ตอนที่ 040 เกียรติของยอดฝีมือ
จากที่ถูกสายตาของเยี่ยจงมองมาอย่างไม่ลดละ ชวีเซวียนที่อยู่ในภาวะสงบนิ่งแต่สายตากลับปกคลุมไปด้วยความว้าวุ่นชนิดหนึ่งออกมา หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว นางก็ยกมือขึ้นไปจับที่ต่างหูของคนเอง จากนั้นก็กล่าวเสียงเบาๆออกมา “ พวกท่านควรทราบว่า ภายในอารามก่อฟ้าแห่งนี้ มีด้วยกันทั้งหมดด้วยกันเก้าชั้น (สวรรค์เก้าชั้น) ก็จะพบกับประตูก่อฟ้าที่เล่าลือกัน ? “
“ สวรรค์เก้าชั้น ประตูก่อฟ้า ? “ หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ค่อยๆขมวดคิ้ว พอที่จะคาดเดาเรื่องราวได้ส่วนหนึ่ง
“ ความจริง บริเวณที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ ยังไม่ถึงกับสามารถเรียกได้ว่าอารามก่อฟ้าได้อย่างแท้จริง อย่างมากก็เป็นแค่ส่วนภายนอกเท่านั้น อีกทั้งบริเวณส่วนลึกของอารามก่อฟ้า เหล่าคนที่สามารถเข้าไปปีนป่ายทั้งเก้าชั้น ถึงจะสามารถมีสิทธิ์เข้าสู่ประตูก่อฟ้า รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาก่อฟ้าในตำนาน “ ชวีเซวียนมิได้รอคนอย่างเยี่ยจงจะตอบกลับมาแต่อย่างไร อีกทั้งยังคงให้ตนเองอธิบายต่อไป “ สวรรค์เก้าชั้นในที่นี้ ต่างก็มีบางอย่างในตัวของมันเอง ในระหว่างที่มีผู้คนมากมายได้เข้าสู่อารามก่อฟ้า มีเพียงเก้าคนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ในการปีนสวรรค์ทั้งเก้าชั้นตามที่เล่าขาน ถึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่ห้วงประตูก่อฟ้า “
“ หรือถ้าหากต้องการที่จะปีนสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ยังต้องการของอีกสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน ของสิ่งนั้น ก็ได้อยู่ในที่แห่งนี้ “ ชวีเซวียนจ้องมองไปที่ใจกลางของอารามที่อยู่บริเวณหัวมุมของป่าไผ่ กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
“ พูดอย่างง่ายๆ ก็คือมีเพียงเก้าคนที่สามารถเข้าไปยังอารามก่อฟ้าในตำนานกระไรนั้นได้ใช่หรือไม่ “ เยี่ยจงพอที่จะเข้าใจกระจ่างขึ้นมา “ อีกทั้งที่นี้ยังมีของชิ้นนี้อยู่ด้วย เป็นตัวบ่งชี้มีเจ้าจะสามารถเป็นหนึ่งในเก้าคนที่เข้าไปได้ ใช่หรือไม่ ? “
“ ใช่แล้ว “ นัยน์ตาของชวีเซวียนทอประกายเจิดจ้าออกมา “ ของสิ่งนั้น ก็คือป้ายพิพากษาก่อฟ้า เยี่ยจง หากว่าท่านสามารถช่วยให้ข้าสามารถได้ของชิ้นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นของทั้งหมดที่อยู่ทางด้านใน พวกเราทั้งสามต่างก็ไม่เอา……. “
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็กรอกตาไปมา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าว “ เจ้าอย่าบอกต่อข้านะว่า นับตั้งแต่แรกที่บอกว่ามีศาสตราวุธระดับสูงก็เพื่อที่จะลากข้าช่วยพวกเจ้าแย่งชิงของสิ่งนี้แค่นั้น “
“ ไม่ นี้คือเรื่องจริง ด้านในสมควรที่จะมีศาสตราวุธระดับสูงอยู่ ไม่เช่นนั้นละก็ สมควรยังมีอีกหลายอย่างอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสมควรที่จะเป็นป้ายพิพากษาก่อฟ้ามากว่าที่จะเป็นศาสตราวุธระดับสูงอีกนะ “ ชวีเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวต่อ “ เยี่ยจง ให้พวกเราได้เข้าไปด้านในพร้อมกันด้วยนะ ถึงแม้พวกเราจะมีพลังอยู่ในระดับปานกลาง ทว่า ก็เพียงพอที่จะขัดขวางผู้อื่นให้ท่านได้ แย่งชิงเวลาในการกระทำสิ่งต่างๆได้อีกหลายอย่างนะ “
เยี่ยจงมองไปที่ชวีเซวียนที่กำลังทำสีหน้าจริงจังออกมา จากนั้นก็มองไปที่เซียงฉียวี่และโหยวซือหลิงทั้งสองคน จากนั้นก็ได้แต่เพียงส่ายศีรษะไปมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวตามความสัตย์ แม้กระทั่งตนเองก็ยังรู้สึกว่ามองชวีเซวียนขัดตาชอบกล หากว่ากล่าวกันตามตรงกริชทั้งสองเล่มที่อยู่ในมือของเซียงฉียวี่ ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้พลังการต่อสู้ของพวกนางมากเกินกว่าผู้อื่นที่มีพลังในระดับเดียวกันแล้ว
“ ถ้างั้นพวกเราก็เข้าไปด้านในพร้อมกันเถอะ เพียงแต่ว่าถ้าหากเห็นว่าไม่ถูกต้องแล้วละก็ พวกเจ้าไม่ต้องเข้าไปต่อสู้พัวพันด้วย แต่ต้องถอยจากไปโดยพลัน ก็เพราะว่าข้าไม่แน่ว่าจะมีเวลาพอที่จะดูแลพวกเจ้าได้ตลอด “ เยี่ยจงถึงแม้จะมิได้ตัดรอนอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะบอกไปว่าตอนนี้จะพาสามสาวเข้าไปด้วย แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้ แต่ว่าถ้าหากยังมีปากเสียงกับพวกนางต่อไปแล้วละก็ เกรงว่าคงต้องพบเจอกับเรื่องน่ารำคาญที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงตอบปากรับคำพวกนางจะดีกว่า
เมื่อเห็นว่าเยี่ยจงประนีประนอมได้ จากนั้นทั้งสามสาวก็มองกันและกัน ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม ก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย “
ถึงแม้ว่าเยี่ยจงจะได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากความต่อไป จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ร่างของทั้งสี่ก็ได้เข้าสู่บริเวณที่มีป่าไผ่อยู่
ณ ใจกลางป่าไผ่ ตลอดรายทางสงบเงียบอย่างลี้ลับ มีหยาดน้ำไหลรินออกมาจากต้นไผ่ ดูไปสวยงามอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังให้บรรยากาศที่หนาวเย็นออกมาราวกับจะเย็นเข้ากระดูกสันหลัง
เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา มองสำรวจไปรอบทั่วทั้งสี่ด้านรอบหนึ่ง นัยน์ตาทอประกายความหนักแน่นออกมาให้ได้เห็น
ในระหว่างที่อยู่ภายในป่าไผ่ เขาก็พอที่จะสามารถหาร่องรอยส่วนหนึ่งที่พึ่งเหลือทิ้งไว้เป็นครั้งคราว แต่ว่าร่องรอยเหล่านี้ต่างก็ช่างเล็กน้อยซะเหลือเกิน หากไม่ค้นหาอย่างละเอียดแล้วละก็ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเห็น สิ่งนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า คนที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าป่าไผ่นั้น เป็นกลุ่มคนที่มีความระวัดระวังตัวเป็นอย่างดี อีกทั้งกับบุคคลเหล่านี้ ก็เป็นอะไรที่ไม่สมควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วยเป็นที่สุด
อีกทั้งเหล่ากลุ่มเซียงฉียวี่เหล่าสามสาวที่คอยเดินตามหลังเยี่ยจงอยู่นั้น ใบหน้าที่หนักแน่นในตอนนี้ก็ได้เลือนหายไป พวกนางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแรงกดดันอันอัดแน่นอยู่ด้านใน
“ ระวังกันไว้หน่อยละ “ เยี่ยจงบอกกล่าวออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก จากนั้นเขาก็หันกายไป คอยเดินตามร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนพื้นที่อยู่ในบริเวณส่วนลึกของป่าไผ่อย่างระมัดระวัง
ร่องรอยมีการเบี่ยงเบนไปมา เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้านั้นมีบางคนที่มิได้เดินเป็นเส้นตรง แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของพวกเขานั้นก็เหมือนกับจุดมุ่งหมายของเยี่ยจงอยู่แล้ว —– ศาลาสดับฟัง
จากนั้นก็เดินเข้าไปด้วยประการฉะนี้ การเดินของเยี่ยจงเป็นไปอย่างเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้หยุดลง เขาหรี่ตาจ้องมองไปยังบริเวณเบื้องหน้า ศาลาสดับฟังที่ในตอนนี้อยู่ไม่ห่างจากพวกห่างไม่เกินร้อยเมตรแล้ว แต่ว่า เมื่อเดินเข้าไปยังที่แห่งนี้ เขาก็เหมือนตรวจพบบางอย่างสิ่งบางอย่าง มีสายตาที่จ้องมองมายังตนเองอยู่ไม่น้อยในขณะนี้
เห็นได้ชัด บริเวณก่อนทางเข้าด้านในยังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นคนที่คิดอะไรเพียงตื้นเขิน เห็นได้ชัดว่าที่พวกเขาหลงเหลือคนส่วนหนึ่งไว้คอยดูคนที่จะตามมา ในขณะนั้น ตนเองอย่างน้อยก็ต้องถูกพบเห็นเป็นที่แน่นอน
หลังจากที่กวาดตาสำรวจบริเวณรอบด้านทั้งสี่ทิศแล้วรอบหนึ่ง เยี่ยจงก็ค่อยยื่นมือออกมา ขวางไว้ที่ด้านหน้าของหญิงสาวทั้งสามคน จากนั้นเขาก็หรี่ตามอง ส่งเสียงดังกังวานเข้าไปถึงด้านใน “ สหายทุกท่าน ในเมื่อพบเห็นพวกเราแล้วละก็ เหตุใดถึงไม่ออกมาทักทายกันซักหน่อยเล่า ? “
“ เหอะ เจ้าศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ถือว่ามีสายตาที่ไม่ธรรมดา “
หลังจากที่เยี่ยจงส่งเสียงกล่าวจบไปไม่นาน ก็พบว่าบริเวณในป่าไผ่ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งออกมา ในตอนนี้ก็มีร่างที่ค่อยๆปรากฏออกมาให้เห็น อีกทั้งผู้ที่เป็นผู้นำ ชั่งน่าประทับใจนักที่เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุโดยประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีสวมไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีแดง ในตอนนี้เขาก็จ้องมองมาที่เยี่ยจงอย่างดุดัน นัยน์ตามีอยู่หลายส่วนที่แลดูน่าหวาดกลัวแผ่ออกมา
และมีเหล่ายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณด้านหลังของเขา อายุมากที่สุดดูเหมือนจะมากกว่าเขาซักสามสี่ปีได้ หรือที่อายุน้อยที่สุดก็น่าจะใกล้เคียงเยี่ยจง เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ในตอนนี้ต่างก็จ้องมองไปที่เยี่ยจงที่กำลังหยุดหนึ่งมาซักครู่หนึ่งแล้ว จากนั้นก็มองไปจนถึงหญิงสาวที่ด้านหลังของเยี่ยจงทั้งสามคน นัยน์ตาทอประกายความเลื่อมใสออกมา
“ โรงฝึกยุทธ์ชิหวินหรือ ? “
จากที่มองชุดที่คนกลุ่มนี้สวมใส่ เซียงฉียวี่ที่ด้านหลังเยี่ยจงก็เริ่มที่จะเอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงเบา
“ เหอะ เหอะ แม่นางที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวท่านนี้มีสายตาที่ไม่เลว ข้าน้อยเป็นหนึ่งในคนของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเอง นามว่า เจียงเล่อ “ จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มที่จะหัวเราะคิกออกมา “ ถึงแม้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบว่า ผู้ที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวทุกท่านเหตุใดถึงได้มาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ หรือว่ามีเหตุผลกลนัยในการมา………ทว่า สถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ได้ถูกพวกเราโรงฝึกยุทธ์ชิหวินครอบครองไว้แล้ว หากว่าทุกท่านยังต้องการที่จะเสาะหาสมบัติแล้วละก็ ก็ขอเชิญไปที่อื่นเถอะ ที่แห่งนี้ ไม่ต้อนรับทุกท่าน “
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงเล่อก็ยื่นมือออกมาตบเบาๆหลายครา ในตอนนี้ก็พบว่ามีอีกหลายคนที่โผล่ออกมาจากบริเวณป่าไผ่ออกมา จากนั้นแต่ละคนก็ค่อยๆก้าวเท้าเดินออกมา อีกทั้งคนเหล่านี้ต่างก็จ้องมองด้วยสายตาที่กดดันไปทางเยี่ยจงอยู่หลายส่วน
เยี่ยจงมองไปยังฉากที่อยู่เบื้องหน้า ในตอนนี้ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่า ในสถานที่เยี่ยงศาลาสดับฟังแห่งนี้จะได้พบกับความน่ารำคาญเช่นนี้ ในตอนนี้ โรงฝึกยุทธ์ชิหวินเหล่านี้ก็ต่อแถวกันเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ให้ความรู้สึกที่น่านับถืออยู่หลายส่วน
เพียงแต่ว่า เยี่ยจงก็ยังคงอยู่ในลักษณะขมวดคิ้วอยู่ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีคนมากกว่าก็ตาม แต่กับการจัดระเบียบที่เขาเคยพบพานมานั้น ก็ถือว่าไม่ได้สำคัญอะไรมากมายที่สามารถทำให้เป็นห่วงได้ ต่อให้เขาในตอนนี้ยังต้องปกป้องเหล่าจิ้งจอกน้อยทั้งสาม ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะต้องการที่จะกัดกินเขา ก็มิได้ง่ายดายถึงขนาดนั้น
“ เหอะ เหอะ พวกเราโรงฝึกยุทธ์ชิหวินก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมีปัญหากับลัทธิแห่งดวงดาวเลย สิ่งของชิ้นนี้ก็ถึงว่าเป็นเครื่องแสดงถึงความจริงใจของพวกเราแล้วละกัน ทุกท่านเชิญ ไม่ส่งแล้ว “ เจียงเล่อยิ้มแล้วยิ้มอีก จากนั้นก็ชี้นิ้วออกไป แหวนจักวาลวงหนึ่งในมือก็ได้พุ่งเขาหาบริเวณที่เยี่ยจงยืนพิงอยู่
เยี่ยจงใช้มือรับไว้อย่างไม่ตั้งใจ กวาดตามองคราหนึ่ง ปรากฏว่าด้านในมีหินวิญญาณระดับล่างประมาณเกือบจะหมื่นชิ้น โรงฝึกยุทธ์ชิหวินนี้พอลงมือ ยังคงถือว่าใจกว้างอยู่ไม่น้อย
จากที่สำรวจดูการเคลื่อนไหวของเจียงเล่อ เหล่ากลุ่มคนที่เป็นยอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินที่ได้ปิดขัดขวางและปิดล้อมอยู่ก็ได้ค่อยๆเดินออกมา ท่าทางราวกับกำลังส่งแขก
“ ศิษย์พี่เยี่ยจง “ ชวีเซวียนเริ่มที่จะกล่าวออกมา ดวงตาทอประกายดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เซียงฉียวี่และชวีเซวียนต่างก็มีสีหน้าร้อนรน ไม่ง่ายเลยที่พวกนางจะสามารถเข้ามาจนถึงขั้นนี้ หากให้พวกนางถอดใจในตอนนี้ คงไม่ยอมรับอยู่หลายส่วน แต่ว่า เยี่ยจงในตอนนี้กลับยกมือขึ้นมาห้ามปรามไม่ให้พูดคุยออกมา
จากนั้นก็ขว้างแหวนจักวาลในมือออกไป จากนั้น เยี่ยจงก็สะบั้นมือออกคราหนึ่ง ในตอนที่แหวนจักวาลวงนี้กำลังร่วงหล่นลงไปยังด้านหน้าของเจียงเล่อที่กำลังอยู่ในอาการตะลึงอยู่ จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา ถอนหายใจออกมากล่าว “ หากเป็นไปได้แล้วละก็ ข้าก็ไม่อยากที่จะไม่รับการค้ารายนี้…..เพียงแต่ว่า สิ่งของที่อยู่ภายในศาลาสดับฟังแห่งนี้ พวกเราไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเอาให้ได้
“ เพราะอะไรกันคนเราถึงไม่รับสุราคารวะกลับชมชอบสุราจับกรอกกัน ? “ เจียงเล่อขมวดคิ้ว หลังจากนั้นก็ถอนหายใจคำหนึ่ง น้ำเสียงในขณะนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นมา “ ในเมื่อศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาวทุกท่านไม่เห็นแก่หน้าของข้าแล้วละก็ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ “
“ เปรี้ยง “
หลังจากที่เขากล่าวจบ ก็พบว่ามียอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินประมาณเกือบยี่สิบคนก้าวเท้าเดินออกมาทีละคน อีกทั้งยังรีดเร่งพลังลมปราณออกมา อีกทั้งแรงกดดันภายในร่างก็ค่อยๆเปิดขยายออกมา เหล่ายอดฝีมือของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเหล่านี้ น่าจะมีพลังฝึกปรืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเกือบทุกคน เกือบยี่สิบคนได้เข้ามาโดยพร้อมกัน พลังฝีมือน่าหวาดหวั่นหวาดกลัว ราวกับกำลังกดดันให้ล่าถอยไปเอง
ตอนนี้ คนกลุ่มนี้ก็ได้ก้าวเขามาพร้อมกันทีละก้าวๆ ให้แรงกดดันราวกับเหมือนทหารม้านับหมื่นมุ่งตรงมาทางด้านบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
“ ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มคนของตระกูลเยี่ยเพียงน้อยนิดเท่านั้น “ เยี่ยจงมองไปยังฉากเบื้องหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง บ่นพึมพำออกมา
ที่แท้ เขามุ่งตรงมายังบริเวณนี้ ก็เพราะต้องการที่จะลดปริมาณของอีกฝ่าย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงยังที่แห่งนี้แล้ว ยังต้องต่อสู้อะไรกันอีก หรือว่ายังไงก็ต้องลงมือ อ่อนแอก็ต้องเป็นเหยื่อ ผู้แข็งแกร่งถึงจะเป็นผู้ล่า ไม่ว่าในดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่แห่งใด ก็ยังไม่พ้นคำเหล่านี้
ระหว่างผิดถูกนั้นไม่มี มีแต่แข็งแกร่งและอ่อนแอ
หลังจากที่ด่ำดึงนึกถึงเหตุและผลเหล่านี้ เยี่ยจงก็ถอนหายใจออกมาแรงๆคราหนึ่ง พลังกระบี่หกสุสานถูกรีดเร่งออกมาหมุนวนอย่างช้าๆ จนทำให้ลมปราณและเลือดลมพุ่งขึ้นสูง อีกทั้งพลังปราณกระบี่สายหนึ่งก็ได้ส่องสว่างออกมา และค่อยๆแผ่ออกมาจากลมปราณภายในร่างของเยี่ยจง……….
.
.
.
.