ที่สำหรับผู้แข็งแกร่ง
ผู้อาวุโสทั้งสามหันกายมา คล้ายกับปล่อยพลังกดดันที่น่าสะเทือนขวัญออกมา แรงกดดันนั้นราวกับสามารถผลักภูเขาทั้งลูกลงสู่ทะเลก็มิปาน แต่ที่น่าแปลกคือ เยี่ยจงนั่นราวกับว่ามิได้แสดงความหวาดกลัวหรืออย่างไร แต่กลับกลายเป็นการรับรู้ถึงคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การรอคอย
“ เชอะ “
เยี่ยจงได้กระตุ้นยันต์คุ้มกายและยันต์รักษาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ในเวลาเดียวกันนั้นก็ได้เร่งลมปราณอย่างไม่หยุดยั่ง มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้รับการฟื้นฟูพลัง ทันใดนั้นมือซ้ายของเยี่ยจงก็ได้กุมกระบี่ยาวไว้แน่น หนึ่งกระบี่สีนินก็มิได้แหลมคมมากมายจากที่คิด ตอนนั้นเอง พละกำลังของเยี่ยจงก็อยู่ภายใต้การรักษาของยันต์แล้ว ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น
รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังของตน ในตอนนั้นเยี่ยจงก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาคำหนึ่ง เผชิญหน้ากับผู้มาทั้งสาม เขามิได้ขยับร่างกายรุกเข้าหรือถอยออก กระบี่ยาวในมือได้ปรากฎประกายเสียงสว่างวาบเป็นครั้งแรก กระบี่ยาวในตอนนี้ได้มีประกายแสงไหลเวียนไปมา
“ กระบี่มิหวนคืน “
เสียงดังเฮอได้ดังเบาๆภายใต้จิตสำนึก ทักษะกระบี่ที่พึ่งจะเรียนมา ในใต้เพลงกระบี่ก็ได้มีแสงระเบิดออกมาไม่สิ้นสุดอย่างสวยงาม
เจ้าเด็กน้อยนี้ไม่เพียงมิกลัวตาย อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉาก
“ ผัวะ ผัวะ ผัวะ “
เสียงปะทะดังติดต่อกันหลายครา บุคคลทั้งสี่ได้เจ้าปะทะกัน มันไม่เหมือนเข้าไปฆ่าตัวตาย หรือพูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยจงเข้าใจความแตกต่างระหว่างตัวเองและคนทั้งสาม ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก อีกทั้งยังต้องการที่จะตัดสินผลแพ้ชนะภายในกระบวนท่าเดียวอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
“ ปุ๊ง ชิ้ง — — “
จากนั้นสักครู่ หลังจากที่ร่างทั้งสี่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปนับไม่ถ้วน ร่างกายของเยี่ยจงค่อยๆตั้งท่าตรงแข็งราวกับหิน จากนั้นก็ได้ถอยหลังไปหลายก้าว เลือดสีแดงสดถูกพ่นออกมาจากปากคำหนึ่ง แต่ทว่าสีหน้าของเขายังคงเยือกเย็นไร้ที่เปรียบ
เยี่ยหวูเยียและหลิวเฮ้าทั้งสองต่างเหลียวหลังกลับมามองเยี่ยจงในทันทีพร้อมกัน ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ
และด้านหน้าของทั้งสอง ที่ด้านหลังเยี่ยจง ซูเฮ้าในตอนนี้กำกระบี่ยาวในมือแน่น ยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดของลมปราณก่อเกิดขั้นที่สี่ ในตอนนี้อยู่ในอาการที่ยากจะหันกายกลับมา สายตาจับจ้องมาถึงบนร่างเยี่ยจงในเวลานั้น ใบหน้านั้นนั้นเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ
“ ทักษะยุทธ์ขั้นต่ำ เป็นไปได้อย่างไร “
พอสิ้นเสียง มีเลือดสายหนึ่งไหลออกมาจากมุมปาก ทั้งร่างกายเกิดอาการสั่นเทาอย่างไม่หยุดหยั้ง
เยี่ยจงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ราวกับรอบข้างไม่มีผู้ใดอยู่เลย จากนั้นก็มุ่งไปทางยังที่ๆซูขุ่ยอยู่ ทว่าหลังจากก้าวที่สาม เยี่ยจงรู้สึกราวก็มีใครบางคนมาจับที่ขา เขาขมวดคิ้วแล้วมองไป พบว่าผู้คุ้มกันที่ถูกตนนั้นผ่าออกไปสองซีกนั้นยังมิได้ตาย มือข้างหนึ่งจับที่ข้อเท้าของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
สายตาในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยความเย็นชา เยี่ยจงใช้เท้าขวาเขี่ยกระบี่ยาวสีเงินเขียวที่พื้นขึ้นมา หลังจากนั้นก็เสียบลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวได้เสียบทะลุผู้คุ้มกันคนนี้ผ่านทางหลังศีรษะ
ที่ด้านหลัง เยี่ยหวูเยียและหลิวเฮ้าทั้งสองก็ได้วาดสายตาพร้อมกัน ทว่าในตอนที่พวกเขาจะเคลื่อนไหวในเวลานั้นเอง ที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง ทันใดนั้นร่างกายของซูเฮ้าได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง นับตั้งแต่ลำคอขึ้นไปล้วนแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เลือดสดๆได้พุ่งออกมา หลังจากนั้นร่างของซูเฮ้าก็ได้ล้มหงายไปทางด้านหลัง ความจริงที่เหลือพลังชีวิตจนถึงตอนนี้ คงเป็นเรียวแรงหยดสุดท้ายของเขาแล้ว
เป็นที่ชัดเจน ในตอนที่ทั้งสองฝั่งได้เข้าปะทะกันในเวลานั้น ซูเฮ้าได้ถูกกระบี่ของเยี่ยจงฟันไปที่ลำคอ แต่ก็เพราะว่าซูเฮ้าคิดว่าพลังฝึกฝนของตน นั้นแข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้ จนกระทั่งตอนนี้ ในเวลานั้นสายตาทั้งคู่ของเขาก็ได้มองทุกสิ่งทุกอย่างในห้องโถงดำมืดลง จนกระทั่งวาระสุดท้าย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าตนตายด้วยทักษะยุทธ์ระดับต่ำได้อย่างไร
ทุกผู้คนต่างมองไปกลางห้องโถง มีคนไม่น้อยที่ยกมือขึ้นปิดปาก ยังไม่ทันที่ตนเองจะหายจากอาการตกใจ หากนับคนที่ล้มอยู่กลางพื้นตอนนี้อย่างซูเฮ้าแล้วละก็ ต่างก็มีสีหน้าปั้นยากกันทุกคน ความแข็งแกร่งของเยี่ยจง ได้เกินกว่าที่พวกเขาเหล่านั้นคาดคิดไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคาดไม่ถึง ว่าเยี่ยจงจะสามารถสังหารซูเฮ้าได้ด้วยกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร บุคคลนั้นมีพลังลมปราณอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เชียว เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง แม้กระทั่งเขาก็ถูกสังหารด้วยกระบี่เดียว
อีกทั้งเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลซู แต่ละคนนั้นร่างกายได้ค่อยๆเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมา ในตอนนี้ไม่มีบุคคลอย่างซูเฮ้าคอยปกป้องแล้ว ทว่าหากเยี่ยจงต้องการที่จะลงมือฆ่าแล้วละก็ เหล่าคนของตระกูลซู เชื่อว่าไม่มีแม้สักคนเดียวที่จะสามารถต้านทานเยี่ยจงได้
หลังจากที่รู้สึกได้ว่าซูเฮ้านั้นได้ล้มลงไปที่พื้น เยี่ยจงหันศีรษะมองไปร่างที่ล้มอยู่พื้นห้อง ความจริงแล้ว ต่อให้ซูเฮ้าพบกับความพ่ายแพ้แล้วละก็ ก็ไม่สมควรที่จะแพ้ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ นั้นก็เพราะว่าตัวเขาเองนั้นมีความมั่นใจจนเกินไป พอเริ่มลงมือก็ใช้ทักษะยุทธ์โจมตีทันที จนในที่สุดผู้ที่ต้องตายก็คือตนเอง
ทว่าเรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้นี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก ในตอนนี้เยี่ยจงได้หันสายตากลับมา จ้องไปที่เยี่ยหวูเยียและหลิวฮ้านทั้งสองคนพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็ละสายตาไปมองที่ซูขุ่ยแทน
เยี่ยจงมุ่งหน้าเดินไปด้านหน้าต่อ เสียงก้าวเท้าได้เรียกสติของคนในห้องโถงกลับมา ในเวลานั้น ทุกคนในห้องโถงต่างก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ออกมาจากร่างกายของเยี่ยจงมากมาย ทว่าในเวลานี้ กลับไม่มีผู้ใดที่มีความกล้าออกมาหยุดยั้ง
ความจริงแล้ว คนในตระกูลซูในเวลานี้ต่างรู้สึกถึงความอัปยศอดสูอย่างไรที่เปรียบ แต่ทว่าพวกเขานั้นก็เข้าใจ การที่เยี่ยจงสามารถกระทำเรื่องอย่างร้อยก้าวไร้พ่าย กระบี่เดียวสังหารผู้ที่ฝึกยุทธ์ถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ลงได้อย่างซูเฮ้า ดังนั้นต่อให้พวกเขาลุกขึ้นมา ก็เหมือนดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลัดนิ้วมือ ระยะทางที่หลงเหลือไม่กี่ก้าวก็ถูกเยี่ยจงย้ำจนถึงจุดหมาย จนในท้ายที่สุดก็เดินไปถึงเบื้องหน้าของซูขุ่ย
ในเวลานี้ร่างกายของซูขุ่ยสั่นเทาไม่หยุด ทำท่าเหมือนกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ในตอนนั้นเอง ราวกับสูญเสียพละกำลังไปจนหมด จากนั้นก็ได้กลิ่นปัสสาวะโชยออกมา
“ ความจริง หากเจ้าไม่จับตัวหวังโม่มาข่มขู่ข้าแล้วละก็ ข้าก็มิต้องมายังงานหมั่นแห่งนี้ ……….. ทว่า มากล่าวเรื่องเหล่านี้ในเวลานี้ มันก็ช่างดูไร้ประโยชน์สิ้นดี “ เยี่ยจงส่ายหัวไปมาต่อหน้าซูขุ่ย นางต้องการชีวิตของตน ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ทว่านางก็ได้จับตัวเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเข้ามาพัวพันด้วย ในจุดนี้จึงทำให้เยี่ยจงมิอาจยอมได้
เยี่ยจงขมวดคิ้ว จากการที่เขากระทำเรื่องอย่างร้อยก้าวไร้พ่าย ความทรงจำของเขาและเยี่ยจงน้อยก็ได้รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงแม้ต่อให้เขาไม่ยอมรับในสถานะของตนเองในตอนนี้ก็ตามที ดังนั้น มีเพียงเยี่ยจงเท่านั้นที่รู้อยู่เต็มอก ในวันเวลาที่ขมขื่นที่ผ่านมาของตนเอง หากมิใช่เพราะหวังโม่ค่อยดูแลและปกป้องแล้วละก็ ตนนั้นก็คงจะตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในสายตาของเยี่ยจงนั้น หวังโม่เปรียบเสมือนพี่น้องบังเกิดเกล้า หากมีใครที่กล้าคิดร้ายต่อพี่น้องของตน คนๆนั้นจะไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน
พอสิ้นเสียง เยี่ยจงแทงกระบี่ยาวในมือออกไป ก็พบว่าซูขุ่ยนั้นตกอยู่ในอาการหวาดกลัวและเสียใจ จากนั้นก็กระโดดหนีอย่างรวดเร็ว สู่เส้นทางด้านหลังอย่างไม่ลดละ ร่างกายที่อวบอ้วนขยับเคลื่อนไหวอยากอุ่ยอ้ายไปตามทาง
กลิ่นเลือดและปัสสาวะไหลรวมเข้าไปด้วยกัน จนยากที่จะมองดู
ร่างกายของซู่ขุ่ยเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาอย่างมากมาย จนเปรอะเปื้อนร่างที่นั่งอยู่ด้านข้างของนาง ซูเหวินชิง นั้นเอง สาวน้อยที่เป็นดั่งนางเซียนที่ราวกับออกมาจากภาพวาดก็มิปานนางนี้ ร่างกายอย่างน้อยๆครึ่งหนึ่งก็ได้เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ
เยี่ยจงมองไปที่ซูขุ่ยที่อยู่ด้านหลังของตน จากนั้นก็หันไปมองที่ร่างของซูเหวินชิง สายตาที่มองมานั้นช่างเรียบง่าย เขารู้สึกถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งรัฐเยียน ความจริงในใจคิดเรื่องอันใดอยู่ และหากว่าตนเองนั้นสังหารหญิงสาวนางนี้แล้วละก็ จะมีผลเสียต่อไปอย่างไรบ้างก็มิอาจทราบได้
เยี่ยจงยังคงมองไปที่ซูเหวินชิง ทันใดนั้นก็ได้ค่อยๆถอนหายใจภายในจิตใจคำหนึ่ง จากนั้นเขาเหมือนกับลังเลชั่วครู่ หญิงสาวนางนี้ใช้ตนเองเป็นดั่งไพ่ตาย ความจริงแล้วจะสมควรสังหารนางดีหรือไม่ ความจริงในตอนนี้นางยังมิได้ลงมือต่อตนเองโดยตรง แต่ก็เป็นบุคคลหนึ่งปลุกระดมผู้คนในรัฐเยียนได้ อีกทั้งยังสามารถบอกเรื่องราวในวันนี้ให้แผ่ขยายออกไปได้ แต่ทว่า ดูจากใบหน้าของซูเหวินชิงที่คล้ายอาจารย์ของตนอยู่หลายส่วน ทำให้เยี่ยจงนั้นตัดสินใจที่จะลงมือไม่ได้อยู่หลายส่วน อีกทั้งเป็นเพราะว่าสิ่งที่ซูเหวินชิงมีเป็นสิ่งที่คล้ายกับอาจารย์ของตนราวกับกำลังซ้อนทับอยู่
“ เยี่ยจง อย่า หากเจ้ากล้าลงมือต่อนางแล้วละก็ ไม่เพียงแค่ตระกูลซูเท่านั้น กระทั้งตระกูลเยี่ยก็มิอาจปล่อยประละเว้นเจ้าอย่างแน่นอน “ ผู้ที่นอนอยู่บนพื้นค่อยขยับฝืนลุกขึ่น เยี่ยยี่ฟงฝืนกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ความจริงเขานั้นเกรงกลัวเยี่ยจงจะกระบี่สังหารสาวงามอันดับหนึ่งแห่งรัฐเยียนนางนี้ หากเป็นเช่นนั้นละก็ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คงยากที่จะคาดเดาได้
หลังจากเงียบไปซักพัก เยี่ยจงก็ได้หันหน้ากลับมา มองไปที่ร่างของเยี่ยยี่ฟงด้วยความดุดัน ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลเยี่ยผู้นี้ ร่างกายในตอนนี้ค่อยๆสั่นเทาขึ้นมา กับเยี่ยจงผู้นี้ เขาเกิดความกลัวยากที่จะบรรยายออกมาได้
“ นี้ ………. “ ความลังเลได้ปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยจง ความจริงเขาก็รู้ตัวดี หากใช้คำพูดเหล่านี้มาคุกคามเยี่ยจง ความจริงก็ไม่ส่งผลอันใด
“ เยี่ยจง เจ้ากลับเข้าตระกูลเยี่ยกับข้าเถอะ หลังจากนี้เจ้าก็จะนับเป็นคนของตระกูลเยี่ย ………. ข้าคิดว่า ตระกูลเยี่ยจะต้องใช้กำลังทั้งหมดมาปกป้องเจ้า นับจากนี้ เรื่องทั้งหมดนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเองเถอะ “ เยี่ยหวูเยียกล่าวออกมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างไร้สุ่มเสียงคำหนึ่ง นับจากที่เยี่ยจงสังหารซูเฮ้าไปแล้ว เหตุการณ์ในตอนนี้ก็ยิ่งยากที่จะไกล่เกลี่ยมากขึ้นไปอีก ตระกูลเยี่ยและตระกูลซู จะต้องมีข้อบาดหมางกันนับจากนี้ไปต้นไป อีกทั้งเหตุการณ์ในวันนี้ หากสามารถรับวีรบุรุษที่สามารถกระทำเรื่องราวอย่างกับพลิกฟ้าทลายดินกลับเข้าตระกูลได้แล้วละก็ ก็มินับว่าเสียผลประโยชน์ใดๆ
“ ข้าในตอนนี้ยังมินับว่าเป็นคนในตระกูลเยี่ยหรอกหรือ สิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งยืนยันได้อีกหรือ “ เยี่ยจงกล่าวออกมาดังๆ คิดไว้ว่าตนเองนั้นมิได้อยู่ในสายตาของคนในตระกูลตั้งแต่แรกแล้ว
เยี่ยหวูเยียในตอนนี้ไร้คำพูดที่จะกล่าวออกมา ความจริงแล้วเยี่ยจงก็นับเป็นคนในตระกูลเยี่ยตั้งแต่แรก ทว่าในใจของพวกเขานั้น เหมือนกับได้ขับไล่เยี่ยจงออกจากตระกูลไปนานแล้ว
“ ข้ามีวิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้อยู่อีกวิธี “ เยี่ยจงหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมา “ ตระกูลเยี่ยก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หนึ่งคนต่อหนึ่งคน สังหารคนในตระกูลซูซะ หลังจากนั้นก็ทำราวกับว่ามิเคยพบพานคนในตระกูลซูตั้งแต่แรก เพียงแค่นี้ก็สามารถจัดการกับปัญหาที่จะตามมาได้แล้ว “
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสงัดรวมทั้งเยี่ยหวูเยีย สีหน้าของทุกคนนั้นกลายเป็นสีดำ เจ้าเด็กบัดซบนี้คิดจะลากพวกตนลงคลองด้วยกันหรืออย่างไร
“ เฮ้ สหายน้อยเยี่ยจง เพื่อนของเจ้ามาแล้วละ “ ในที่สุดหลิวฮ้านก็ได้กล่าวออกมาเป็นคนแรก แก้ไขความบรรยากาศที่อึดอัดทั่วห้องโถง
จากนั้นก็มีบุคคลหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องโถง หลังจากเข้ามาแล้วหวังโม่ก็ตกใจจนกระโดดถอยหลังไปทีหนึ่ง ทั่วทั้งห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนพลิกไปพลิกมาเต็มพื้นห้อง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่ว่าจะมองยังไงเมื่อครู่ก็คงจะกำลังเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน
“ เจ้าไม่เป็นไรสินะ “ สายตาของเยี่ยจงได้หยุดอยู่บนร่างของหวังโม่ จากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่เป็นไร แต่ทว่า……… “ หวังโม่สายตาสิ้นสุดอยู่ที่กระบี่ยาวบนมือของเยี่ยจง บนร่างกายมีรอยเลือดอยู่เล็กน้อย บวกกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวของคนทั้งห้องโถงมองมายังตนเอง เขากวาดตามองอยู่รอบหนึ่ง แล้วตอบ “ เยี่ยจง เจ้าอย่าบอกข้านะว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ล้วนแล้วแต่เจ้าทำ “
“ ก็คงจะงั้นแหลาะ “ เยี่ยจงยิ้มแล้วยิ้มอีก มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าพี่น้องของตนเท่านั้น ที่เขาจะสามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ “ คงไม่มีใครทำเจ้าลำบากใจสินะ “
“ ไม่มี แต่ทว่า………….. “ หวังโม่กล่าวเพียงเล็กน้อยก็ได้หยุดลง ความจริงเขาไม่ทราบว่าเยี่ยจงนั้นสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ว่าในส่วนเขาก็มิได้กังวลอีกต่อไป ที่เขาเป็นห่วงก็มีแค่ สิ่งที่เยี่ยจงทำลงไปหลังจากนี้จะมีเรื่องวุ่นวายอันใดตามมา จากนั้นชีวิตหลังจากนี้ของเยี่ยจงคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขแน่นนอน
“ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว “ เยี่ยจงกล่าวแล้วยิ้มต่อ “ พวกเราไปกันเถอะ “
กล่าวจบ เยี่ยจงก็ได้หันหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไปทางหลิวชิงม้งแล้วกล่าว “ แม่นางหลิว บุญคุณในวันนี้ สักวันต้องทดแทนอย่างแน่นอน “
หลังจากนั้นเยี่ยจงก็ได้ก้าวยาวๆออกไปจากห้องโถงแล้ว ในตอนที่เดินผ่านหวังโม่นั้น เหล่าผู้คุ้มกันก็ได้เปิดทั้งให้ จากนั้นหวังโม่ก็ได้วิ่งตามออกไป
ผู้คนในห้องโถงพอพบว่าเยี่ยจงจากไปแล้วต่างก็อยู่ในสภาพคลายใจลง จากนั้น เสียงถอนหายใจก็ได้ดังติดต่อกันออกมา หลังจากนั้นทุกผู้คนอยู่กำลังตั้งสติ ราวกับว่าเรื่องราวในวันนี้อยู่ในความฝันก็มิปาน
ตอนที่ 2/3 ของสัปดาห์ที่ 3