีกทั้งอาจจำเป็นต้องใช้ทักษะยุทธ์ในการต่อสู้อีกด้วย
หลิวชิงม้งยิ่งคิดว่าเยี่ยจงนั้นเป็นผู้ฝึกยันต์มากขึ้นไปกว่าเดิม จะมีใครคิดว่าขยะของตระกูลเซี่ยซึ่งทำให้เกิดความอัปยศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูล นั้นจะเป็นถึงยอดฝีมือเยี่ยงนี้
แต่ทว่าเยี่ยจงนั้นก็มิได้ทำร้ายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บมากนัก ยัง ทั้งสี่คนนั้นถึงจะมีกำลังภายในอยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สองก็ตาม แต่ก็ได้ผ่านศึกมานับร้อยครั้ง ประสบการณ์เปี่ยมล้น เขาไม่รู้ว่าเก่งกว่าคนเหล่านี้กี่เท่า ถึงแม้คนเหล่านี้จะฝึกมาช่ำชองแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังรู้ยังมองเห็นข้อบกพร่องอยู่ อย่างเช่นผู้คุ้มกันทั้งสี่ จากที่ประลองยุทธ์ดูแล้วก็ยังร้ายกาจกว่าเยี่ยหยู่อยู่ขั้นหนึ่ง
ผู้คุ้มกันคนสุดท้ายก็ได้ล้มลง เยี่ยจงนั้นมิได้ลงมือรุนแรงหรือฆ่าฟัน นั้นก็เพราะว่าได้เห็นแก่หน้าของหลิวชิงม้ง จึงไม่ได้ลงมือรุนแรงอะไรมากมาย เพียงแค่ทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นเท่านั้นเอง จากนั้นก็กวาดตาไปยังห้องโถงด้วยสายตาเหยียดหยาม ถ้าหากคนเหล่านี้มีความสามารถจริงก็คงจะเรียกว่าการต่อสู้
ห้องโถงในตอนนี้ต่างปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีคนไม่น้อยเลยที่ตอนแรกมีสีหน้าเหยียดหยาม เปลี่ยนเป็นหน้าถอดสีด้วยความตกตะลึง อ้าปากค้าง อีกทั้งเสียงหัวเราะที่กำลังจะออกมากลับต้องหยุดอยู่ในลำคอ
เยี่ยจงนั้นได้ใช้เวลาในการจัดการเหล่าผู้คุ้มกันโดยใช้เวลาไม่นาน เขาใช้เพียงสี่กระบวนท่าก็สามารถที่จะจัดการเหล่าผู้คุ้มกันทั้งสี่ ที่ผ่านศึกมานับร้อย อีกทั้งยังมีลมปราณถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สอง ความสามารถในการจัดการได้รวดเร็วขนาดนี้ ทำให้คนรุ่นหลังที่ฝึกยุทธ์ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สองด้วยกันทั้งสามตระกูลต้องตระหนักเกี่ยวกับ ความสามารถของเยี่ยจง อีกทั้งยังทำให้บุคคลที่นั่งอยู่บนที่นั่งบนสุดทั้งสามต้องมองมาอย่างใจจดใจจ่อ เริ่มที่จะระมัดระวังการกระทำของเยี่ยจงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเห็นบุคคลที่หอบดาบกระบี่อยู่ด้านหลังเยี่ยจงนั้นคือบุตรีของหลิวฮาวเพียงคนเดียวหลิวชิงม้งนั้นเอง สีหน้าของทั้งสามคนนั้นเปลี่ยนไปมาอย่างประหลาดพิกล
ไม่ทราบเยี่ยจงนั้นใช้วิธีการอันใดในการบังคับนางมาช่วยถือดาบกระบี่ให้ แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ทั้งสามคนนั้นมองไปที่เยี่ยจงอย่างตั้งใจนั้นคือการที่เยี่ยจงนั้นสามารถจัดการผู้คุ้มกันทั้งสี่ได้ในพริบตา เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสามคนอยู่ในอาการตกใจได้แล้ว
นามเจ้าขยะเยี่ยจงนั้นมีใครบ้างที่ไม่ทราบ แต่การที่เจ้าขยะแสดงออกมานั้น เกรงว่าผู้เยาว์ที่มีพรสววรค์ของทั้งสามตระกูล ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถทำได้
“เหอะเหอะ น่าสนใจดีนิ……..พี่หวูหยาน พวกท่านตระกูลเยี่ยคงจะไม่สนใจงานหมั้นในครั้งนี้แล้วละมั่ง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง พวกท่านความจริงได้เตรียมการที่จะหักหน้าพวกเราตระกูลซูในวันนี้ “ ซูเฮ้าเอาพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันลี้ลับออกมา ความจริงในสายตาเขางานหมั้นครั้งนี้ช่างเบื่อหน่าย แต่ในตอนนี้กลับเหมือนได้รับความตื่นเต้นชนิดหนึ่ง เขาพูดราวกับกำลังล้อเลียนพร้อมทั้งจ้องไปที่เยี่ยหวูเยีย จากนั้นก็ได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมา
ทว่าในเวลานี้เยี่ยหวูเยีย ไม่มีกระจิตกระใจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับซูเฮ้า ใบหน้าของเขาในตอนนี้เปลี่ยนเป็นมืดมนไร้ที่เปรียบ แต่สายตาของเขานั้นได้สาดประกายออกมา ชังไม่เข้ากับสีหน้าของเค้าในตอนนี้
งานมงคลวันนี้ไม่สมควรที่จะออกมาให้รูปแบบนี้ วันนี้เยี่ยจงควรที่จะไปหยิบหมวกใบนั้นอย่างว่าง่ายแล้วสิ จากนั้นก็จะได้ขับไล่เยี่ยจงให้แต่งออกจากตระกูล และในที่สุดผู้เยาว์อันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยก็จะได้หมั้นหมายกับสาวงามอันดับหนึ่งซูเหวินชิงเป็นที่เรียบร้อย เป็นการตกลงกันระหว่างสองตระกูลเยี่ยซูนั้นเองอย่างที่ควรจะเป็น
การกระทำของเยี่ยจงในวันนี้่ราวกับได้ทำลายแผนการที่สมบูรณ์แบบนี่ อีกทั้งยังทำให้เยี่ยหวูเยีย รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เยี่ยจงจริงๆแล้วเป็นโรคเส้นลมปรานทั้งหกใช่การไม่ได้มิใช่หรือ เหมือนเปลี่ยนจากแมลงแปรงเป็นมังกร ทั่วฟ้าสาดส่องไปด้วยประกายของกระบี่ สิ่งนี้ไม่เพียงสามารถสลัดคำว่าขยะออกไปได้เท่านั้น เกรงว่าเหล่าลูกหลานภายในตระกูลเยี่ยก็มิอาจเทียบเคียงเยี่ยจงได้
เยี่ยหวูเยีย หน้าร้อนผ่าว ราวกับมีฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้า ใครจะรู้ว่าเยี่ยจงในตอนนี้ช่างต่างจากที่เคยพบพานมาราวฟ้ากับดิน ความจริงเขาควรจะยินดีกับเรื่องนี้ แต่ถ้ามองจากสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ได้แต่เปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธเคืองขึ้นมาทันที
“ น้องซูฮาวก็กล่าวเกินไป ตระกูลเยี่ยของเรามีหรือจะทำเรื่องที่แล้งน้ำใจได้ลงคอ คงเป็นเพราะผู้เยาว์ไม่พอใจที่มีการเปลี่ยนตัวคู่หมั้นหมาย “ เยี่ยหวูเยีย นั้นก็มิใช่บุคคลธรรมดา ยังคงสามารถคงความเยือกเย็นโต้ตอบกลับไปได้ จากนั้นก็หัวเราะ ฮ่า ฮ่า “ เอาแบบนี้ละกัน เรื่องของคนรุ่นหลัง เราท่านนั่งดื่มเหล้ามงคลกันดีกว่า “
พอกล่าวจบก็เหลียวมองหลิวฮาวแวบหนึ่ง “ แต่ทว่าท่านพี่หลิวเฮ้านำลูกสาวออกไปก่อนจะดีกว่า เพราะหากเกิดอะไรคิดลูกสาวสุดที่รักอาจจะบาดเจ็บได้ “
“ ขอบคุณท่านทั้งสองที่เป็นห่วง “ หลิวเฮ้ามองไปที่กลางห้องโถง กอดอกแล้วกล่าวต่อ “ เรื่องในวันนี้คงจะไม่เกี่ยวกับตระกูลหลิวของข้าหรอก ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าลูกสาวของข้านั้นคิดจะทำอะไรอยู่เหมือนกัน ข้าผู้เป็นบิดาก็ยังมิอาจควบคุมตัวนางเองได้เช่นกัน ปัญหาของผู้เยาว์ก็ให้ผู้เยาว์จัดการกันเองก็ไม่เลวเหมือนกัน “
พอพูดจบก็โบกมือขึ้นคราหนึ่ง เหล่าผู้คุ้มกันภายในจวนท่านจ้าวเมืองที่อยู่บริเวณทางเข้าต่างถอยหลังกลับออกไป อย่างรวดเร็ว
“ เอาอย่างนั้นจริงๆหรือ “ จากนั้นซูฮ้านก็ค่อยๆหรี่ตาลง พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ยกจอกเหล้ามงคลขึ้น “ ในเมื่อท่านพี่ทั้งสองต่างก็กล่าวเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็คอยดูกันดีกว่า “
ว่าแล้วก็หันไปมองยังจุดที่เยี่ยจงอยู่ ด้วยอารมณ์เสนาะสนใจอยู่หลายส่วน ว่ากันตามจริงการแสดงออกของเยี่ยจงนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเลยทีเดีบว ยิ่งประกายของกระบี่นั้นยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ แต่เขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าเยี่ยจงนั้นจะสามารถล้มงานหมั้นที่มีสองตระกูลว่างแผนไว้ได้
อย่างมาก ก็ให้ได้แต่กำลังใจ…..
ภายในห้องโถงในเวลานี้ผู้คนทั้งหมดต่างมองไปยังเยี่ยจงเป็นจุดเดียว แต่ทว่าเยี่ยจงก็ไม่ได้สนใจผู้ใด เพียงเงยหน้าสำรวจสามผู้อาวุโสทั้งสาม เยี่ยหวูเยีย หลิวฮาว และซูฮ้านด้วยสายตาเมินเฉย
ด้วยสายตาอันคบกล้าของเยี่ยจงนั้นเพียงแวบเดียวก็สามารถที่จะมองออกว่าคนทั้งสามมีความกล้าแข็งมากเพียงใด เยี่ยหวูเยีย นั้นอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า ส่วนอีกสองคน หลิวเฮ้าและซูฮ้านนั้นอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่
เขาทราบดีถึงความแต่งต่างระว่างตนเองและทั้งสาม เยี่ยจงยิ่งทราบดีว่า หากสู้กันซึ่งๆหน้า ตนนั้นไม่อาจสู้กับหนึ่งในทั้งสามคนได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เยี่ยจงก็ไม่อาจที่จะล้มเลิกความตั้งใจได้
จากนั้นเยี่ยจงได้สำรวจอีกสองรอบ รอบแรกคือ ในตอนนี้ทั้งทางฝั่งตระกูลซูและตระกูลเยี่ยได่เริ่มจะมีคนขยับลุกขึ้นมาแล้ว เพียงกวาดตาไปครั้งเดียวก็พบกับความ “คุ้นเคย” บนใบหน้า หลายๆคนในนั้นเป็นเพียงแค่คนในตระกูลสาขา ถ้าหากไม่เริ่มแสดงตัวในตอนนี้ จุดยืนในอนาคตคงจะได้ตกต่ำน่าดูกันเลยทีเดียว อีกทั้งการมาในครั้งนี้ก็มาเพื่องานหมั้นระหว่างเยี่ยยี่ฟงและซูเหวินชิงนั้นเอง ความนัยในความจริงนั้น ก็มาเพื่อที่จะดูว่าเจ้าขยะเยี่ยจงนั้นจะปรากฎตัวหรือไม่ มีความสามารถแค่ไหน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่สำคัญ
เหล่าคนที่ลุกขึ้นมานั้นมีประมาณหกสิบคน ต่างคนก็จ้องเยี่ยจงตาเขม็นด้วยใบหน้าที่แตกต่างกัน ทั้งใบเหยียดหยาม ทั้งใบหน้าสงสัย แต่โดยส่วนมากนั้นต่างแสดงใบหน้าของการฆ่าฟัน อีกทั้งหกสิบคนนั้นต่างเป็นคนของสองในห้าตระกูลใหญ่ อย่างตระกูลเยี่ยและตระกูลซู แต่ละคนนั้นต่างก็เป็นผู้เยาว์ที่มีความโดดเด่นอยู่พอสมควรในเวลานี้ของตระกูล บนร่างของพวกเขานั้นต่างส่งกลิ่นไอบางอย่างออกมา หากมองตามความเป็นจริงการที่จะเอาชนะได้ในครั้งนี้ คงเปรียบเสมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
หลังจากที่สำรวจเสร็จ เขาเหมือนได้คิดถึงเรื่องราวของหนุ่มน้อยเยี่ยจงในที่ผ่านมา ตามจริงเหล่าผู้เยาว์รุ่นหลังนั้นมีประมาณหนึ่งร้อยคน ที่มาร่วมงานนั้นยังมาเกินครึ่งของคนจำนวนนี้ ดูเหมือนว่างานหมั้นในครั้งนี้จะเหมือนความคาดหวังของทั้งตระกูลเยี่ยและตระกูลซูอย่างแท้จริง
เยี่ยจงค่อยๆสูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หัวเราะ ฮา ฮา ออกมา ครั้งนี้ทำให้เขานึกถึงสมัยที่ได้สู้ศึกร่วมกับอาจารย์เพื่อต่อกรกับเหล่าขุนศึกมากมาย ในครั้งนั้น สองอาจารย์ศิษย์ได้ต่อสู้ร่วมกันบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือดสายหนึ่ง แต่ทว่าตนในครั้งนี้ที่เบื้องหลังได้เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นไปได้ไหมที่จะรอดกลับไปด้วยร่างกายที่ครบถ้วน
หลังจากเรียกสติกลับมา สติก็ได้กลับมาสงบอีกครั้ง หากเทียบศัตรูก่อนหน้านี้แล้วละก็ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าช่างต่างกันราวฟ้ากับดินเลย
หลิวม้งชิงที่อยู่ด้านหลังเยี่ยจงในตอนนี้มีปฏิกิริยาการตอบรับกลับมาแล้ว นางขบที่ริมฝีปากเล็กน้อย ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ด้านหน้า นางไม่ทราบว่าเยี่ยจงนั้นต้องการที่จะทำสิ่งใด แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ว่าเยี่ยจงนั้นกำลังใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียว แก้ปัญหาการหมั้นหมายระหว่างสองตระกูล ที่เขาเรียกให้นางนำดาบกระบี่มาด้วยนั้นก็เพื่อที่จะใช้กำลังในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ยืนเผชิญหน้าตระกูลเยี่ย ตระกูลซู และชาวยุทธ์อีกนับร้อย ในฉายานามของขยะของตระกูลเยี่ย เยี่ยจง เขายังไม่มีแม้กระทั้งความกลัวเลยสักนิก
ในเวลาไม่นานนี้หลิวม้งชิงได้ครุ่นคิดเรื่องต่างๆนับไม่ถ้วน นางได้แสดงอาการน่าทึ่งออกมาใบหน้าน้อยๆของนาง แต่ในท้ายที่สุด นางคิดว่าตนที่อยู่เพียงหญิงสาวนางหนึ่งที่เพียงแต่อยู่กลางสวนหลังบ้านนั้นเท่านั้น จึงไม่มีคุณสมบัติคู่ควรพอแม่สื่อของงานเลี้ยงนี้ ความอยากรู้อยากเห็นหรือ แต่ถึงกระนั้นหลิวม้งชิงก็ยังคงเดินตามเยี่ยจงไปทีละก้าว ทีละก้าว…..