ตอนที่ 035 เรื่องน่ารำคาญ[2]
ด้านในใจกลางของหินขนาดใหญ่นี้มีพื้นที่ที่ดูกว้างขวางเหลือคณา รอบด้านต่างก็ประดับไว้ด้วยหินที่ดูสวยงามวางไว้ ที่ด้านบนของพื้นได้มีการจัดวางพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งตั้งอยู่เรียงราย เพียงแต่วันเวลาที่ผ่านมานั้น หินประดับเหล่านี้ก็มีส่วนที่เสียหายเกินครึ่งหนึ่งไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มพระพุทธรูปที่ต่างก็มีส่วนที่เสียหายตั้งแต่แรก ทว่า ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรก็ตาม ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสามารถมองออกว่า อารามก่อฟ้าในอดีตคงเป็นสถานที่ที่ถือว่ามีความยิ่งใหญ่อยู่มา ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีการตกแต่งที่สวยงามได้เช่นนี้ เพียงแต่ว่าก็ถูกวันเวลานั้นกัดกร่อนไป สถานที่แห่งนี้ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงแตกหักไปมากมาย
ในตอนนี้ ภายในกลางห้องโถงใหญ่ เต็มไปด้วยเงาร่างของผู้คนมากมาย ทว่าก็ยังมีเงาร่างไม่น้อยที่ยืนอยู่บริเวณโดยรอบทั้งสี่ทิศ แต่ว่า บริเวณใจกลางนั้น ได้ปรากฏกลุ่มคนที่น่าจะมีราวสิบคนรวมตัวกันอยู่ ร่างกายของคนกลุ่มนี้สวมไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีเขียวเข้ม ราวกับแสดงออกถึงความทะนง ทำให้ผู้คนที่เมื่อเห็นพวกเขาแล้วสามารถมองออกว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่มาจากตระกูลใหญ่ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง อีกทั้งหากนับรวมกับความทะนงของพวกเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เหล่ายอดฝีมือที่อยู่รอบด้านตัดสินใจที่จะไม่เคลื่อนไหวจะดีกว่า ดังนั้น บ่งบอกว่าพวกเขามองออกถึงความเป็นมาของคนกลุ่มนี้
คนของตระกูลเยี่ยที่เป็นถึงหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ แลเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ ถึงแม้จะไม่สามารถเทียบได้กับลัทธิแห่งดวงดาวอันน่าหวาดหวั่นได้ แต่ว่าห้าตระกูลใหญ่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ถือว่ามีลัทธิแห่งดวงดาวไม่มี นั้นก็คือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (T/L: หมาหมู่ว่างั้น) หากว่าคุณทำร้ายคนของลัทธิแห่งดวงดาวแล้วละก็ ใช่ว่าลัทธิแห่งดวงดาวนั้นจะออกหน้าให้ ก็เพราะว่าศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นถือว่ามีอยู่มากมายหลายพันหมื่น มีหรือที่พวกเขาจะสามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าหากเป็นคนของห้าตระกูลใหญ่นั้น โดยทั่วไป ต่อให้พวกเขานั้นจะมิได้แข็งแกร่งหรืออย่างไร แต่ว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมาย พวกเขาก็สามารถร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้
ยิ่งมิต้องพูดถึง ตระกูลเยี่ยในตอนนี้ เหล่ารุ่นเยาว์ มีอยู่สองคนที่เป็นผู้นำขบวนเหล่าศิษย์ทั้งหลายอยู่ ยิ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนในห้องโถงนี้ไม่กล้าที่จะแตะต้องพวกเขาได้ เดาได้ว่าจะมีก็เพียงแค่บุคคลเยี่ยงซ่งเซ้าเฉิง ม่อฝานหลง เหล่านี้ถึงจะสามารถต่อกรกับพวกเขาได้
ในบริเวณชั้นบนสุดของอารามหินใหญ่นี้ มีแท่นบูชาโบราณตั้งไว้ บริเวณที่วางแท่นบูชานั้นเป็นแท่นหินขรุขระก้อนหนึ่ง แท่นหินในตอนนี้ได้มีส่วนที่สึกหรอไปแล้วมากมายนับไม่ถ้วน
ที่แท่นบูชานั้นประกอบไปด้วยสองสี อีกทั้งยังมีพุทธรูปหินขนาดสูงใหญ่ตั้งไว้อยู่ บนร่างของพระพุทธรูปหินนี้มีลักษณะขรุขระเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีผู้พบเห็น ก็ให้บรรยากาศที่น่ายำเกรงอยู่ส่วนหนึ่ง แผ่ออกมาจากร่างเหล่านี้ ราวกับเคยมีชีวิตอยู่ก็มิปาน
อีกทั้งใจกลางฝ่ามือทั้งสองข้างของพระพุทธรูป เหมือนกับว่ากำลังถึงสิ่งของบางอย่างอยู่ก็มิปาน เพียงแต่ว่าของทั้งสองสิ่งนี้ไม่ทราบว่าหายไปยังที่ใดแล้ว
อีกทั้งบริเวณด้านหน้าของแท่นบูชานั้น ในตอนนี้มีร่างกายของหญิงสาวรูปร่างดีสามนางกำลังยืนตัวสั่นเทาอยู่ นอกเสียจากหญิงสาวกระโปรงเขียวที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของนางนั้น คนที่อยู่ทางด้านซ้ายมีร่างกายที่อ้อนแอ้น บนร่างของหญิงสาวนั้นส่งกลิ่นคล้ายดอกมะลิชนิดหนึ่งในดวงตาเต็มไปด้วยอาการแตกตื่นอยู่หลายส่วน ส่วนหญิงสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ให้บรรยากาศลี้ลับน่าค้นหา ลักษณะสถานการณ์ด้านในในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก
“ เหอะ สาวงามน้อยทั้งสาม…..พวกเจ้าหากยังไม่นำสิ่งของออกมาแล้วละก็ เกรงว่าพี่ชายอย่างพวกข้าคงจะไม่รู้ว่าจะดูแลเหล่าบุบผางามเยี่ยงไรแล้วละ แล้วพวกเจ้าลองคิดดู พี่ชายอย่างพวกข้ามีตั้งมากมาย ส่วนพวกเจ้ามีแค่สามคนจะสามารถทำอะไรได้ ? “ ภายในกลุ่มตระกูลเยี่ย มีคนที่กำลังปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ย์กล่าวออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความร้อนแรง ร่างกายของเด็กสาวทั้งสามแต่ดูๆแล้วก็ชั่งดูอ้อนแอ้นนัก หากว่าสามารถสัมผัสร่างกายเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนน้ำนายไหลออกมาได้เลย
จากที่สำรวจดูเหล่ากลุ่มคนของตระกูลเยี่ยรุมล้อม หญิงสาวทั้งสามที่อยู่บริเวณหน้าแท่นบูชา ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์สายนอกของลัทธิแห่งดวงดาวที่เยี่ยจงพบเจอกันคราหนึ่งเมื่อวันก่อน ตอนนี้คนที่ร่างกายเล็กที่สุดในกลุ่ม สวมชุดกระโปรงเขียวดูเหมือนจะเรียกว่าเซียงฉียวี่กำลังกล่าวออกมา แต่ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ กล่าว “ พวกเจ้าอย่าทำให้มันเกินเลยไป ศาตราวุธวิเศษชิ้นนี้ความจริงเป็นพวกเราพบเจอก่อน พวกเจ้าในตอนนี้ก็ได้ครอบครองไปแล้วชิ้นหนึ่ง ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไม่เช่นนั้นรอจนเหล่าศิษย์พี่ของพวกข้ามาแล้วละก็ พวกเจ้าแซ่เยี่ย ไม่รู้ว่าจะตายเยี่ยงไร “
อีกทั้งเซียงฉียวี่ก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือฆ่าฟันกับเหล่ายอดฝีมือของตระกูลเยี่ยเหล่านี้เช่นเดียวกัน ทว่าในด้านพลังของพวกนางทั้งสามคน ยังถือว่าอยู่ในระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม อีกทั้งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มตระกูลเยี่ย ทั้งสองยังถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะประหลาด พลังฝีมือนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัว อีกทั้งหากนับรวมเกล่าเหล่าพี่น้องตระกูลเยี่ยนับสิบคนที่ติดตามมาด้วยสายตาหื่นกระหาย หากมิใช่ยังคงเกรงกลัวในสถานะของพวกนางอยู่หลายส่วนแล้วละก็ เหล่าศิษย์พี่น้องตระกูลเยี่ยคงจะลงมือตั้งแต่ทีแรกแล้ว ดังนั้น เซียงฉียวี่และพวกทั้งสามหากต้องการที่จะลงมือแย่งศาตราวุธวิเศษคืนมาแล้วละก็ คงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ เหอะ ศิษย์พี่หรือ ? ซ่งเซ้าเฉิง ? หร่งเทียน ? หรือว่าซูหยี่ ? “ หนึ่งในกลุ่มคนในตระกูลเยี่ย มีคนหนึ่งเป็นชายที่มีอายุราวยี่สิบปีก้าวมาด้านหน้า ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเขากำลังโยนเล่นกริชเล่มหนึ่งอยู่ กริชเล่มนี้มีลักษณะสีแดง บนตัวกริชนั้นแกะสลักไว้ด้วยนกยุงเพลิงสีแดงอยู่ ส่งพลังความร้อนอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งออกมา วินาทีนั้นเอง ราวกับมีเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนของนกร้องออกมา
ภายในกลางห้องโถง สายตามากมายนับไม่ถ้วนมองไปที่ในมือของชายหนุ่มที่ถือไว้ด้วยกริชเพลิงสีแดง นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความโลภมากมาย ศาตราวุธชิ้นนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลาง พลังมากมายเหลือคณา ในตอนที่พึ่งเข้ามายังห้องโถงนั้น ในมือของพระพุทธรูปหินที่ถือไว้ด้วยกริชทั้งสองเล่ม อีกทั้งเซียงฉียวี่และพวกรวมทั้งเหล่าคนของตระกูลเยี่ยก็ได้ไปคนละเล่ม บุคคลอื่นนั้นแทบจะไม่มีโอกาสที่จะแสดงฝีมือออกมาแย่งชิงได้เลย
เพียงแต่ว่า หลังจากที่ได้รับกริชเล่มนั้นไปแล้ว คนของตระกูลเยี่ยนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก พวกเขาเห็นว่า กริชสองเล่มนี้น่าจะเป็นกริชคู่คู่หนึ่ง เห็นสมควรว่าน่าจะอยู่ร่วมกัน ถึงจะสามารถแสดงแสนยานุภาพได้ถึงขีดสุด ดังนั้น คนของตระกูลเยี่ยจึงไม่ยอมให้เซียงฉียวี่และพวกทั้งสามจากไป
หลังจากที่โยนเล่นกริชเพลิงสีแดงเล่มนี้แล้ว ชายหนุ่มตระกูลเยี่ยก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าปกคลุมไว้ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ย์ จากนั้นก็ยื่นมือออก ศิษย์พี่น้องตระกูลเยี่ยทั่วทั้งสี่ทิศต่างก็ส่งเสียงออกมาพร้อมเพรียงกันคำหนึ่ง
“ เซียงฉียวี่ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเข้าไปเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวได้อย่างไร หากคิดจะใช้สถานะเหล่านี้มาข่มขู่ พวกเรานั้นยังไม่อยากจะทำลายเจ้าหรอกนะ ขอเพียงพวกเจ้าส่งกริชนกน้ำแข็งในมือเล่มนั้นออกมา พวกข้าสัญญาว่าจะดูแลความปลอดภัยของพวกเจ้าให้ “
บุคคลที่เอ่ยปากกล่าวออกมา น่าจะเป็นเยี่ยยีเฮ้า ถึงแม้ชื่อเสียงของเขาจะเทียบกับเยี่ยยี่เฟิงไม่ได้ แต่เท่าที่คนของตระกูลเยี่ยเข้าใจ บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ของตระกูลเยี่ยทั้งสองคน แน่นอนว่าไม่ต้องนับรวมเยี่ยยี่เฟิงเลย
เซียงฉียวี่ค่อยๆกัดบดฟันตนเอง นัยน์ตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมา วินาทีต่อมา นางก็ร้องเฮอะอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ ตระกูลเยี่ยอันขี้ขลาด อยากได้สิ่งของจากมีมารดาก็เข้ามาแย่งเอง ดูว่าพวกเจ้าจะรักษาชีวิตกันได้ซักกี่ชีวิตกัน “
หลังจากที่กล่าวจบ เซียงฉียวี่ก็พลิกฝ่ามือน้อยๆคราหนึ่ง กริชน้ำแข็งทอประกายสีฟ้าด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมาอยู่บนมือ กริชนั้นมีลักษณะเป็นสีฟ้าคราม ที่ใบมีดสลักไว้ด้วยจิตของงูสีฟ้าไว้สายหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ออกด้วยพลังธาตุหยินอันเข้มข้นของกริชเล่มนี้ออกมา ประจวบกับช่วงที่เยี่ยยีเฮ้าใช้ออกด้วยพลังหยางธาตุไฟในกริชอีกเล่มออกมาต้านทาน
“ เหอะ แม่นางเซียง คนเราเกิดมาก็ต้องกล้าได้กล้าเสีย พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่า กับแม่นางน้อยทั้งสามเช่นพวกเจ้าจะสามารถทำอะไรพวกข้าได้กัน ? แม้ว่าพวกข้าจะไม่ถึงกับลงมือเข่นฆ่า แต่ในเมื่อลงมือแล้ว หากไม่ระวังแล้วพลาดพลั้งแล้วละก็ คงมิใช่เรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย “ เยี่ยยีเฮ้าหัวเราะเสียงเย็นชา ถึงแม้พวกเขาจะไม่กล้าที่จะฆ่าแกงศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว เพียงแต่คิดที่จะสั่งสอนพวกนาง ไม่ได้อยากที่จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตอันใด เช่นนี้จึงถือว่ามิใช่เรื่องราวที่ใหญ่โตนัก
หลังจากเงียบงันไปแล้ว ใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวทั้งสามนาง คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเซียงฉียวี่นั้น หญิงสาวที่มีกลิ่นอายของดอกมะลิอยู่ก็ได้ตัดสินใจส่งเสียงกล่าวออกมา “ ชีหวี อย่าฝืนต่อไปเลย นำสิ่งของให้พวกเขากันเถอะ “
“ ไม่ได้ “ เซียงฉียวี่กัดฟันกล่าวออกมา “ นี้คือหลักฐานในการทำภารกิจสำนักในครั้งนี้ พวกเจ้าไม่อยากได้สะสมวิญญาณกันแล้วหรือ ? “
“ เหอะ ยังไงก็เป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ในเวลาเช่นนี้ยังคิดถึงสะสมวิญญาณกันอีก “ บุคคลที่ยืนอยู่ด้านข้างของเยี่ยยีเฮ้า มีลักษณะเล็กผอม แผ่ซ่านความเยียบเย็น น่าจะเป็นหนุ่มน้อยอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีหัวเราะอย่างเยียบเย็นออกมา “ พี่ยีเฮ้า อย่าไปกล่าวเรื่องไร้ประโยชน์กับพวกนางเลย เพียงแค่จัดการพวกนางให้อยู่หมัด พอถึงเวลาไม่ว่าจะอย่างไรก็มิใช่ปัญหาแล้ว “
หลังจากกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กวาดตาสำรวจมองไปที่ร่างกายอันอ้อนแอ้นของหญิงสาวทั้งสาม ในช่วงที่สายตาทอประกายก็ได้ยื่นมือลูบเล้าร่างกายของพวกนางคราหนึ่ง ทำให้ร่างของพวกนางเกิดอาการสั่นเทาอย่างช้าๆ
ในตอนที่ผู้เยาว์แห่งตระกูลเยี่ยอีกคนที่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะเยี่ยยีหยิน นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้ ในตอนนี้เขาสามารถที่จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า กริชจิตงูฟ้าที่อยู่ในมือของเซียงฉียวี่นั้นมีความเข้ากันได้กับเขาครบสิบส่วน คงจะสามารถที่จะเสริมพลังในการต่อสู้ของเขาให้มากยิ่งขึ้น หรือถ้าไม่เช่นนั้นละก็ หากนับรวมกับมรดกทั้งมวลของตระกูลเยี่ย ยังไม่คุ้มค่าเทียบเท่ากับกริชวิเศษระดับกลางที่อยู่ในมือของเด็กสาวทั้งสามนางนี้
จากนั้น หากว่ากริชทั้งสองเล่มนี้อยู่ร่วมกันแล้วละก็ หรือใช้ออกในเวลาเดียวกันละก็ คงต้องมีพลังทำลายที่น่าหวาดหวั่นเกินกว่าจะคาดเดาได้เลยทีเดียว อีกทั้งอาวุธที่อยู่ในระดับเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าใช่ว่าภายในตระกูลเยี่ยก็ใช่ว่าจะมี ดังนั้น จึงทำให้เยี่ยยีเฮ้าและเยี่ยยีหยินทั้งสองในตอนนี้มีความต้องการที่จะครอบครองของชิ้นนี้
“ หากต้องลงมือต่อดอกไม้งาม ใช่ว่าข้าจะยินดี ทว่าในเมื่อพวกเจ้ายังไม่รู้ถึงฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เช่นนั้นก็คงจะช่วยไม่ได้แล้วละ …… “ เยี่ยยีเฮ้ากล่าวออกมาอย่างดุดัน จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ที่ด้านหลังก็พบกับเหล่าศิษย์พี่น้องตระกูลเยี่ยนับสิบคนเหินออกมา พุ่งเข้าหาทางหนีทีไล่ของหญิงสาวทั้งสาม จากนั้นเขาและเยี่ยยีหยินทั้งสอง ก็ก้าวเข้าไปด้านหน้าอย่างช้าๆ สายตาที่แฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบมองไปยังร่างของทั้งสามสาว จากนั้นก็รีดเร่งลมปราณออกมาอย่างช้าๆ
ท่ามกลางห้องโถง สายตามากมายที่กำลังเผชิญหน้ามองไปที่ร่างอันอ้อนแอ้นของสาวน้อยทั้งสามคน คนของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ยังมียอดฝีมือที่สุดทั้งสองร่วมลงมือรวมอยู่ด้วย แต่ละคนต่างก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่า เกี่ยวกับฝีมือของเหล่าตระกูลเยี่ย มีคนไม่น้อยที่ไม่ถือว่าร้ายกาจอันใด เพียงแต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงมีบางคนที่ในดวงตาได้ทอประกายลุกโชนออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังถือว่ากระทำเรื่องราวเช่นนี้ออกมาได้ ถึงแม้ จะอยู่ในสถานที่วุ่นวายเช่นนี้ ยิ่งพวกเขาเหมือนจะต้องขาดทุน ก็ยิ่งทำให้พวกเขาโหดร้ายมากขึ้น
พบว่าทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เซียงฉียวี่ใบหน้าก็เริ่มไร้สีเลือด มือน้อยๆของนางกุมไว้ที่กริชจิตงูด้ามนั้น ภายในดวงตา เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ครั้งนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเลวร้ายเช่นไรก็ตาม นางก็จะให้คนเหล่านี้รับทราบว่า พวกนางนั้นไม่ใช่จะถูกรังแกอย่างง่ายดาย
“ ลงมือ “
เยี่ยยีหยินและเยี่ยยีเฮ้าในตอนนี้ตาสาดทอประกายมองไปรอบด้าน จากนั้นก็ส่งเสียงดังฮื้อฮาออกมา ร่างกายที่แบ่งเป็นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเข้าล้อมไว้ อีกทั้งบนร่างของพวกเขา เหมือนกับมีกลิ่นไอของเลือดแผ่ออกมา เสริมความน่าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น วินาทีที่แยกกันเข้า ทำให้มียอดฝีมือไม่น้อยที่กำลังดูอยู่สายตาแปรเปลี่ยน
สายตาของเซียงฉียวี่ทอกลิ่นอายธาตุหยินลึกซึ้ง อีกทั้งร่างที่อยู่บริเวณด้านหลัง หญิงสาวที่นับตั้งแต่เริ่มยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงสีหน้ามาก่อนอย่างชวีเซวียนเหมือนที่จะก้าวเท้าถอยออก แต่ว่าทันทีที่นางกำลังจะเริ่มเคลื่อนไหว ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังออกมา
“ เยี่ยยีเฮ้า เยี่ยยีหยิน ไม่เจอกันนานเลย พวกเจ้าทั้งสองยังกระทำเรื่องน่าอายเช่นนี้อีกหรือ “
เสียงกล่าวดังกังวานดังออกมา ในตอนนี้ก็ค่อยๆปรากฏ กลิ่นอายที่น่ายำเกรงภายในห้องโถง จากนั้นก็มีสายตานับไม่ถ้วนมองไป เปลี่ยนกลับกลายเป็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อกวาดมองไปบริเวณด้านหลังนั้น
.
.
.
.
.