ตอนที่ 034 การตัดสินใจที่มิอาจลังเล
“ ถ้าหาก ข้าบอกว่าไม่ละ ? “
ขณะนี้ เยี่ยจงมิได้บอกถึงความหมายที่ตนเองได้ครอบครองก้านไม้วิญญาณม่วงแล้วแต่อย่างไร ทว่าเพียงแค่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองไปทางด้านผู้อาวุโสแซ่ม่อ กล่าวตอบเสียงดังกังวาล
หลังจากเงียบงัน ผู้อาวุโสแซ่ม่อก็ส่ายศีรษะไปมา สูดลมหายใจเข้าแล้วกล่าว “ ตอนนี้เหล่าเด็กน้อยที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาว แต่ละคนก็เป็นกันซะแบบนี้ ต่างก็คิดว่าชื่อเสียงของลัทธิแห่งดวงดาวสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้มากมายหรือไรกัน กระทั่งเรื่องราวเช่นนี้ในเวลาที่สมควรรักษาชีวิตก็ยังไม่ทราบว่าควรทำเช่นไร ต่างก็แยกแยะกันไม่ออกแล้ว…..ช่างน่าเสียดายจริงๆ! “
“ ให้รักษาชีวิตไว้หาคู่งั้นหรือ ก็แค่มีพลังฝึกปรืออันอ่อนหัดแค่ในระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ คงคิดว่าเจ้าจะสามารถจัดการข้าได้งั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าอายุยิ่งมาก ก็ยิ่งโง่งมเสียได้ “ หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็หัวเราะเสียงเบาแล้วกล่าวตอบ อีกทั้งลักษณะคำพูดคำจายังถือว่าไม่เห็นแก่หน้าของผู้อาวุโสแซ่ม่อท่านนี้เลย
“ หาที่ตาย! “ ผู้อาวุโสแซ่ม่อยิ้มออกมาอย่างเยียบเย็น มือเท้าเคลื่อนที่โดยพร้อมเพรียง ร่างกายราวกับระเบิดออกมาทันที หลังจากนั้นก็พบพลังหมัดที่ถูกปล่อยออกมาอย่างดุดันจนถึงขีดสุด มุ่งเป้าไปยังจุดที่เยี่ยจงปักหลักอยู่
เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีที่น่าหวาดหวั่น เยี่ยจงก็ค่อยๆหรี่ตาลง แต่ว่าในเวลาชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือขวาใช้ออกด้วยพลังหมัดเช่นเดียวกัน จากนั้นก็พบว่าพลังสี่เต๋าตราประทับกระบี่หน่วงเสริมพลังเข้าไปที่หมัดข้างขวาของเขา ทำให้หมัดนี้ของเยี่ยจงใช้ออกด้วยความหนักหน่วง
ตราประทับกระบี่เป็นเหมือนดั่งการใช้ยันต์ก็มิปาน หากไม่ได้เห็นกับตา คงไม่เชื่อว่าจะสามารถเสริมพลังถึงสี่เท่าในเวลาเดียวกัน เป็นหนึ่งในระดับพลังที่สามารถระเบิดออกมาได้เลย เพียงพอที่จะสามารถทำให้ผู้ที่กำลังตรวจสอบเกิดอาการตื่นตกใจ
“ วันนี้ข้าก็จะดูว่า ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวเช่นเจ้าจะมีความสามารถแค่ไหนกัน “ ผู้อาวุโสแซ่ม่อในตอนที่พบว่าเยี่ยจงมิได้หลบหลีกหรือถอยหนี บนใบหน้าก็ทวีความน่ากลัวมากขึ้นประทุออกมา
“ เปรี้ยง “
ในชั่วเวลาต่อมา พลังหมัดของทั้งสองก็ได้เข้าปะทะโดนพร้อมเพรียง แต่ว่าในเวลาที่พลังหมัดทั้งสองเข้าปะทะ ใบหน้าของผู้อาวุโสแซ่ม่อก็ได้เปลี่ยนเป็นขาวซีด อาการไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นปกคลุมภายในดวงตา
“ เป็นไปได้อย่าง — “
“ ปุ่— “
คำพูดของเขายังทันที่จะกล่าวจบ พลังหมัดของเยี่ยจงก็ได้บรรลุถึงจนทำให้มือและไหล่แตกกระจาย อีกทั้งการลงมือยังไม่มีการยั่งมือไว้ไมตรีด้วย ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นยังคงอัดแน่นอยู่บริเวณทรวงอก
ผู้อาวุโสแซ่ม่อร่างกายสั่นเทาคราหนึ่ง กลางอกที่มีรูย้อมไปด้วยเลือด หลังจากพ่นเลือดสดๆได้ถูกออกมา จากนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งนี้และล้มลงสู่พื้นในที่สุด สิ่งที่เพียงพอจะบรรยายได้ก็คือ เหมือนเป็นการตายที่ตายแล้วไม่รู้จะตายอีกได้อย่างไร
“ อะไรกัน ? “
“ เป็นไปได้อย่างไร !? “
หลังจากนั้นยอดฝีมือตระกูลม่อราวสิบคนกุมดาบยาวไว้แน่น ถึงจะมีการตอบสนองกลับมาทันทีก็ตาม สีหน้าแต่ละคนต่างอยู่ในอาการไม่เชื่อสายตาตนเอง พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึง เพียงแค่เข้าปะทะกันรอบเดียวผู้อาวุโสของตระกูลที่มีพลังฝีมือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ กลับต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝังเช่นนี้หรือ !?
เมื่อมองไปที่ชุดเก่าขาดและสีหน้าไร้อารมณ์ของเยี่ยจง ราวกับสามารถทำให้ยอดฝีมือตระกูลม่อหัวใจแทบกระดอนออกมา ในเวลาต่อมา พวกเขาแต่ละคนหันหลังกลับวิ่งออกไปในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจอย่างชัดแจ้งเป็นอย่างดี ว่าแม้แต่ผู้อาวุโสในตระกูลตนก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจงผู้นี่ เช่นนั้นพวกเขากลุ่มนี้ คงมิใช่แม้แต่คู่มือของเยี่ยจงเช่นเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือนำข่าวสารกลับไปแจ้งแก่ม่อฝานหลง
“ ไหนๆก็มาแล้ว ไม่คิดจะนำของขวัญกลับไปด้วยหรือ ข้าเองก็กลัวว่าม่อฝานหลงจะหาว่าข้าไม่รู้จักสัมมาคราวะ “ เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นช้า หลังจากนั้นเขาก็พลิกมือคราหนึ่ง ชิ้นส่วนของกระบี่ยาวมรกตก็มาอยู่บนมือ จากนั้นเขาก็กุมส่วนหนึ่งของเศษกระบี่ยาวไว้ รีดเค้นพลังตราประทับกระบี่อาชูร่าครอบคลุม ขว้างดาบยาวออกไปโดยทันที
“ สวบ สวบ สวบ “
สิ่งนี้ทะลุผ่านร่างไป และได้สั่นไหวคราหนึ่ง จากนั้นก็มีเศษกระบี่ที่ถูกเยี่ยจงดีดออกแทงตายล้มลงบนพื้นน้ำแข็งอีกหลายคน ในช่วงที่ใกล้จะตาย ใบหน้าของคนเหล่านี้ต่างอยู่ในอาการไม่อยากจะเชื่อ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ไม่เข้าใจ เหตุใดพวกตน จึงได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ได้รวดเร็วถึงขนาดนี้
จนกระทั่งยอดฝีมือตระกูลม่อคนสุดท้ายได้ล้มลง เยี่ยจงค่อยก้าวออกไปข้างหน้า จากนั้นก็ใช้มือถอดแหวนจักวาลบนมือของผู้อาวุโสแซ่ม่อ ต่อมาก็ปัดมือไปมา หันหลังเดินจากไป
บริเวณทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน มียอดฝีมืออยู่หลายคนมองไปยังฉากเบื้องหน้า ใบหน้าของแต่ละคนต่างอยู่ในอาการแห้งผาด ถึงแม้จะมีผู้คนไม่น้อยต่างก็ทราบ ว่าแหวนจักวาลที่เยี่ยจงได้รับไปวงนั้น น่าจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ไม่น้อย แต่ว่า ตอนนี้ก็มิมีผู้ใดอาจหาญพอที่จะเข้าไปแย่งชิง ภายในใจพวกเขาแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง แม้ว่า ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คงคิดไม่ถึง เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอายุยังน้อยผู้นี้ แต่ตอนลงมือกลับช่างอำมหิตไร้ปราณี
มีอยู่หลายคนที่ถึงแม้จะเคยเห็นเยี่ยจงลงมือมาก่อน ตอนนี้ต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปตามๆกัน ต่างก็หวาดกลัวกับการลงมือของเยี่ยจง เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากมีซักวันที่พวกเขามีความอาจหาญกระทำเรื่องต่างๆนาๆแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ลงมือต่อเยี่ยจงเป็นที่แน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องที่ม่อฝานหลงลงมือต่อเยี่ยจงเมื่อคราวที่แล้ว คราต่อไปจะส่งผลเช่นไร เกรงว่าคงยากที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยซะแล้ว
หลังจากส่ายหน้าและถอนหายใจแล้ว คนเหล่านี้ต่างก็มุ่งสมาธิกับการเก็บเกี่ยวบัวหิมะวิญญาณม่วงที่อยู่ทั้งสี่ทิศ เริ่มต้นที่จะระมัดระวังกับการเก็บต่อไป
……
หลังจากออกจากทะเลสาบน้ำแข็ง เยี่ยจงก็ตรวจสอบแหวนจักวาลที่ได้รับมาบนมือ ด้านในนอกเสียจากบัวหิมะวิญญาณม่วงและหินวิญญาณแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจเลย อาจจะเป็นเพราะว่า สถานะของผู้อาวุโสของตระกูลม่อท่านนี้ไม่ได้สูงส่งมากมาย จึงทำให้เขาก็มิมีสิ่งที่มีค่ามากมายกระไรนัก
หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว เยี่ยจงก็มุ่งหน้าเดินทางต่อตามกลุ่มผู้คน อีกทั้งยังเร่งความเร็วในการเดินทางเพิ่มขึ้น
หลังจากที่เดินทางได้ประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว ก็พบกับพื้นที่ราบเป็นแนวเดียวกัน ตลอดรายทางมีสิ่งปลูกสร้างอารามโบราณตั้งอยู่ ในตอนนี้มีผู้คนไม่น้อยที่ใช้ยันต์ในการเข้าๆออกๆไปมา คงคาดหวังไว้ว่าจะมีโอกาสในการถูกส่งไปสถานที่มีสมบัติล้ำค่า
เพียงแต่ว่า สถานที่แห่งนี้ยังดูวุ่นวายมากกว่าทะเลสาบน้ำแข็งอยู่เล็กน้อย ท่ามกลางทะเลสาบน้ำแข็ง อย่างน้อยในเหล่ายอดฝีมือก็ไม่เกิดการแย่งชิงที่มากมายเช่นนี้ หากมีการปรากฏศาสตราวุธวิเศษ คัมภีร์ยุทธ์วิเศษและยาวิเศษจำพวกนี้ซักชิ้นในตอนนี้แล้วละก็ ผู้คนรอบข้างในตอนนี้คงเข้ามาแย่งเหมือนดั่งหมาป่ากระหายเลือด เพื่อที่จะได้ครอบครองของเหล่านี้ ไม่ว่าจะสูญเสียสิ่งใดไปก็ก็ยังถือว่าคุ้มค่า
เยี่ยจงกวาดตาสำรวจไปรอบด้าน รู้สึกว่าไม่มีอันใดน่าสนใจมากมาย หากนับถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของเขามามองสถานการณ์เบื้องหน้า ในตอนนี้ยังถือว่าอยู่ภายในรอบนอกของอารามก่อฟ้าแห่งนี้ ต่อให้ตรงนี้จะมีสมบัติอยู่ก็ตามที แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร หากเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงแล้วละก็ แน่นอนว่าคงไม่มีความสนใจอะไรต่อสถานที่เช่นนี้
หากนับตามที่เยี่ยจงเข้าใจนิสัยของซูหยี่ ต่อให้นางสามารถเข้าสู่ชั้นภายใน ยังไงก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะเข้าไปก่อน หลังจากที่คิดคำนวณดู เยี่ยจงก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไปเหล่านี้ เดินทางเข้าไปยังส่วนลึก หรือต่อให้อาจจะมีผู้ใดที่อาจจะลงมือต่อเขา ตอนนี้เยี่ยจงก็คงจะไม่เกรงใจอีกต่อไป หากใช้ออกตราประทับกระบี่อาชูร่าบนมือ คนเหล่านี้คงจะต้องกระอักเลือดแล้วถอยหนีจากไป พอท้ายที่สุด คงมิมีผู้ใดกล้าพอที่จะเข้ามาขัดขวางการเข้าสู่ส่วนลึกของเยี่ยจงแล้ว เห็นอยู่แล้วว่าพวกเขาต่างก็รู้ดี หากไปไม่ก่อกวนเยี่ยจงก่อน ยังถือว่าไม่มีอันใด แต่ว่าหากลงมือต่อเขาไปแล้วละก็ เกรงว่าคงจะนำพาความเลวร้ายมาสู่ตนเองแล้ว
เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ ก็ยังถือว่าเป็นการให้เยี่ยจงได้ทดลองกระบวนท่า หลังจากที่มีเหินมาเพิ่มอีกราวสิบคน หากว่าสามารถที่จะควบคุมวิชาตราประทับกระบี่อาชูร่า เยี่ยจงก็จะยิ่งคุ้นเคยกับการใช้มากขึ้น
ในตอนที่ใช้ยันต์เดินทางจากด้านนอกเข้ามาก็ใช้เวลาถึงครึ่งวันแล้ว ทั่วทั้งสี่ทิศที่มีคนใช้ยันต์ผ่านทางลดลงเรื่อยๆ หรืออาจจะพบว่ามีการใช้ยันต์ผ่านทาง แต่ว่าโดยส่วนมากก็จะเป็นพวกที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเข้ามาในห้องโถง แน่นอน ภายในห้องโถงในตอนนี้ ต่างมีเสียงพูดคุยดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
จากนั้นเยี่ยจงก็มองสำรวจบริเวณโดยรอบโดยคร่าวๆ แล้วก็ส่ายหัวไปมา ที่ห้องนี้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกัน ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ในตอนนี้เยี่ยจงเหมือนพบเจอศาตราวุธวิเศษระดับล่างราวๆสิบชิ้นได้ เพียงแต่ว่าการปรากฏของศาตราวุธเหล่านี้ ต่างก็กำลังถูกแย่งชิงกันอย่างวุ่นวาย จนทำให้เยี่ยจงรู้สึกไม่มีกระจิตกระใจจะดูต่อจนก้าวเท้าเดินออกมา
เยี่ยจงยังคงนำพาตนเองเข้าสู่ชั้นลึกลงไป หลังจากที่เดินทางได้ประมาณครึ่งวัน ผู้คนรอบด้านต่างก็ลดลงไปมาก เพียงแต่ว่า กลับมีเพียงเส้นทางที่ถูกปลูกสร้างในแบบโบราณออกมาเป็นเส้นๆให้เดินผ่านเข้าไปเพียงเส้นทางเดียว เห็นได้ชัดว่า ที่แห่งนี้น่าจะเป็นบริเวณส่วนลึกด้านในอารามก่อฟ้าแล้ว อารามก่อฟ้าเมื่อสมัยที่กำลังรุ่งโรจน์อยู่นั้น มีความเป็นไปได้ว่าคงมีลูกศิษย์น้อยคนนักที่จะสามารถเข้ามายังบริเวณส่วนลึกของอารามได้
เพียงเวลาไม่นาน เยี่ยจงก็เดินทางมาถึงใจกลางลานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง อีกทั้งสุดปลายทางของลานแห่งนี้ ที่ด้านหน้ามีวัดที่ทำจากหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในตอนนี้ ในตอนนี้ หินขนาดใหญ่ก็ได้มีรอยแตกร้าวออกมา บริเวณด้านในมีเงาคนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ เห็นได้ชัดว่า ในตอนนี้ผู้คนด้านในคนกำลังต่อสู้แย่งชิงอะไรบางอย่างกันอยู่
เยี่ยจงกวาดสายตามองสำรวจรอบด้านอยู่รอบหนึ่ง สักครู่เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาแล้ว เขาพบว่าด้านในที่แห่งนี้ยังมีเส้นทางลับที่สำคัญอยู่อีกแห่ง แต่ว่าที่แห่งนี้คงไม่ใช่สถานที่เก็บศาสตราวุธวิเศษหรือคัมภีร์วิเศษ หรือต่อให้มีสมบัติบางอย่าง ก็คงไม่ได้ดีไปซักเท่าใด
ในตอนที่เยี่ยจงกำลังจากจากไปนั้นเอง ก็มีเรื่องเรียกดังเจือแจวออกมาดังกังวาน “ คนแซ่เยี่ย เจ้ากล้าทำร้ายคนของลัทธิแห่งดวงดาวอย่างพวกเรา ชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยของพวกเจ้ายังอยากที่จะหลงเหลือถึงปีหน้าแล้วใช่หรือไม่ “
“ หุหุหุ ขอเพียงสามารถจัดการกับพวกเจ้าทั้งสามในที่แห่งนี้ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ จะมีใครทราบได้กัน ? ยกเว้น หากเจ้าจะเชื่อฟัง พวกเราก็ยังนับว่าเป็นสหายกันได้ ใช่หรือไม่ ? “ น้ำเสียงลากยาวเสียงหนึ่งที่ยังดูหนุ่มแน่นแต่ก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหย่านหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่า เจ้าของเสียงผู้นั้นในตอนนี้ คงเป็นเหมือนคนบ้าที่กำลังคลั่งอยู่
ที่ด้านนอกของวัดศิลา เยี่ยจงที่ความจริงเตรียมความพร้อมที่จะหันกายเดินจากไป ทันใดนั้นเอง เขาก็ถอนหายใจออกคำหนึ่ง ส่ายศีรษะไปมา เขาฟังออกว่า เจ้าของเสียงที่ดังออกมานั้น น่าจะเป็นหนึ่งในศิษย์สายนอกของลัทธิแห่งดวงดาวทั้งสามที่บังเอิญพบกับก่อนหน้านี้
อีกทั้งคนที่พวกนางกำลังสนทนาอยู่ด้วย มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นคนของตระกูลเยี่ยหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แล้วละ
หากว่าก่อนหน้านี้มิได้บังเอิญพบพานศิษย์พี่น้องหญิงทั้งสามแล้วละก็ เยี่ยจงในตอนนี้คงไม่มีความสนใจที่จะเข้าไปขัดไม้ขัดมือเรื่องราวเหล่านี้ ทว่า หลังจากที่ถอนหายใจไปอย่างแรงแล้ว เขาก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าไป
ไม่ว่าตนเองจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม ลัทธิแห่งดวงดาวของตนเองก็ยังถือว่าต้องช่วยเหลือปกป้องกันและกันอยู่แล้ว ศิษย์หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวเหล่านี้หากไม่รู้จักกันก็ถือว่าแล้วต่อกัน แต่หากว่ารู้จักกันก็ ตอนนี้จะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักแล้วหันหลังเดินจากไป คงจะเป็นอะไรที่ดูไม่เหมาะสมซักเท่าใด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผู้ที่ลงมือต่อพวกนางต่างก็แซ่เยี่ย สิ่งนี้ถือว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดเยี่ยจงได้อยู่ไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่าเมื่อตอนที่อยู่ในสาขาหลัก ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่มามีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ดูเหมือน อีกครึ่งหนึ่งจะมาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว
.
.
.
.