ภารกิจระดับสูง
หลังจากที่เสียหลักอยู่กลางห้องโถงฃ สีหน้าปั้นยากของหลี่เหล่าก็จ้องมองอย่างจดจ่อไปทางเยี่ยจง ความจริงตามที่เขาคิดนั้น บุคคลที่ยุ่งยากที่สุดน่าจะเป็นซูหยี่ เด็กน้อยที่นางพามาด้วย อย่างมากก็มีลมปราณอยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเท่านั้น ทว่าเหล่าลูกน้องของตนนั้นก็ถูกจัดการได้ภายในเพียงแค่ไม่กี่นาที คิดไม่ถึงว่า เพียงวิชาดัชนีไม่กี่กระบวนท่า ลูกน้องทั้งหกของตนจะไม่สามารถรับมือได้เลย ตายจนไม่สามารถจะตายยังไงได้อีก ในเวลานั้นเอง สีหน้าของหลี่เหล่าก็กลายเป็นสีขาวจนถึงที่สุด
“ ฝีมือเยี่ยมจริงๆ “ ถึงแม้ซูหยี่จะหันกลับมามองเพียงแวบเดียว ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจคำโตเช่นกัน ถึงแม้นางจะไม่ได้หวาดเกรงคนทั้งหก แต่ถ้าให้จัดการแล้วละก็ เกรงว่าคงไม่สามารถเก็บกวาดได้อย่างสะอาดสะอ้านดั่งเยี่ยจงได้
จากนั้น ซูหยี่ก็ปรากฏรอยยิ้มอีกครั้งกล่าว “ ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจง หากว่าเจ้าสามารถช่วยศิษย์พี่หญิงเช่นข้าออมแรงอันน้อยนิดได้แล้วละก็ เช่นนั้นสะสมวิญญาณในตอนแรก ก็ถือว่าข้ายกให้เจ้าก็แล้วกัน “
หลังจากเงียบชั่วขณะ เยี่ยจงก็พยักหน้าหลายครา จากนั้นก็ค่อยๆก้าวเข้าไปยังจุดที่หลี่เหล่ากำลังมุ่งหน้าไปอยู่ ถึงแม้ว่าหลี่เหล่าผู้นี้ดูเหมือนถ้าเทียบกับลูกน้องทั้งหกคนจะยากที่จะต่อกรด้วย แต่ว่าเยี่ยจงก็มิได้เก็บเอามาคิดมากความ แพ้แค่สามารถจัดการได้เขาก็จะได้รับสะสมวิญญาณเพิ่มอีกสองพันห้าร้อย การแลกเปลี่ยนครานี้ยังถือว่าคุ้มค่า
“ ซูหยี่ เจ้าอย่าได้กระทำเกินเลยไป “
ร่างกายของหลี่เหล่าค่อยๆสั่นเทา หลังจากที่ถูกแรงกดดันของเยี่ยจงจนกรอกแววตาไปมาด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าความจริงตนเองจะมิใช่บุคคลธรรมดา จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าที่ขยะแขยงพูดออกมา
ทว่าเยี่ยจงก็มิได้สนใจคำพูดของเขา เพียงขยับมือขวาคราหนึ่ง ก็ปรากฏกระบี่ยาวทำจากเงินเล่มหนึ่งออกมา จากนั้นก็ถือกระบี่เดินเข้าหา ว่ากันตามจริง อาวุธธรรมดานี้เมื่อถูกใช้โดยเยี่ยจงแล้วละก็ ถึงแม้จะใช้ได้ไม่คล่องมือ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่เพียงฝืนใจใช้เท่านั้น
หลังจากพบว่าเยี่ยจงไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดเลย อีกทั้งยังคงก้าวเท้าเดินเข้ามา ตอนนั้นเองหลี่เหล่าก็คว้าแผนที่หนังแพะมากางไว้ในมือ กล่าวออกมาข่มขู่ “ ซูหยี่ หากเจ้าต้องการที่จะใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือแล้วละก็ เหล่าฟู่ ( ข้าผู้ชรา ) ต่อให้ตายไป ก็ยังพอมีเวลาที่จะทำลายแผนที่นี้ได้ “
“ ช้าก่อน “ ซูหยี่ค่อยๆตัวสั่น จากนั้นก็ชักมือออกไป ขมวดคิ้วขึ้น ครั้งนี้หากหลี่เหล่าต้องการทำลายแผนที่จริงๆแล้วละก็ ตามความคิดของนาง เรื่องราวเหล่านี้คงจะยุ่งยากมิใช่น้อย
“ ซูหยี่ ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าจากไป ข้าสัญญาว่าจะทิ้งแผนที่นี้ไว้ อีกทั้งจะไม่ไปมาหาสู่กับเจ้าอีก ข้าและเจ้าจะทำเหมือนมิเคยได้พบกันมาก่อน “ หลังจากเห็นว่าสีหน้าของซูหยี่เปลี่ยนแปลงไปมา หลี่เหล่าก็เหมือนค้นพบทางออกสายหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆก้าวถอยหลังออกไปจากห้องโถงด้านหลัง
“ เยี่ยม ขอเพียงเจ้าทิ้งแผนที่ไว้ ข้าขอสัญญาในความปลอดภัยของเจ้า “ หลังจากที่ซูหยี่ครุ่นคิดเสร็จ ก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“หลังจากข้าจากไปแล้วสิบลี้ ข้าจะทิ้งแผนที่ไว้ให้เอง “ หลี่เหล่าดวงตาทอประกายราวกับงูพิษออกมา จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ค่อยๆเอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง
“ จะปล่อยเขาไปจริงๆหรือ “ เยี่ยจงหยุดก้าวในทันที มองไปทางซูหยี่แวบหนึ่ง
“ เป้าหมายของพวกเรานั้นคือแผนที่อารามก่อฟ้า หากถูกเขาทำลายไป ภารกิจของพวกเราก็จะถือว่าล้มเหลว “ ซูหยี่กล่าวตอบดังๆ
“ ก็จริงนะ “ เยี่ยจงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เก็บกระบี่ยาวเข้าฝัก “ เจ้าไปเถอะ “
พูดจบ เยี่ยจงก็ตั้งใจจะหันตัวกลับ
ในเวลานั้นเอง ใบหน้าของหลี่เหล่าก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งชีวิตขึ้น สัมผัสบนร่างกายเพียงขอแค่พุ่งออกไปทางด้านหลังห้องโถงเท่านั้น
ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังเคลื่อนไหว กระบี่ยาวเงินสีมรกตของเยี่ยจงที่ความจริงเก็บเข้าฝักก็ได้ขยับอีกครั้ง กระบี่ในมือทอประกายเคลื่อนไหวอยู่รวดเร็ว
“ เจ้า——”
ร่างของหลี่เหล่าได้อยู่ในอาการชาด้าน อีกแค่เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น จากนั้นก็ขวามือมากุมไว้ที่คอหอยของตนเอง ใบหน้าไม่เพียงแค่เปลี่ยนสี ในตอนนั้นเอง ทุกส่วนของร่างกายก็ได้กระตุกคราหนึ่ง ล้มลงคลานไปตามพื้น จนถึงเวลานี้ โลหิตก็ได้ไหลออกมาราวกับน้ำทะลัก
“ ถือว่าเจ้าลงมือได้รวดเร็วจริงๆ “ หลังจากที่ซูหยี่ตะลึงครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆส่ายหัว เดินเข้าไปหยิบแผนที่ที่อยู่ในมือของหลี่เหล่า นำมาเก็บไว้อย่างดี
“ เจ้าคงไม่เชื่อความพูดของเขาว่าจะทิ้งแผนที่ไว้หรอกนะ “ เยี่ยจงสะบัดกระบี่เพื่อทิ้งเลือดที่เกาะอยู่ออกไป มองไปยังซูหยี่อย่างเงียบสงบพร้อมกับกล่าวออกมา คนประเภทอย่างหลี่เหล่านี้ เขาเมื่อก่อนนี้พบเห็นมามากมาย เขารู้ดีอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกล่าวด้วยมากความ หากวันนี้ปล่อยเขาไปแล้วละก็ วันหน้าไม่แน่ว่าคงหาเรื่องเดือดร้อนมาให้อย่างแน่นอน เรื่องอย่างปล่อยเสือเข้าป่า มิใช่สิ่งที่เยี่ยจงชื่นชอบกระทำ
“ ไม่เชื่อหรอก “ หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ซูหยี่ก็เพียงแค่ส่ายหัวน้อยๆไปมา คนผู้นี้มองไปมีอายุเพียงแค่สิบสามสิบสี่ปี เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหน้านี้คล้ายกับเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย นางรู้สึกราวกับว่าชีวิตหลายปีมานี้เหมือนกันเสียเปล่าไปเลยทีเดียว เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงมีบุคลิก ความคิดความอ่านและการกระทำไม่เหมือนคนเด็กหนุ่มทั่วไป อีกทั้งยังดูเหมือนชำนาญกว่านางอีก
ในเวลานั้นซูหยี่ก็ได้นั่งเงียบถอนหายใจออกมา ทางด้านฝั่งตรงข้าม เยี่ยจงก็ได้ชักมือยื่นออกไป จากนั้นก็แบออกมา
“ ทำอะไร “ ซูหยี่รู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว สะสมวิญญาณเล่า “ เยี่ยจงกล่าวตอบ
เห็นว่าเยี่ยจงในตอนนี้เป็นเช่นนี้ ซูหยี่เองก็ไม่ทราบจะกล่าวอันใดดี จากนั้นก็ตบหน้าผากตนเองหนึ่งที ถอนหายใจตอบ “ คงต้องรอจนกว่าพวกเราจะกลับไปส่งมอบภารกิจก่อน ถึงจะมีสะสมวิญญาณ ตอนนี้ข้าจะไปหาให้เจ้าได้จากไหนกัน…….. ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามิมีความสนใจต่ออารามก่อฟ้าเลยงั้นหรือ “
ซูหยี่ใช้มือกางแผนที่ในมือยิ้มฮิฮะกล่าวตอบ
เงียบชั่วครู่ เยี่ยจงก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น อารามก่อฟ้าที่อยู่ในราชอาณาจักรราชวงศ์โจวนั้นชั่งเป็นที่ดึงดูดยิ่งนัก เป็นดั่งเมืองที่เต็มไปด้วยพายุฟ้าคะนอง มียอดฝีมือจากตระกูลต่างๆกำลังเคลื่อนไหว ตำราอารามก่อฟ้าที่เล่าลือกัน สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่ช่วยหนุนเสริมการฝึกลมปราณขึ้นเท่าตัว หากว่ามีการฝึกลมปราณขั้นก่อตั้งแบบก้าวกระโดดเพื่อไปยังลมปราณขั้นก่อฟ้าแล้วละก็ เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอที่จะดึงดูดเหล่ายอดฝีมือมากมายได้แล้ว แต่ทว่าถ้านำมาเทียบกับเยี่ยจง เขาผู้ซึ่งเคยผ่านด่านนี้มาแล้ว ก็มิเห็นว่ามีความยากเย็นอะไร ดังนั้นสิ่งนี้มีก็เหมือนไม่มี วิชาไก่กาอย่างอารามก่อฟ้า เขานั้นยิ่งไม่มีความสนใจ หากให้เปรียบเทียบแล้วละก็ เขาสู้ไปหาไม้วิญญาณม่วงยังจะมีความสนใจมากกว่า
เห็นว่าใบหน้าของเยี่ยจงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ได้ ซูหยี่ก็กรอกตาไปมา ราวกับว่าหากเยี่ยจงไม่มีพบจุดมุ่งหมาย ก็ไม่ใช่ยากที่จะให้เขาลงมือ นางเริ่มที่จะเข้าใจแล้วหลายส่วนเกี่ยวกับนิสัยนี้ แต่ก็ไม่ถือว่าทราบดีอะไรมากมาย นอกเสียจากว่าจะมีผลประโยชน์เข้ามา ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องเบื้องหน้าผู้นี้ ยากนักที่จะขอให้เขาลงมือ
“ งั้นก็ถือว่าการปรึกษาภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้านอกจากจะรับภารกิจระดับกลางมา หรือก็คือนอกจากการค้นหาแผนที่แล้ว ยังรับภารกิจต่อเนื่องจากภารกิจระดับกลางอีกด้วย ก็คือรับภารกิจระดับสูงที่ค้นหาตำราของอารามก่อฟ้า ภารกิจชนิดนี้หากทำสำเร็จแล้วละก็ จะได้รางวัลเป็นห้าหมื่นสะสมวิญญาณเชียวนะ “ ซูหยี่หรี่ตามองแล้วกล่าวต่อ “ อีกทั้งระหว่างการทำภารกิจค้นหาตำราอารามก่อฟ้ายังมีโอกาสที่จะได้รับของวิเศษอีกด้วย เมื่อก่อนนั้นมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับอารามก่อฟ้าได้ไปสาบสูญไป ทว่าภายในระหว่างการค้นหาซากที่เหลืออยู่ก็อาจจะมีทักษะยุทธ์ โอสถวิญญาณ และศาสตราเทพ ของจำพวกนี้หลงเหลืออยู่ไม่น้อย แน่นอนว่า จุดมุ่งหมายของเราคือการค้นหาตำราอารามก่อฟ้า ยิ่งหากได้รับแล้วละก็ เจ้าและข้าจะได้เข้าร่วมการชุมนุมของบู้ลิ้มก่อฟ้าได้อีกด้วย “
“ จากนั้นเล่า “ เยี่ยจงยังคงเหมือนไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจแต่อย่างใด
บนใบหน้าของซูหยี่ตอนนี้กลับยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นก็กล่าวต่อ “ หากว่าได้รับตำราอารามก่อฟ้าที่เล่าลือกัน ภารกิจก็จะสำเร็จ ถ้างั้นข้าและเจ้าแบ่งสะสมวิญญาณคนละครึ่ง อีกทั้งของที่ได้รับ ยังแบ่งครึ่งอีกด้วย เจ้าคิดว่ายังไง “
“ สะสมวิญญาณข้าขอครึ่งหนึ่ง ตำราแห่งอารามก่อฟ้าให้เจ้า ทักษะยุทธ์ให้เจ้าเลือกก่อน แต่ว่าหากเป็นโอสถและศาสตราเทพ ยังไงก็ต้องให้ข้าเลือกก่อน ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง “ เยี่ยจงหยักไหล่ตอบ
ความจริง เยี่ยจงนั้นมีอาจารย์และตำราของสำนักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความสนใจต่อตำราก่อฟ้าแต่อย่างไร อีกทั้งแทบจะไม่มีความสนใจเลย ยังมีเหล่าทักษะยุทธ์ นอกเสียจากเป็นตำราทักษะเทพยุทธ์แล้วละก็ นอกนั้นเขาก็ไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย แต่ทว่าโอสถและอาวุธนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ในการฝึกกำลังภายในของวิชาหกกระบี่สุสานนั้น ยังจำเป็นที่จะต้องใช้พวกสิ่งของวิเศษจำพวกโอสถหายากเหล่านี้ ยังมีศาสตราเทพ นั้นไม่เหมือนกับอาวุธธรรมดาทั่วไป สิ่งเหล่านี้จะได้จากเหล่าผู้สร้างที่มีชื่อเสียงต่างๆสร้างขึ้น รวมทั้งอาวุธ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อาวุธเครื่องป้องในการป้องกันสิ่งแปลกพิศดาลได้อีกด้วย สมควรกล่าวได้ว่ามีไว้ก็ไม่เสียหาย อีกทั่งเยี่ยจงในตอนนี้ยิ่งไม่มีสิ่งเหล่านี้ติดตัวเลย หากว่าพบกับศาสตราเทพที่เหมาะสมแล้วละก็ พลังการต่อสู้ของเขาก็คงสามารถก้าวสูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ต่อให้เขาอยากจะได้ศาสตราเทพจากตระกูลเยี่ย แต่ตระกูลก็ยังมีศาสตราเทพเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น อีกทั้งเขานั้นยังเป็นเพียงแค่เหล่าลูกหลาน ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับศาสตราเทพอย่างง่ายดายเลย
“ ก็ได้ ข้ารับปากเจ้า “ ซูหยี่มองไปที่เยี่ยจงด้วยสายตาที่แปลกประหลาด แต่ก็ยังคงพยักหน้าหลายครา ปกติคนอื่นนั้นจะมองกต่ตำราลับและทักษะยุทธ์กัน แต่เป็นอย่างเยี่ยจงก็ดีอีกแบบ เพราะเขานั้นไม่เห็นสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากมายนัก
ทว่าหลังจากที่นึกถึงวิชากำลังภายในของเยี่ยจงเมื่อตอนประลองเหมือนพึ่งนึกได้ว่าวิชากำลังภายในของเขายังสูงกว่าวิชากำลังภายในที่ตนฝึกอย่าง กำลังภายในดาราคล้อย ถึงขั้นหนึ่ง ซูหยี่ก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เห็นว่าเยี่ยจงคงได้พบวาสนาที่ยากพบพาน เพียงแต่น้อยคนนักที่จะได้เจอะเจอ ดังนั้นนางจึงมิได้ถามต่อ
“ ทว่า ยังมีอีกหนึ่งคำถาม “ เยี่ยจงมองไปที่ร่างไร้วิญญาณที่นอนกองอยู่บนพื้น กล่าวเสียงดังๆต่อ “ ขนาดผู้มีฝีมือเพียงแค่นี้ยังมีแผนที่อารามก่อฟ้าได้ อีกทั้งยังได้รับข่าวสารของอารามก่อฟ้า เกรงว่า แผนที่ในมือท่าน คงมิได้มีเพียงชุดเดียวเท่านั้นแล้วละ “
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของซูหยี่ก็ค่อยๆเปลี่ยนสี ในตอนแรกนั้นนางคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้มาก่อน อารามก่อฟ้านี้ก็ถือว่ามีข่าวลือออกมาในราชวงศ์โจวถึงระยะเวลาหนึ่งแล้ว คงมีเหล่าผู้กล้าและผู้มีฝีมือไม่น้อยให้ความสนใจที่สิ่งนี้เช่นเดียวกัน อีกกระทั่งมีการปรากฏของแผนที่อารามก่อฟ้าออกมา เกรงว่าจะมิใช่แค่เรื่องบังเอิญแต่อย่างไรแล้ว
“ ถ้าอย่างงั้นความหมายของเจ้าก็คือ “ ในช่วงไร้ความรู้สึกอยู่นั้น ซูหยี่ก็มองเยี่ยจงราวกับขอความคิดเห็นของผู้ยอดยุทธ์ ต่อจากนี้คงไม่มองเขาเพียงแค่อายุและรูปร่างหน้าตาอีกแล้ว
“ ยังทำอย่างไรได้อีก “ เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา “ ตอนนี้แผนที่ในมือท่าน พวกเราทำได้เพียงจัดการทุกอย่างให้เร็วขึ้น เร่งไปยังจุดหมายของพวกเรา หากโชคดีแล้วละก็ ยังมิมีข่าวลือว่ามีผู้ใดหาอารามก่อฟ้าพบแล้วละก็ ไม่ว่าพวกเราอยากทำอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่หากหลังจากที่ไปแล้วนั้น หากพบว่ายังคงมีคนค่อยติดตาม ด้วยความสามารถของข้าและท่าน ก็คงต้องจัดการตามสถานการณ์แล้วละ “
เยี่ยจงบอกกล่าวตามความจริง ความสามารถของซูหยี่ที่ฝึกฝนลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่และเยี่ยจงที่ฝึกฝนลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม หากเทียบกับเหล่าผู้คนที่มีความสามารถเท่ากัน นั้นก็คงมิใช่ปัญหา แต่ว่าการเข้าไปค้นหาตำราอารามก่อฟ้านั้น เกรงว่าคู่มือคงมิใช่มีฝีมืออยู่ในระดับเดียวกันอีกแล้ว อีกทั้งหากพบกับเหล่ายอดฝีมือของตระกูลต่างๆหลายคนลงมือแล้วละก็ คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่จะจัดการได้
“ ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร เดินทางกันต่อเถอะ “ เยี่ยจงมองไปยังใบหน้าอันงดงามของซูหยี่ จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ ถ้าอย่างงั้นศิษย์พี่ซูหยี่ ต่อจากนี้ พวกเราจะไปไหนต่อกันดี “
ซูหยี่พลิกแผนที่ไปมาซักพัก ก็ขมวดคิ้วตอบ “ เขตชิงซาน (青山镇 เขตหุบเขาเขียวขจี)