ตอนที่ 039 ร่วมมือ
บริเวณกลางห้องโถงอันเงียบสงบ ท่ามกลางซากปรักหักพักเหล่านี้ดูราวกับไม่มีผู้คนอยู่ เยี่ยจงพิงไปที่หินก้อนหนึ่งอย่างสบาย จากนั้นก็พลิกแผนที่เข้าอารามในมือดู
ร่างที่บริเวณด้านหน้าของเขา ยืนได้ด้วยเซียงฉียวี่และพวกทั้งรวมสามคน จากนั้นในเวลาไม่นาน เซียงฉียวี่ค่อยกล่าวเสียงเบาๆออกมา “ ศิษย์…ศิษย์พี่เยี่ยจง…นามของข้าคือเซียงฉียวี่ “
“ ส่วนคนนี้ เรียกว่าโหยวซือหลิง “ เซียงฉียวี่ชี้ไปที่เด็กสาวที่มีกลิ่นคล้ายๆดอกมะลิน้อยๆ แต่ว่าบนถูกหญิงสาวที่ร่างกายราวกับจะระเบิดเป็นคนแนะนำ
“ ส่วนคนนี้คือชวีเซวียน เรื่องที่กล่าวมาเมื่อสักครู่ ก็เป็นนางที่ค้นพบเบาะแส “เซียงฉียวี่ชี้ไปยังอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้านิ่งเฉย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ราวกับไม่มีแรงกดดันอันใดสามารถทำอะไรนางได้
เยี่ยจงกวาดตาสำรวจดูรอบหนึ่ง ในช่วงที่สำรวจไปถึงโหยวซือหลิงนั้นเอง แต่ก็มิได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากมายนัก แต่เมื่อตอนที่สำรวจมองมาถึงชวีเซวียน นัยน์ตาก็ได้ทอประกายความประหลาดใจสายหนึ่งออกมา
เด็กสาวผู้มีใบหน้าเรียบเนียน แต่ก็มิใช่จัดอยู่ในประเภทที่จะสามารถทำให้ผู้ที่มองดูเกิดการหวั่นไหวได้ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าสวยงามอย่างเรียบง่าย เปรียบเสมือนดั่งดอกกล้วยไม้ท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้ หรืออาจเรียกว่าทำให้ผู้คนอดที่จะหลงไหลในตัวของนางจนถอนตัวไม่ขึ้นก็ยังได้
หลังจากที่ดูบรรยากาศอันแตกต่างโดยรอบแล้ว แต่กับสาวน้อยเจ้าเสน่ห์ทั้งสามคนนี้ เยี่ยจงกลับที่จะอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกคำหนึ่ง หญิงสาวทั้งสามนี้ได้เข้ามายังอารามก่อฟ้า ในตอนนี้ยังถือว่าไม่เกิดเรื่องอันใดใหญ่โต กล่าวตามตรงก็ดูเหมือนพวกนางก็ช่างโชคดีเสียนี้กระไร
“ ลองพูดออกมาโดยคร่าวๆสิ “ จากนั้นก็ถอนหายใจคำหนึ่ง เยี่ยจงก็ค่อยเอ่ยปากถามขึ้น ศาสตราวุธวิเศษระดับสูง ถึงแม้จะเป็นเขาก็มิอาจไม่ให้ความสนใจได้
“ เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ในระหว่างที่พวกเรามาทำภารกิจสำนักที่เจียงหนาน ก็ได้ยินตระกูลหนึ่งที่ไม่อาจทราบชื่อได้คุยกัน เหมือนว่าได้รับจดหมายเก่าแก่ฉบับหนึ่ง ด้านในเขียนได้ว่า ให้คนภายในตระกูลหนึ่งคน เข้าสู่อารามก่อฟ้าเพื่อมานำศาสตราวุธวิเศษระดับสูงกลับไป “ เซียงฉียวี่กล่าวออกมาเสียงเบา
“ ศาสตราวุธวิเศษระดับสูง ? “ เยี่ยจงยังคงทำสีหน้าฉงนสงสัย “ คงมิใช่ต้องเข้าสู่จิตของอารามไปเอาหรอกกระมั่ง ? หากเป็นสถานที่แห่งนั้นแล้วละก็ เกรงว่าตอนนี้คงเต็มไปด้วยผู้คนอยู่มากมายแล้ว หากให้ข้านำพวกเจ้าเหล่าจิ้งจอกน้อยทั้งสามไปด้วยละก็ ก็เหมือนพาพวกเจ้าไปหาความตายเท่านั้น “
“ แน่นอนว่ามิใช่ด้านในจิตของอารามแน่นอน ไม่เช่นนั้นละก็ พวกเราคงไม่ลำบากลำบนวิ่งเข้ามาหรอก ในส่วนนี้พวกเรานั้นรู้ดีอยู่แล้ว “ โหยวซือหลิงมองไปทางเยี่ยจงที่กำลังขมวดคิ้วอยู่
“ ตามที่ระบุไว้ สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในห้องฝึกยุทธ์ภายในอารามก่อฟ้าแห่งนี้ ทั้งยัง อาจจะไม่เป็นที่สะดุดตามากนัก “ เซียงฉียวี่ก็ได้นำแผนที่เข้าสู่อารามชุดหนึ่งออกมา จากนั้นก็ใช้นิ้วมืออันขาวผ่องค่อยๆชี้ไปยังด้านบนของแผนที่ หลังจากที่สำรวจดูสถานที่ในตัวแผนที่อย่างชัดเจนแล้วก็ได้ชี้เข้าไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ชี้ไปยังจุดๆหนึ่งอย่างช้าๆ “ อยู่ตรงนี้ หากว่าพวกเราดวงดีพอแล้วละก็ ยังคงน่าจะ สามารถไปนำเอาศาสตราวุธวิเศษระดับสูงมาได้
“ พูดอันใดกัน ? “
สายตาของเยี่ยจงมองยังที่แผนที่เข้าอาราม ดวงตาค่อยๆทอเป็นประกายออกมา บริเวณที่ตั้งดูเหมือนจะอยู่ไกลพอสมควร อีกทั้งยังอยู่ภายในส่วนลึกของอารามอีกด้วย อีกทั้งยังอยู่ในส่วนลึกที่พอๆกับเหล่ายอดฝีมือมากมายอยู่ด้วย ด้วยส่วนมากคงตั้งใจกันเข้าไปค้นหาเคล็ดวิชาของอารามกัน ไม่เช่นนั้นก็คงมุ่งหน้าไปทางด้านที่มีศาสตราวุธวิเศษของอารามอยู่ อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เก็บสิ่งของค่าไว้สูง
“ ทว่า ศาสตราวุธวิเศษระดับสูงนั้นมีเพียงชิ้นเดียว เกรงว่าพวกเราไม่ทราบว่าสมควรแบ่งกันอย่างไร ? “ หลังจากที่จ้องมองไปยังแผนที่แล้ว เยี่ยจงก็ฝืนยิ้มออกมาเอ่ยปากถาม
“ เชอะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ศาสตราวุธระดับสูงชิ้นนี้ก็ให้ท่านก็แล้วกัน ทว่า…….” เซียงฉียวี่ขมวดคิ้วเล็กๆบนใบหน้าน้อยๆของนาง จากนั้นก็กล่าวออกมาต่อ “ ทว่าถ้าหากได้รับของสิ่งอื่นอีกละก็ ก็จะเป็นของพวกเราแล้ว “
“ ยังมี ท่านต้องคอยปกป้องพวกเราทั้งสามคนด้วย “
“ ยังมี พอถึงเวลาพวกเราก็ต้องเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของอารามก่อฟ้าด้วย ดูสิว่าจะสามารถได้รับเคล็ดวิชาหรือไม่ “ เสียงแหลมเล็กของโหยวซือหลิงเสนอเงื่อนไขออกมา
“ ศาสตราวุธระดับสูงหนึ่งชิ้น แลกกับเจ้าจิ้งจอกน้อยทั้งสามหรือ ? “ หลังนิ่งเงียบ เยี่ยจงก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญดูแล้ว เขายังคงพยักหน้าอยู่หลายที ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ตอนนี้ก็ได้เข้ามายังส่วนกลางของอารามก่อฟ้าแล้ว หากว่าสามารถได้ครอบครองศาสตราวุธระดับสูงแล้วละก็ เช่นนั้นพลังการต่อสู้ของตนเองจะพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าทวี ข้อนี้ถือว่าไม่สมควรที่จะผิดพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งยัง สาวน้อยทั้งสามนี้ยังคงมองดูเยี่ยจง ที่ยังคงแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนจะมิได้ตกลงอย่างง่ายดายออกมา ไม่เช่นนั้นละก็ จากนี้ต่อไปพวกนางคงเข้าสู่อารามก่อฟ้าได้ไม่นานมากนัก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วหนึ่ง เยี่ยจงก็พยักหน้าอยู่หลายครา
“ เชอะเชอะ ในตอนที่พวกเราขอเข้าร่วมกลุ่มกับพวกท่าน ท่านกลับไม่กล้า ในตอนนี้คงเสียใจแล้วสินะ ? “ เซียงฉียวี่ร้องเชอะออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโอบบนร่างของชวีเซวียน ยิ้มแล้วกล่าว “ ยังคงเป็นชวีเซวียนของพวกเราร้ายกาจ ขอเพียงแค่พวกเรายังมีข่าวสารเหล่านี้ในมือ ขอเพียงเป็นศิษย์พี่ในลัทธิแห่งดวงดาว ก็จะต้องร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน “
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา ทว่าก็ได้มองไปทางด้านของชวีเซวียน เด็กสาวนางนี้ให้บรรยากาศราวกับกล้วยไม้ แต่ว่าบรรยากาศบนตัวนางในตอนนี้ดูราวกับไม่ต้อนรับผู้คนที่เข้าหา ทั้งว่าที่ทั้งสามได้เข้ามายังอารามก่อฟ้า ก็ยังเป็นนางเองที่ตัดสินใจออกมา
…………
ต่อมา หนึ่งคณะสี่คนก็ได้เร่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดไปตามทาง นั้นก็เพราะว่ามีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว อีกททั้งยังต้องพาสามจิ้งจอกน้อยไปด้วย ในครั้งนี้เยี่ยจงได้ตัดสินใจใช้เส้นทางที่ไกลจากเหล่าสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ตามถนนของอาราม จากนั้นก็เหินบินพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง มีบ้างทีพบเจอกับเหล่าพวกที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเข้ามาให้เห็นเป็นปะปราย นั้นก็เพราะว่า ยอดฝีมือที่แท้จริงต่างก็ได้เข้าสู่ส่วนลึกของอารามไปแล้ว ตลอดรายทาง เยี่ยจงก็ได้จัดการเก็บกวาดไปไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้ง คนเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเยี่ยจงจะมิได้ลงมือสังหารแต่อย่างไร เพียงแต่แค่แย่งชิงแผนที่ที่อยู่ในมือพวกเขาเหล่านั้นไปแค่เท่านั้น แต่ทว่าเยี่ยจงก็ยังไม่รู้ว่าแผนที่เข้าอารามต้องมีวิธีใช้อย่างไรบ้าง แต่ว่าหากมีคนที่ถือของสิ่งนี้ลดลงไปซักคนแล้วละก็ อย่างน้อยก็ถือว่าลดคู่แข็งลงไปได้อีกคน
ก็เป็นไปเช่นนี้ตลอดครึ่งวันที่อยู่ภายในอารามก่อฟ้าแห่งนี้ ที่เบื้องหน้าในขณะนี้ ก็พบว่าบริเวณป่าไผ่สีเขียวขจีได้ปรากฏคนสี่คนเดินออกมาคณะหนึ่ง ในช่วงที่อยู่ตรงหัวมุมของในป่าไผ่ ก็ได้พานพบกับศาลาหอสมุดหลังหนึ่ง เป็นไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา
“ ในที่สุดก็ถึงเสียที “ ใบหน้าน้อยๆของเซียงฉียวี่ที่กำลังอยู่ในอาการหอบอยู่ มองไปทาบริเวณที่เคยได้ยินมา ร่างกายพลันขยับคราหนึ่ง เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปสู่ด้านใน
ทว่า ในระหว่างที่นางกำลังคิดที่จะเคลื่อนไหวนั้นเอง ทันใดนั้นเยี่ยจงก็ใบหน้าแปรเปลี่ยนคราหนึ่ง หยุดยั้งเซียงฉียวี่ในทันที จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ ดูเหมือนว่า พวกเราจะมาถึงช้าไปแล้วละ ตอนนี้ได้มีคนเข้าไปด้านในกันก่อนหน้านี้แล้ว “
“ อะไรนะ ? มีคนมาถึงเร็วกว่าพวกเราอีกหรือ ? “ เซียงฉียวี่เกิดอาการวอกแวกเล็กน้อย ใบหน้าเล็กบ่งบอกว่ายากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เยี่ยจงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังบริเวณพื้นที่ด่านหน้าเหมือนร่องรอยที่ปรากฏออกมากลุ่มหนึ่ง กล่าวดังๆออกมา “ ผู้ที่เข้าไปน่าจะมีประมาณสิบคน จากที่ข้าดูแล้ว พวกเข้าคงพึ่งจะเข้าไป พวกเรามาช้ากว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกอย่าง รอยเท้าของพวกเขายังดูเหมือนไม่มีความลังเลอันใดเลย เห็นได้ชัดว่าทราบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในตอนนี้ อย่างมากคงกำลังมุ่งหน้าไปค้นหาศาสตราวุธวิเศษขั้นสูงอยู่ “
พอกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยจงก็ได้ขมวดคิ้วไปมาต่อ ถ้าหากว่าคนเหล่านี้ทราบถึงการมีอยู่และเข้ามาค้นหาของศาสตราวุธวิเศษขั้นสูงจริงๆแล้วละก็ เช่นนั้นเกรงว่า การเตรียมความพร้อมของคนกลุ่มนี้คนมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ในช่วงเวลาเช่นนี้ที่ไม่ทราบแม้กระทั่งพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายในตอนที่เข้าไปด้านใน คงเป็นอะไรที่น่าอึดอัดใจเป็นที่สุด
หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญเสร็จ เยี่ยจงก็จ้องมองไปทางด้านป่าไผ่ ค่อยๆกล่าวออกมา “ พวกเจ้าสามคนรออยู่ที่ด้านนอก ข้าจะเข้าไปเพียงคนเดียว “
“ ท่านเข้าไปเพียงคนเดียว ? “
จากที่ฟังจากน้ำเสียงของเยี่ยจง สีหน้าเซียงฉียวี่และสองสาวก็แปรเปลี่ยน ถึงแม้จะไม่ทราบว่าด้านในที่แท้เกิดอะไรกันขึ้นก็ตาม แต่ว่าในตอนนี้ จากที่ฟังดูแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ทางด้านในแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนแล้ว
“ ไม่ได้ ถ้าหากผู้คนด้านในมีอยู่มากแล้วละก็ พวกเรายังพอที่จะสามารถรับมือพวกเขาได้สักครู่ ถ้าหากให้ท่านเข้าไปเพียงคนเดียวแล้วละก็ พวกข้าก็ไม่วางใจ “ นับตั้งแต่เริ่มผู้ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอย่างชวีเซวียนก็เอ่ยปากออกมา ใบหน้าในตอนนี้ได้ปกคลุมไว้ด้วยความดุร้ายอยู่ชั้นหนึ่ง หลังจากถึงได้ค่อยเอ่ยปากตัดบทออกมา
หลังจากเงียบงันไป เยี่ยจงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่นางคราหนึ่ง เพียงแต่ว่า ในตอนนี้เขายังไม่ทันที่จะได้เข้าไป ก็ต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวออกมาดังๆ “ แม่นางชวีเซวียน ข้าถึงแม้จะไม่ทราบว่าเจ้ากำลังปิดบังอันใดต่อข้าอยู่……แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ กับสิ่งที่พวกเจ้าได้บอกว่าตั้งแต่ตนนั้นไม่เหมือนกันเลยสักทีเดียว……ไม่ว่าเจ้าต้องการที่ทำสิ่งใด ที่แท้มีจุดมุ่งหมายอันใด ตอนนี้ก็บอกมาจะดีกว่า เช่นนี้จะไม่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหรือ ? “
หลังจากที่ฟังประโยคพูดเหล่านี้แล้ว เซียงฉียวี่และโหยวซือหลิงทั้งสองก็ค่อยๆเกิดอาการสับสน มองไปยังชวีเซวียนโดยพร้อมเพียงกัน เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเยี่ยจง
“ เยี่ยจง ท่านคงมิใช่อยากจะหาข้ออ้างในการสลัดพวกเราทิ้งหรอกนะ จากนั้นตนเองก็เข้าไปด้านในกอบโกยผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว “ เซียงฉียวี่หลังจากที่สับสนแล้ว ค่อยหันหลังกลับไปจ้องมองเยี่ยจงแล้วกล่าวออกมา
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็หัวเราะออกมา แล้วก็เกียจคร้านที่จะอธิบายอะไรต่อ จากนั้นก็หันกายไปอีกทางหนึ่งเหมือนจะจากไป ตนเองมีความสนใจต่อศาสตราวุธวิเศษระดับสูงนั้นมิผิด แต่ว่าตอนนี้มิเพียงมีคนกำลังจะแย่งมันไป ยังต้องรองรับชื่อเสียงอันเน่าเหม็นอีก เรื่องเช่นนี้ เขาเองก็ไม่มีความสนอกสนใจ และพวกนางทั้งสามคน เขาเองก็ถือว่าให้ความร่วมมือเพียงชั่วคราวเท่านั้น
“ เหว่ย เยี่ยจง เยี่ยจง “ เซียงฉียวี่พบว่าเยี่ยจงในตอนนี้คร้านที่จะแม้แต่อธิบายออกมา เพียงแต่จะจากไปท่าเดียว ภายในใจก็เริ่มกระดอนไปมาวุ่นวาย พึ่งทราบว่าตนเองนั้นเข้าใจในตัวเยี่ยจงผิดไป ทั้งยังยิ่งเข้าใจมากขึ้น ถ้าหากว่าเยี่ยจงจากไปแล้วละก็ ด้วยความสามารถของพวกนางทั้งสามคน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็มิใช่คู่ต่อสู้กับบุคคลอื่นในการแย่งชิงสิ่งของเหล่านี้
“ ท่านอย่าได้ไป “ น้ำเสียงเซียงฉียวี่ดูกระวนกระวายพุ่งไปด้านหน้าคว้าจับที่ชายเสื้อเยี่ยจงไว้ จากนั้นก็หันศีรษะกลับไปจ้องมองชวีเซวียนคราหนึ่ง กล่าวออกมาอย่างกระวนกระวาย “ ชวีเซวียน ไม่ว่าเจ้าที่แท้อย่างทำอะไรกันแน่ พวกเราก็ไม่เคยจะโทษว่าเจ้าอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าในเวลานี้ก็อย่าได้ปิดบังพวกเราเลย ดีไหม ? “
“ นี้ ……. “ บนใบหน้าของชวีเซวียนปกคลุมไปด้วยความกระวนกระวาย จากนั้นนางก็ขบฟันเสียงเบา แล้วกล่าวออกมาเบาๆ “ ก็ได้ ข้าจะบอกพวกท่าน ว่าด้านในที่แห่งนี้นอกจากศาสตราวุธระดับสูงแล้ว ยังมีสิ่งใดอยู่อีกกัน “
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ครุ่นคิดใคร่ครวญต่อ จากนั้นก็หันกายกลับมาอย่างช้าๆ ในตอนนี้เขามิได้แสดงถึงอารมณ์ใดๆออกมา เพียงแต่มองจ้องไปทางชวีเซวียน แล้วกล่าว “ ข้าความจริงมีความสนใจต่อศาสตราวุธระดับสูงก็จริง แต่ทว่าก็ใช่ว่าต้องเอาจงได้ อีกอย่าง คนอย่างข้านั้นไม่ชอบที่จะถูกคนหลอกใช้อีกด้วย