เหนือความคาดหมาย
“ เปรี้ยง —— “
ซูหยี่ยื่นมือขวาสีผิวอันขาวเนียนออกมา ใจกลางฝ่ามือ มีไอร้อนระอุสีแดงคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงอันดุดันราวฟ้าคำรามดังออกมา อีกทั้งยังดังก้องไปทั่วทั้งลานประลอง
“ บึ้ม —— “
ซูหยี่ก้าวเท้าออกข้างหนึ่ง นางในตอนนี้เป็นเหมือนดั่งหญิงสาวอย่างมีเสน่ห์น่าดึงดูด ทว่าเสียงก้าวเท้าของนางนั้นช่างทรงพลัง ราวกับสัตว์เทวะในตำนานก็มิปาน
[T/L*สัตว์เทวะในตำนานของจีนได้แก่ มังกร กิเลน เต่าหัวมังกร หงส์ ปี่เซี๊ยะ]
รอบด้านด้านล่างลานประลองเฟยหงส์ สายตาที่อิจฉาของเหล่านักศึกษาต่างมองเป็นจุดเดียวกัน ยิ่งในตอนที่ซูหยี่ปลดปล่อยพลังของทักษะยุทธ์แห่งดวงดาว การโจมตีอันรุนแรงนี้ ราวกับอัสนีถล่มมาอย่างดุดัน
เกรงว่าหากทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน เพื่อที่จะตัดสินผลแพ้ชนะโดยทันที
ใบหน้าของหวังโม่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาการร้อนรน อีกทางด้านหนึ่งใบหน้าของหลิวชิงม้งก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นต่อเยี่ยจง ถึงแม้ ซูหยี่จะแข็งแกร่งก็ตาม อีกทั้งมิใช่ศิษย์ของสำนักธรรมดา หากนับรวมผู้ฝึกยุทย์ของทั้งสองโรงฝึกใหญ่แห่งราชวงศ์โจว เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว คงจะไม่น่าดูซักเท่าไร
“ น้องเยี่ยจง หากสามารถรับมือกระบวนท่านี้ได้ละก็ ข้อเรียกร้องของเจ้าพี่สาวจะตอบตกลงทันที “
ซูหยี่เดินเข้าหาอีกครั้ง ในครั้งนี้ แม้กระทั่งพื้นลานประลองเฟยหงส์ยุทธ์อันใหญ่โตยังมีเสียงดัง กึกๆ ดังออกมา จากนั้นนางยิ้มหยาดเยิ้มพุ่งเข้าหาเยี่ยจง ทว่าภายในรอยยิ้มที่เรียบง่ายนี้ ได้เก็บซ่อนแรงกดดันอันมหาศาลเอาไว้
“ ฉัวะ —— “
หลังจากที่เสียงดังออกมา ร่างกายของซูหยี่ในขณะนี้ก็เคลื่อนที่ราวกับภูตพรายไปถึงด้านหน้าเยี่ยจง จากนั้นก็วาดฝ่ามือออกมา นางยังใช้พลังทั้งหมดบนร่างออกมา ฝ่ามืออันขาวผ่องก็ได้เข้าปะทะในทันที กวาดไปทางเยี่ยจงไม่มีแม้กระทั่งการไว้ไมตรี
“ ฝ่ามือกลืนดารา —— “
ความรุนแรงของฝ่ามือทำให้เกิดเป็นลมกรรโชกหมุนวนสายหนึ่ง พัดจนทำให้เสื้อผ้าของเยี่ยจงกระพือขึ้น แต่ทว่าต่อให้อยู่ต่อหน้าการโจมตีที่รุนแรงนี้ สีหน้าของเยี่ยจงยังคงแสดงถึงการไม่แยแส ไม่มีแม้กระทั่งความกลัว
“ น้องเยี่ยจง เจ้าก็ไม่ค่อยเห็นแก่หน้าข้าเลยนะ ไม่มีแม้ก็ทั่งความกลัวแม้แต่น้อยเลย “ แม้แต่ซูหยี่ก็ยังถูกเยี่ยจงทำให้อยู่ในอาการตกใจ หลังจากนางกล่าวจบก็หัวเราะออกมา แต่ทว่าการเคลื่อนไหวกลับเร็วขึ้นกว่าเดิม
“ ความจริงแล้ว ข้าก็เกรงกลัวอยู่นะ “
เยี่ยจงมองไปที่ฝ่ามือที่กำลังเข้ามาในไม่กี่เซ็น จากนั้นเขาก็ยิ้มทันที หลังจากนั้นเอง เขาก็ได้ยกมือขวาขึ้นมา ชี้นิ้วออกกระบวนท่าไปทางด้านหน้า
“ กระบี่มิหวนคืน “
“ ฉัวะ —— “
เยี่ยจงแอบร่ำร้องในใจ ไม่นานนัก พลังที่ปล่อยออกมาราวกับลมปราณกระบี่แผ่ออกมา ความรุนแรงได้แผ่ออกมาจากร่างกาย อีกทั้งดัชนีของเยี่ยจงที่ชี้ออกไปนั้น เป็นความรุนแรงที่เต็มไปด้วยความคมกล้า ปกคลุมขึ้นมารวมกัน
“ เจ้าเด็กน้อยนี้ จริงๆแล้วฝึกฝนวิชาลมปราณอันใดกันแน่ “ ระดับคนอย่างอาจารย์ใหญ่ม่อไห่ยังต้องกล่าวคำถามเหล่านี้ออกมา เหล่าอาจารย์ต่างมองกันเป็นจุดเดียว สายตาที่มองนั้นเต็มไปด้วยแววตาตะลึงลาน วิชาลมปราณของเยี่ยจงถึงแม้จะไม่ได้ดูดียิ่งใหญ่เหมือนดั่งวิชาลมปราณเคลื่อนดาราของซูหยี่ แต่ก็เก็บซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ภายใน ในช่วงที่เวลาที่คับขัน ถึงจะแสดงความร้ายกาจออกมา
“ ที่แท้เป็นทักษะยุทธ์สายโจมตีขั้นต่ำ กระบี่มิหวนคืน “
ทั่วลานเฟยหงส์ด้านล่าง ต่างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ราวกับอาการตกใจที่ยิ่งกว่าตกใจ การที่จะเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ระดับซูหยี่ เยี่ยจงเชื่อว่าภายในหมู่บ้านฝึกยุทธ์นี้ คงไม่มีใครนึกว่าตนจะไปศึกษากับวิชายุทธ์โจมตีขั้นต่ำเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขายิ้มออกมา
ในตอนที่เดินลมปราณ เยี่ยจงนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องควบคุมการไหลเวียนของลมปราณ อีกทั้งพลังลมปราณของเยี่ยจงก็ได้ไหลเวียนออกมาจำนวนมากด้วยตนเอง เหมือนกับเป็นไปตามความนึกคิดก็เพียงพอแล้ว ขณะนั้น เยี่ยจงได้เร่งพลังและลมปราณออกมาจนถึงขั้นสูงสุดไว้บนดัชนี พลังดัชนีในตอนนี้มิใช่พลังดัชนีตามปกติธรรมดาอีกต่อไปแล้ว มันสามารถเปรียบได้กับกระบี่เล่มหนึ่ง
วิชายุทธ์การโจมตีขั้นต่ำชนิดนี้ คงไม่มีนักศึกษาคนใดที่คิดที่จะหยิบขึ้นมาศึกษาเลย แต่เมื่อถูกใช้ออกโดยเยี่ยจงแล้ว จะเปรียบเสมือนกระบี่ที่คมกล้า แผ่ไอกระบี่ที่น่าหวาดกลัวออกมา
อีกทั้งพลังดัชนีนี้ ในสายตาของซูหยี่ก็ได้ทอประกายประหลาดเปลี่ยนแปลงไปมา อีกทั้งหากกระทบกับฝ่ามือแล้วละก็ รู้สึกราวกับเหมือนผู้ใหญ่กำลังรังแกเด็ก
“ ฉัวะ —— ”
หลังจากเสียงได้หยุดลง ในสนามก็ได้มีการระเบิดเกิดขึ้น แสงสว่างไสวของหนึ่งพลังมรกตหนึ่งพลังอัคคีปะทะ เหมือนดั่งเสียงตีเหล็กดังออกมา กระทบกันอย่างดุเดือด ควันของการระเบิดได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ด้าน
สายตาทุกคู่ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรในตอนแรก แต่ว่าการแลกเปลี่ยนกระบวนท่านับครั้งไม่ถ้วนกำลังใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในตอนนั้น แสงสีเขียวและสีแดงได้ท่อประกายรวมกัน ต่อมา ก็พบทั้งสองร่างหลังจากปะทะเสร็จแล้ว ก็ได้ต่างคนต่างถอยหลังหลายก้าว
“ ร้ายกาจ —— “
อาจารย์ใหญ่ม่อไห่สูดลมหายใจเข้าคำโต ในแววตาปรากฏความซับซ้อน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนนี้ยังอยู่ในช่วงลมปราณขั้นก่อเกิด ยังมิได้เข้าถึงก่อนลมปราณฟ้าแต่อย่างไร ยังสามารถปลดปล่อยลมปราณออกมาได้ขนาดนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่า ร่างทั้งสองต่างก็มีเรี่ยวแรงและความแข็งแกร่งมากพอ และสิ่งที่ยิ่งทำให้ตกใจมากที่สุดก็คือเยี่ยจง เขาเพียงมีพลังลมปราณอยู่ในขั้นที่สามของขั้นก่อเกิดเท่านั้น แต่ก็สามารถต่อสู้กับผู้ที่มีพลังลมปราณอยู่ในขั้นที่สี่ของขั้นก่อเกิดได้อย่างสูสี ราวกับมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างล้นเหลือ เหมือนดั่งสัตว์ประหลาดก็มิปาน
บนลานประลองยุทธ์เฟยหงส์ มีร่างของบุคคลอยู่สองคน ความรู้สึกของทั้งสองคนช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งหัวเราะคิกคัก อีกคนใบหน้าเรียบเฉย
หรือว่า ผลแพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว
มองจากอาการบนสีหน้าแล้ว ทุกๆคนก็คงคิดว่า การปะทะเมื่อสักครู่นั้น คงได้เวลาตัดสินผลแพ้ชนะออกมาแล้ว อีกทั้งเยี่ยจงก็ยังมิใช่คู่มือศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวอีกด้วย
หรือว่าผลของการประลองจะออกมาเป็นเสมอกัน
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เยี่ยจง มีความแข็งแกร่งจนถึงขั้นยากที่จะคาดเดาได้กัน
ในเวลานั้นเอง ความรู้สึกที่ไม่อยากเชื่อได้ได้ปรากฏออกมาภายในใจของหลายๆคน ราวกับเรื่องราวที่พวกเขาพบเห็นนั้นแทบจะทำให้ลืมการหายใจไปได้เลย
ในระหว่างที่ผู้คนมากมายยังตกอยู่ในอาการตกใจ บนสนามประลองเฟยหงส์ ใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มของซูหยี่ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวอยู่หลายส่วน จากนั้นร่างกายก็ได้สั่นเทาเล็กน้อย ถอยหลังไปครึ่งก้าว จากนั้นบริเวณริมฝีปากก็มีโลหิตไหลออกมา
เลือดสดๆได้ไหลออกมา ใบหน้าอันงดงามของซูหยี่แสดงถึงความน่าสังเวชออกมา แต่ว่า ในเวลานั้นเอง ก็ไม่มีคนแปลกใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ในทันที จากนั้นใบหน้าของแต่ละคนก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
ซูหยี่แพ้แล้ว
หลังจากที่มองดูบริเวณริมฝีปากของซูหยี่ที่มีเลือดไหลออกมา และมองไปทางใบหน้าที่สงบนิ่งของเยี่ยจง ต่อให้ผู้คนทุกคนต่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ก็จำใจที่จะต้องยอมรับ การประลองครั้งนี้ มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“ เป็นไปได้ยังไง “
“ เยี่ยจงชนะแล้วหรือ “
“ พระเจ้าช่วย นั้นคือศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาว อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนลมปราณจนถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ด้วยนะ “
“ บ้าไปแล้ว ! บ้าไปแล้ว ! “
ด้านล่างลานประลอง มีคนนับไม่ถ้วนต่างอยู่ในอาการเหมือนผีตกใจเวลาเจอหน้าผีด้วยกัน จุดสิ้นสุดของเวทีประลองนี้ ทำให้หลายๆคนเหมือนตกอยู่ในความฝัน ความแข็งแกร่งของเยี่ยจงนั้นช่างไร้ที่สิ้นสุด ยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
ใบหน้าทั้งสองของหวังโม่และหลิวชิงม้งต่างปกคลุมไปด้วยความปลาบปลื้ม ตั้งแต่เริ่มแรกพวกเขานั้นมีความเชื่อใจเยี่ยจงอยู่หลายส่วน อีกทั้งเยี่ยจงก็มิได้ทำให้พวกเขาผิดหวังแต่อย่างใด
“ เป็นเยี่ยจงที่ชนะแล้วหรือ “ คนระดับอย่างอาจารย์ใหญ่ม่อไห่ยังมองดูตาไม่กระพริบ แต่ละคนนั้นต่างก็ค่อยๆรู้สึกคันที่หนังศีรษะอย่างบอกไม่ถูก ในหมู่บ้านฝึกยุทธ์เฟยหงส์ปรากฏสัตว์ประหลาดออกมาแล้วตนหนึ่ง เหตุใดก่อนหน้านี้พวกตนถึงตระหนักหรือค้นพบอะไรเลย
สามารถที่จะล้มผู้ที่ฝึกลมปราณถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวได้ เกรงว่าในหมู่บ้านฝึกยุทธ์เฟยหงส์ ก็มีอาจารย์ไม่ถึงครึ่งที่พอจะสามารถเป็นคู่มือให้ได้
บนลานประลองเฟยหงส์ เยี่ยจงมองไปยังฝั่งตรงข้าม ใบหน้าที่เปลี่ยนเปลี่ยนขาวซีดของซูหยี่ จากนั้นก็หัวเราะกล่าวออกมาเสียงดังๆ “ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ข้าคิดว่า คงไม่ต้องประลองต่อไปแล้วละ “
ซูหยี่เงยหน้าขึ้นมา จ้องมองไปที่เยี่ยจงอย่างจริงจัง ในสายตาได้ท่อประกายความพิสดารออกมา ความแข็งแกร่งของเยี่ยจง มันเกินกว่าความคาดเดาและความสามารถของนางไปแล้วทั้งหมด
“ วิชาที่เจ้าฝึก เป็นวิชากำลังภายในหรือ “ หลังจากถอยออกมา นางก็ได้เอ่ยคำถามเหล่านี้ออกมา
“ อ๋อ ศิษย์พี่หญิงมีความสนใจวิชากำลังภายในที่ข้าฝึกอยู่ด้วยงั้นหรือ “ เยี่ยจงยิ้มน้อยๆออกมา
อีกทั้งวิชายุทธ์ขั้นต่ำนี้ ใครๆก็เคยพบเห็นมาก่อนตามปกติ แต่พอได้ยินที่เยี่ยจงเอ่ยปากออกมา ซูหยี่ก็พอที่จะทราบว่าเจ้าเด็กน้อยนี้คงไม่บอกออกมาตามตรง จากนั้น นางก็กวาดสายตามองไปทางเยี่ยจงอย่างละเอียด จากนั้นก็กล่าวเสียงดังกังวาลว่า “ เจ้าชนะแล้ว “
“ เช้ง ——”
พอสิ้นเสียง ก็พบว่าซูหยี่ได้ล้วงของบางอย่างออกมา จากนั้นก็พบว่ามันบางอย่างที่ส่องประกายออกมาโยนไปทางจุดที่เยี่ยจงยืนอยู่
เยี่ยจงค่อยๆนำมันออกมาดู จากนั้นก็ใช้มือขวาหงายออกมา วางทั้งสองสิ่งไว้บนใจกลางบนฝามือ จากนั้นก็สำรวจดู การสำรวจดูสิ่งที่อยู่ในกลางฝ่ามือนั้น สรุปได้ว่าเป็นป้ายที่มีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งฝ่ามือ มีทั้งใหญ่และเล็ก ป้ายทั้งสองอันมีลักษณะคล้ายๆกัน มีเนื้อป้ายได้สลักไว้ว่า ( เสี่ยวเทียน啸天 *เย้ยฟ้า ) และมีรูปดาวรอบล้อมส่องประกาย แต่ทว่า ป้ายทั้งสองมีชิ้นหนึ่งเป็นสีทอง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นสีเงิน
“ นี้คือ “ เยี่ยจงโยนป้ายในมือทั้งสองอันไปมา แล้วเอ่ยปากถาม
- หลังจากเห็นท่าทีของเขาแล้ว มีนักศึกษาไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างลานประลองแต่ละคนต่างกรอกตาไปมา อีกนิดเดียวก็อาจอดทนไม่ไหวพุ่งขึ้นไปเพื่อแย่งแล้ว
“ นี้คือป้ายสะสมวิญญาณของลัทธิแห่งดวงดาว สีทองนั้นหมายถึงเป็นศิษย์สายใน ส่วนสีเงินนั้นหมายถึงเป็นศิษย์สายนอก นับแต่วันนี้ เจ้าก็ได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับข้าแล้ว “ หลังจากนั้นซูหยี่ก็ใช้มือคว้ายาชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหน้าอก จากนั้นก็จ้องและยิ้มหัวเราะไปทางเยี่ยจง
“ ป้าย…..หรือ “ เยี่ยจงยิ้มแล้วยิ้มอีก หลังจากนั้นก็พลิกมือ เก็บแผ่นป้ายสีทองเก็บไว้ภายในแหวนจักรวาล และอีกแผ่นหนึ่งยังคงมิได้เก็บไว้ ในระหว่างที่มีสายตานับไม่ถ้วนมองมาด้วยความอิจฉาอยู่นั้น ก็ได้โยนแผ่นป้ายสีเงินไปทางที่หวังโม่ยืนอยู่
หวังโม่ยื่นมือออกมา ในขณะที่มีสายตารับไม่ถ้วนจากรอบด้านมองมา ก็คว้าแผ่นป้ายสะสมวิญญาณเอาไว้ ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความปลาบปลื้มชั้นหนึ่ง ถึงแม้ตระกูลของตนจะถือว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่ก็ตาม แต่ทว่าคนในตระกูลของตนก็ยังไม่เคยมีใครคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวอันโด่งดังนี้ได้เลย แต่ว่าเยี่ยจงก็ยังได้ช่วยเหลือตนให้เขาสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอันโด่งดังได้ จนทำให้ผู้คนถึงกับอยู่ในอาการตะลึงลาน ต้องทราบว่า ถึงแม้การที่จะเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกของลัทธิก็เพียงพอที่จะตระกูลมีความมั่งคั่งมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ ขอบคุณศิษย์พี่หญิงซูหยี่ “ พอเห็นว่าหวังโม่ได้เก็บตราแล้ว เยี่ยจงก็ยกมือทำประสานไปทางซูหยี่ คารวะหลายที
ซูหยี่เชิดจมูก ร้อง ชิ เบาๆ “ หลังจากนี้ให้พวกเจ้าไปรายงานตัวที่เมืองหมื่นดารา ( 万象城 เมืองหว้านซร้าง
) ก็พอแล้ว ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าต้องไปทำภารกิจที่อาจารย์มอบมายมา “
ระหว่างที่พูด ซูหยี่หันหลังเตรียมตัวจากไป แต่ว่า ในระหว่างก็หันหลัง นางเหมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองไปทางเยี่ยจง บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ “ ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจง เจ้าสนใจที่จะติดตามศิษย์พี่ไปหาของวิเศษหรือไม่ “