เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 032 เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่า

ตอนที่ 032 เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่า

*修罗剑印 กระบี่ตราประทับอาชูร่า (ซิวโหรวเจี่ยยิ้น) ขอใช้ชื่อตามนี้นะครับ

ม่อฝานหลงจ้องมองไปยังทะเลสาบน้ำแข็งอย่างเงียบเชียบ จากนั้น พื้นผิวของทะเลสาบที่มียอดฝีมือไม่น้อยยังคงตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง อีกทั้งในบริเวณทะเลสาบน้ำแข็ง ยังมีงูเหลือมทมิฬเคลื่อนไหวไปมานับอยู่ไม่ถ้วน เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มียอดฝีมือคนไหนที่กล้าพอที่จะลงสู่ใต้ทะเลสาบเพื่อไปช่วยเป็นที่แน่นอน

 

ในระหว่างที่จ้องมองพื้นผิวของทะเลสาบ ม่อฝานหลงก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง

 

“ นายน้อย เกรงว่าตอนนี้พวกเราจะมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าสู่อารามก่อฟ้าก่อนนะขอรับ ตอนนี้พวกเราสมควรที่จะไปรวมตัวกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย จากนั้นก็เข้าสู่ดินแดนในตำนาน “ บริเวณทางด้านหลังของม่อฝานหลง มียอดฝีมือเหินเข้าหาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ

 

หลังจากเงียบงันแล้ว ม่อฝานหลงก็ร้องชิร์ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็วางมือลง นำพากลุ่มคนเหินจากไป ในเวลาต่อมา ในตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าเยี่ยจงนั้นเสียชีวิตเป็นที่แน่นอนแล้วหรือยัง แต่ก็เป็นไปตามที่ลูกน้องของเขากล่าวออกมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเข้าสู่อารามก่อฟ้าในตำนาน หากได้รับยอดวิชาแล้วละก็ ต่อให้ผู้มีพลังฝีมืออ่อนหัดอย่างเยี่ยจงยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้

 

“ สวบ สวบ สวบ “

 

หลังจากที่ม่อฝานหลงนำพากลุ่มคนจากไปประมาณครึ่งหนึ่ง ยอดฝีมือทั่วทั้งสี่ด้านแต่ละคนก็ทำสีหน้าโล่งใจออกมา ในเวลาไม่นานนัก เหล่ายอดฝีมือเหล่านี้ก็ได้เข้าไปเก็บรวบรวมบัวหิมะวิญญาณม่วงต่อ ในตอนนี้ ยังคงไม่มีการวี่แววของการปรากฏก้านไม้วิญญาณม่วงออกมาเลย ทว่าบัวหิมะวิญญาณม่วงเหล่านี้ก็ยังถือว่าเป็นวัตถุที่ไม่เลวอยู่

 

หลังจากที่คนเหล่านี้เริ่มที่จะลงมือกัน ด้านบนของพื้นผิวของทะเลสาบก็เหมือนมีการต่อสู้ขึ้น ราวกับเหมือนมีบางอย่างกำลังระเบิดออกมา

 

……

 

บนพื้นผิวทะเลสาบที่ดูเหมือนมีการต่อสู้ขึ้นมาการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายส่วนเป็นไอขาวๆร้อนระอุในเวลาเดียวกัน ในระหว่างที่อยู่ในทะเลสาบนั้นเอง ร่างกายเยี่ยจงที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองไปยังทางบริเวณทางด้านบน ใบหน้าเต็มไปด้วยอาการครุ่นคิดอยู่

 

เมื่อครู่ที่ถูกม่อฝานหลงจู่โจมจนต้องถอยหนีในเวลาต่อมา ในชั่วขณะที่ได้เข้าใกล้พื้นผิวทะเลสาบน้ำแข็งนั้น ลมปราณกระบี่หกสุสาน(โจวเทียน)ของเขาก็ได้ถูกกระตุ้นอย่างแปลกประหลาดออกมา ทำให้เยี่ยจงพอจะคาดเดาได้หลายส่วน อย่างน้อยก้านไม้วิญญาณม่วงน่าจะอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ จากนั้นก็หันร่างกายเข้าสู่ทะเลสาบในเวลาต่อมา กำลังภายในลมปราณโจวเทียนก็ได้เคลื่อนไหวไปมาอีกครั้ง ดังนั้น ต่อให้เขาไม่สามารถที่จะหายใจได้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้เขาขาดอากาศหายใจ

 

ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน มีเหล่างูเหลือมทมิฬเลื่อยไปมาภายในทะเลสาบไม่น้อย มีเหล่ายอดฝีมือมากมายที่ถูกงูเหลือมทมิฬฉีกกระชากร่างกาย ราวกับเส้นสีดำเหล่านี้พันวนกันราวกับลูกบอลก็มิปานภายใต้ใจกลางทะเลสาบแห่งนี้ แต่ทว่า ที่น่าแปลกใจอยู่ก็คือ เหล่างูเหลือมทมิฬเหล่านี้มิได้เข้าจู่โจมเยี่ยจงแต่อย่างไร

 

“ หรือว่า เจ้างูเหลือมทมิฬเหล่านี้ปกป้องแค่บริเวณแท่นหินเท่านั้น แต่มิใช่เหล่าก้านไม้วิญญาณม่วง แม้ว่าข้าจะมิได้ต้องการที่จะเข้าใกล้แท่นหินก็ตาม ดังนั้น พวกมันจึงมิได้สนใจข้า ? “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดชั่วครู่ หลังจากที่วิเคราะห์คำถามเหล่านี้แล้วเสร็จ จากนั้นเขาก็มองไปยังทางด้านล่างบริเวณใต้ทะเลสาบ ขอเพียงแค่สามารถค้นพบก้านไม้วิญญาณม่วง ในครั้งต่อไปที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง จะให้ม่อฝานหลงรู้ซึ้งว่าผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ยังคงมีเรื่องที่น่าตกใจอยู่อีกเรื่อง

 

“ นั้นมัน “

 

หลังจากที่มองไปยังข้างใต้ของทะเลสาบแล้ว นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ได้ขยายใหญ่ขึ้น นั้นก็คือบริเวณพอดิบพอดีของด้านล่างของแท่นหินก้อนนั้น เยี่ยจงก็ได้พบเห็นบางอย่าง ทำให้เขาได้พบเห็น ว่าแท่นหินแห่งนั้นความจริงมีรอยร้าวอยู่หลายแห่ง แต่ว่าก็มีก้านไม้วิญญาณม่วงนับไม่ถ้วนเกาะอยู่บริเวณลำต้นงอกออกมา ราวกับเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ก็มิปาน ส่วนลึกบริเวณที่อยู่ด้านล่างของแท่นหินจวบจนถึงทะเลสาบ ความจริงเป็นสิ่งที่คอยยึดแท่นหินให้คงอยู่ไม่ให้ล้มลง

 

อีกทั้งในความลี้ลับของบริเวณใจกลางต้นไม้แห่งนี้ อยู่ห่างจากเยี่ยจงโดยประมาณสองร้อยเมตรเท่านั้น ได้มีแสงสว่างสีม่วงส่องออกมา เหมือนดั่งกำลังกระพริบไปมา

 

มีแสงสีม่วงส่องสว่างออกมาบริเวณด้านล่าง ทำให้ผู้คนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นเป็นเหมือนดังท่อนไม้วิญญาณม่วงขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง อีกทั้งยังถูกอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ ราวกับกำลังส่งพลังงานความร้อนแบบหนึ่งที่แปลกพิศดาน ในเวลาเดียวกัน ก็เหมือนกำลังเติมเต็มพลังวิญญาณพลังฟ้าดินสู่ใจกลางกระจายออกมา ดูเหมือนว่า เหล่าพลังงานสีม่วงเหล่านี้เป็นจุดศูนย์กลางของทะเลสาบที่ค่อยๆส่งพลังวิญญาณฟ้าดินสู่ทั่วทั้งบริเวณก็มิปาน

 

“ ติ้ง “

 

กำลังภายในกระบี่หกสุสานของเยี่ยจง ในตอนนี้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ราวกับว่า มันก็มีความต้องการที่จะสูบพลังวิญญาณสีม่วงนั้นเช่นเดียวกัน

 

อีกทั้งปฏิกิริยาในตอนนี้ของพลังหกกระบี่สุสาน นั้นทำให้สายตาของเยี่ยจงที่กำลังมองไปรู้สึกสนองสนใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน ดูเหมือนว่า สมบัติชิ้นนี้คงจะเป็นสิ่งที่เขากำลังตามหาอย่างยากลำบากก้านไม้วิญญาณม่วงนั้นเอง

 

หลังจากที่รู้สึกตื่นเต้นเสร็จแล้ว เยี่ยจงก็มิรอช้า ร่างกายเริ่มที่จะขยับเคลื่อนไหวอีกครา พุ่งตรงเข้าไปยังบริเวณนั้นโดยทันที

 

หากเทียบกับบริเวณด้านบนพื้นผิวที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้นเอง ในจุดที่ก้านไม้วิญญาณม่วงอยู่นั้นถือว่ามีความสงบอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงทำให้เยี่ยจงรับรู้ได้เมื่อตอนที่เข้าใกล้ ก้านไม้วิญญาณม่วงเหล่านี้เป็นเหมือนรากฐานของทั่วทั้งบริเวณ คอยค้ำชูพื้นผิวโดยรอบ หรือต่อให้เป็นทะเลสาบแห่งนี้ก็อาจถูกตัดขาดจากกันได้

 

“ ดูเหมือนว่าน่าจะมีอายุอย่างน้อยมากกว่าพันปีสินะ “

 

หลังจากที่ตรวจสอบก้านไม้วิญญาณม่วงอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยจงก็เริ่มที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง อีกทั้งเมื่อมิมีสิ่งใดคอยขัดขวาง ในตอนนี้ก็ได้ดำดิ่งไปถึงจุดที่มีก้านไม้วิญญาณม่วงอยู่ จากนั้นเขาก็เริ่มที่จะนั่งขัดสมาธิ รีดเร่งพลังลมปราณหกกระบี่สุสานออกมาในทันที

 

“ ก๊ง ก๊ง ก๊ง “

 

ในเวลาที่เยี่ยจงเริ่มที่จะดูดซับพลังวิญญาณของก้านไม้วิญญาณม่วงนั้นเอง รอบด้านที่ความจริงมีแต่ความว่างเปล่า ก็ค่อยๆมีบางอย่างเคลื่อนไหวออกมา อีกทั้งทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านนั้นก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินขยับเคลื่อนไหวไปมาในทันที สิ่งนี้คงเป็นบรรยากาศความลี้ลับของก้านไม้วิญญาณม่วง จากนั้นก็ค่อยๆหายไป

 

แต่ว่า ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก้านไม้วิญญาณม่วงชิ้นนี้ก็ให้พลังแก่ผู้คนจนน่าตกใจ มีบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างสุดขีดค่อยๆแปรเป็นหมอกควันสีม่วงเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยจง จากนั้นเยี่ยจงก็ค่อยๆสูดลมหายใจเข้า ดูดซึมพลังเข้าสู่ภายในร่างอย่างไม่ขาดสาย

 

พลังวิญญาณโจวเทียนของเยี่ยจงที่เป็นพลังลมปราณของเยี่ยจง เริ่มที่จะค่อยๆเคลื่อนไหวไปมา บริเวณผิวหนังชั้นในของเขา ความจริงในตอนแรกที่มีพลังสีมรกตอยู่ ตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นส่องสว่างมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมากมาย ราวกับว่าเยี่ยจงในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนก็มิปาน สามารถที่จะทำให้ผู้คนที่พบเห็นกำลังภายในของเขาได้อย่างชัดเจน

 

ในตอนนี้ แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นการฝึกฝนพลังอย่างช้าๆ แต่กระนั้น มันก็เป็นสิ่งที่สามารถค้นหาเส้นลมปราณที่เหมาะสมสำหรับการคงอยู่ของมันได้ด้วยตัวเองก็มิปาน

 

ตามที่เล่าขานกัน ร่างกายของคนในแดนซานเชียนเสินเจี้ย เป็นร่างกายที่เหมาะสมสำหรับการฝึกยุทธ์ประเภทนี้ที่สุด อีกทั้งร่างกายภายในของคนเหล่านี้ ก็คือจะมีความมหัศจรรย์ในการหาจุดที่สมควรจะอยู่ของมันเอง เหมือนดั่งร่างกายของมารดาที่กำลังอุ้มครรภ์อยู่ กำลังภายในเหล่านี้ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ธรรมชาติให้มา

 

เพียงแต่ว่าเมื่อร่างกายของคนเราเริ่มที่จะมีการเจริญเติบโตขึ้นมา ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ภายในก็มีเส้นลมปราณบางจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อีกทั้งพลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ของทั้งเก้าขั้น ยิ่งต้องมีการควบคุมกำลังภายในให้ไปอยู่ในบริเวณของเส้นลมปราณก่อฟ้า

 

เพียงแต่ว่า การกระทำนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่กล่าว การฝึกฝนกำลังภายในโดยปกติ สามารถที่ค้นหาต้นตอของจุดตันเถียนจวบจนถึงจุดก่อฟ้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ทว่า การฝึกฝนของเยี่ยจงนั้น ตามที่เล่าขานกันว่าร่างกายที่เหมาะสมสำหรับการฝึกก็คือร่างกายที่มีเส้นชีพจรทั้งหกแตกซ่านเพื่อที่จะฝึกยุทธ์เพลงหกกระบี่สุสาน การฝึกฝนอันลี้ลับเช่นนี้ ทั่วทั้งแดนดินคงยากที่จะพบพาน หรือต่อให้เป็นเยี่ยจงที่มีพลังฝีมือเทียบฟ้าเช่นกาลก่อน ก็ยังต้องจ่ายค่าชดเชยอย่างยิ่งใหญ่มากมาย ถึงจะสามารถฝึกฝนได้จนสำเร็จ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ เป็นเรื่องยากนักที่จะได้พบพาน

 

ดังนั้น ตอนนี้เยี่ยจงก็ได้ใช้ก้านไม้วิญญาณม่วงพันปีในการฝึกยุทธ์ ทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ (อี่จิงชิ) เข้าสู่กำลังภายในอีกขั้นหนึ่ง รวมทั้งเหล่าคนทั่วไปหรือในรุ่นราวคราเดียวกันยังมิอาจวาดฝันในการค่อยๆกระตุ้นผ่านเข้าไป หลังจากที่จุดก่อฟ้าเหล่านี้ฟื้นฟูแล้ว

 

แสงยังคงสว่างอย่างต่อเนื่อง บุคลิกเยี่ยจงในตอนนี้ยังคงสาดส่องอยู่ เมื่อถึงเวลาอันสมควร พลังลมปราณของกระบี่ที่อยู่ในตัวเยี่ยจงก็ได้พุ่งทะยานออกมาจนถึงขีดสุด การไหลเวียนพลังวิญญาณโจวเทียน จนในที่สุดเยี่ยจงก็บรรลุถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่แล้ว

 

“ ฮู๊ว “

 

ช่วงเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เยี่ยจงก็ค่อยๆพ่นลมหายใจออกมา เปิดเปลือกตาขึ้น อีกทั้งร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของเขาก็ได้หายไปโดยทั้งสิ้น แต่ทว่า บรรยากาศรอบตัวก็ได้เคลื่อนไหวออกมาอย่างช้าๆ เหมือนกับว่ามีสภาวะที่หนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า

 

“ พลังลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ (อี่จิงชิ) “

 

เขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย เยี่ยจงบ่นพึมพำ เมื่อครู่ที่ผลลัพธ์ของการดูดซับพลังวิญญาณก้านไม้วิญญาณม่วงมันเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ อีกทั้งตนเองยังสามารถผ่านพ้นวิกฤตและสำเร็จเข้าสู่ขั้นอี่จิงชิได้

 

“ ถ้าหากว่ายังมีอีกซักหลายก้าน เป็นไปได้ว่าอาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่ห้าเองได้เลยก็เป็นได้ ขั้นทงหยงชิ “ เยี่ยจงกวาดสายตามองสำรวจไปรอบด้าน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง

 

เป็นไปได้ว่าการจะค้นพบก้านไม้วิญญาณม่วงได้ซักชิ้นเช่นนี้ คงจะต้องพึ่งโชคชะตาและวาสนาที่ยากจะพบพาน อีกทั้งตนเองยังต้องการอีกซักหลายก้าน คงจะเป็นความคาดหวังที่เกินเลยไปหลายส่วน

 

จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา สายตาเยี่ยจงก็เปล่งประกายคมกล้า เป็นไปได้ว่า หลังจากที่ตนเองกลับชาติมาเกิด การฝึกฝนวิชาในครั้งนี้ก็ถือได้ว่ารวดเร็วอย่างมากมาย แต่ถ้านับตั้งแต่เริ่ม ก็เหมือนภาชนะสั้นแต่ใหญ่ที่ไม่มีการฝึกปรือทักษะโจมตีอะไรที่เหมาะสมเลย ในตอนนั้นวิชาประจำสำนักเหล่านั้น ก็ยังเป็นตนเองฝืนทนฝึกฝนออกมาทั้งสิ้น แต่ว่า ก็เหมือนการฝึกฝนที่มากจนเกินไป รวมทั้งทักษะยุทธ์โจมตีในขั้นธรรมดา เยี่ยจงก็ยังไม่ถือว่ามี

 

“ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง……”

 

ในระหว่างที่หวนรำลึกอยู่นั้นเอง ภายในจิตใต้สำนึกของเยี่ยจงก็ค่อยๆเต้นระรัว จากนั้นก็เหมือนมีทักษะยุทธ์แบบหนึ่งเข้าสู่ความคิดของเขาเอง

 

เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่า

 

ทักษะยุทธ์ชุดนี้เข้ามาในหัวของเขาอย่างลี้ลับ หรือต่อให้หลังจากที่ผุดขึ้นมาในความคิดของเยี่ยจงก็ตาม สิ่งนี้คงจะเป็นความลี้ลับเมื่อตอนที่ศึกษาพร้อมกับเพลงกระบี่หกสุสานภายในถ้ำ ตนเองเมื่อตอนนั้นเพียงพลิกดูอยู่หลายครา แต่เพราะว่ามันเป็นทักษะยุทธ์ระดับล่าง จึงมิได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย

 

แต่ว่า จากที่ดูๆแล้ว เจ้าเพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าและลมปราณกระบี่หกสุสานน่าจะมีความเกี่ยวข้องกันหลายส่วน

 

หลังจากครุ่นคิดเสร็จ เยี่ยจงก็ไม่เสียเวลาต่อไป จากนั้นก็เริ่มลงมือฝึกปรือ

 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าทักษะยุทธ์ระดับล่างชนิดนี้ ตามความคิดของตนเอง ถือว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมอยู่ ควรทราบว่า ทักษะยุทธ์โจมตีระดับล่าง แม้แต่ลัทธิแห่งดวงดาวเองก็ยังถือว่ามีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

 

“ ฉี่ ฉี่ ฉี่ “

 

เยี่ยจงได้เคลื่อนไหวมือเป็นสัญลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปมา บริเวณใจกลางฝ่ามือ ก็ค่อยๆปรากฏตราประทับของกระบี่ออกมา ตราประทับกระบี่มีลักษณะนูนและมีสีแดงเหมือนดั่งโลหิต เก็บซ้อนความลี้ลับไว้หลายส่วน

 

“ อืม ? “

 

เยี่ยจงจ้องมองไปที่รอยกระบี่ตราประทับอาชูร่าที่ผุดขึ้นมา สีหน้าค่อยๆแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก็เพราะว่าเขาได้รู้ว่า การฝึกฝนของเพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าชุดนี้ มีการเดินลมปราณที่แตกต่าง การฝึกฝนเดินลมปราณเพื่อใช้ทักษะยุทธ์โจมตีให้สำเร็จ ก็จะสามารถใช้ออกเป็นรูปแบบของพลังได้โดนทันที แต่ว่า หลังจากที่ฝึกปรือเพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าชุดนี้แล้ว รู้สึกว่าพลังที่ใช้ออกนั้นอยู่ในขั้นที่ไม่ถือว่ามากมาย แต่ว่า เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าชุดนี้ น่าจะมีการพัฒนาเป็นขั้นระดับชั้นได้

 

หากนับตามที่เยี่ยจงคาดคิดไว้ แม้เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าจะไม่ถือว่าร้ายกาจก็ตาม แต่ว่า ถ้าหากฝึกปรือเพลงกระบี่ตราประทับมากยิ่งขึ้นต่อไป เกรงว่าความร้ายกาจของกระบวนท่านี้ คงมากเกินกว่าการคาดคำนวณของตนเอง

.

.

.

.

 

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset