ตอนที่ 048 จิ่วเทียนทิ่ (สวรรค์เก้าชั้น)
นับตั้งแต่แสงสีทองสาดส่องออกมา ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบ่งบอกว่า ได้เปิดสวรรค์เก้าชั้นแล้ว เพียงแต่ว่าลานกว้างแห่งนี้ที่อยู่ในความวุ่นวายในตอนแรก ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงใดๆ และอีกทั้งในวินาทีนั้นก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบอยู่หลายส่วน จากนั้นนัยน์ตาของแต่ละคนก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมา นั้นก็เพราะพวกเขาต่างก็ทราบ มีเพียงผู้ที่ถูกเลือกขึ้นสวรรค์เก้าชั้นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าประตูก่อฟ้า อารามก่อฟ้าในตำนาน
ของสิ่งนี้ความจริงสมควรที่จะเป็นเหมือนราวกับความลับอันยิ่งใหญ่ ไม่ทราบนับตั้งแต่เวลาใด ก็ได้ลือกันไปทั่วทั้งสี่ทิศออกมา
ในตอนนี้ คนเหล่านี้มิใช่มีความสนใจต่อสวรรค์เก้าชั้นแห่งนี้ อีกทั้งทุกคนก็ทราบอย่างกระจ่างถ้าในมือไม่มีป้ายก่อฟ้าแล้วละก็ ตนเองก็ไม่มีทางที่จะขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นได้
จากที่จ้องมองไปทางสวรรค์เก้าชั้น เยี่ยจงก็หัวเราะออกมา แล้วก็ค่อยๆกวาดสายตามองไปบนร่างหนิงหยี่ ซ่งเซ้าเฉิง ยังมีเยี่ยยีเฮ้า ถ้าหากว่าต้องการที่จะแย่งชิงหนึ่งซักอันของผู้ใดผู้หนึ่งแล้ว เมื่อถึงเวลาก็คงต้องฝืนใจลงมือแล้วละ
และซูหยี่ตรวจสอบประกายตาของเยี่ยจงได้อย่างชัดเจนในทันที นางพอที่จะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร แต่ว่าหลังจากนั้นก็ได้แต่เพียงยิ้มออกมา แต่มิได้กล่าวอันใดออกมา
บรรยากาศท่ามกลางภายในลานกว้าง ยังคงรักษาความเงียบเชียบไม่เปลี่ยนแปลงในรูปแบบหนึ่ง เวลาค่อยๆผ่านเลยไป กระทั่งร่างกายของทุกผู้คนต่างก็ราวกับแข็งทื่อก็มิปาน ทว่าในระหว่างยังได้กลิ่นของกลิ่นหอมอยู่ ม่อฝานหลงของตระกูลม่อนั้น ก็ได้ค่อยๆก้าวไปด้านหน้า จากนั้นก็เห็นเขาพลิกมือคราหนึ่ง แผ่นป้ายหยกชิ้นหนึ่งก็ส่องประกายปรากฏอยู่ใจกลางฝ่ามือ จากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง แผ่นป้ายนั้นก็ได้พุ่งตรงออกไป เคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ทางด้านหน้าชั้นหนึ่งของชั้นสวรรค์
ม่อฝานหลงที่อยู่ท่ามกลางการจ้องมองของผู้คนมากมายของตระกูลม่อ เขาก็ค่อยๆก้าวออกมา จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปขั้นบันได ในตอนที่อยู่บนบันได ก็มือแสงสีทองส่องสว่างออกมาล้อมรอบ เป็นที่ชัดเจนว่า สวรรค์เก้าชั้นได้ยอมรับในคุณสมบัติของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างที่ม่อฝานหลงเดินออกไป ท่ามกลางลานกว้างไม่ทราบมียอดฝีมือเท่าไหร่ที่นัยน์ตาแปรเปลี่ยน แต่ว่าพวกเขาก็ต้องเก็บและอดทนมันเอาไว้ นั้นก็เพราะว่าม่อฝานหลงนั้นมีพลังฝึกมืออยู่ที่ขั้นก่อเกิดขั้นที่หก ก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่ายอดฝีมือมากมายไม่กล้าที่จะต่อกรด้วย บุคคลประเภทนี้ เป็นบุคคลที่พวกเขาไม่สมควรที่จะต่อกรด้วยเป็นที่สุด
เพียงแต่ว่า ในระหว่างที่ม่อฝานหลงปีนขึ้นเป็นคนแรก ยอดฝีมือท่ามกลางลานเหล่านั้นสายตาก็ยิ่งทอประกายขึ้นมา ชั้นสวรรค์มีเพียงเก้าขั้น ถูกครอบครองไปแล้วหนึ่ง ก็คือลดน้อยลงไปแล้วหนึ่ง ยิ่งเป็นผู้ที่คอยตามล่าตำนานแห่งอารามก่อฟ้าที่กล่าวมา พลาดเพียงครั้งเดียว ก็ราวกับพลาดพลั้งไปทั้งชีวิต
ในตอนนี้บรรยากาศความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุม จากนั้นก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็พบว่าซ่งเซ้าเฉิงผู้นี้อยู่ๆก็หัวเราะออกมาเบาๆ และจากนั้นเขาก็พลิกมือในเวลาเดียวกัน ในเวลานั้นเองก็พบป้ายก่อฟ้าปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา หลังจากที่ป้ายก่อฟ้าอยู่บนมือ เขาก็ค่อยๆก้าวขึ้นสู่หนึ่งในขั้นของสวรรค์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลี้ลับ
“ ชิร์ ซ่งเซ้าเฉิง พลังฝีมือเช่นเจ้าคิดหรือที่จะเข้าร่วมสวรรค์เก้าชั้น เกรงว่าไม่เหมาะสมอยู่หลายส่วนอยู่ ? “ จากที่เหม่อมองการกระทำของซ่งเซ้าเฉิง นัยน์ตาของผู้คนไม่น้อยก็เปลี่ยนเป็นร้อนรนอย่างรวดเร็ว นั้นก็เพราะว่าซ่งเซ้าเฉิงนั้นมีพลังฝีมืออยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ พลังฝีมือเช่นนี้มิใช่ปัญหามากนักในการแย่งชิง
เพียงแต่ว่า ในช่วงเวลาที่ได้ยินเสียงๆนี้ ซ่งเซ้าเฉิงก็ได้ค่อยๆหันกายกลับมา กวาดสายตาจ้องมองไปยังลานกว้างอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ หากผู้ใดประสงค์ที่จะต้องการแย่งชิงป้ายก่อฟ้าในมือของข้าแล้วละก็ ก็ขอให้ลงมือในตอนนี้เถอะ เพียงแต่ว่าหากตายแล้วก็อย่าได้โทษว่าข้าก็แล้วกัน “
ในระหว่างที่เขากำลังกล่าวคำเหล่านี้ออกไปอยู่ เหล่ายอดฝีมือตระกูลซ่งก็ค่อยๆก้าวออกมาทีละคน บนใบหน้าต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเยียบเย็น ซ่งเซ้าเฉิงยังไงซะก็เป็นยอดฝีมือมือของตระกูลซ่งแห่งห้าตระกูลใหญ่ อีกทั้งในเวลาเดียวกันยังเป็นถึงศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาว ดังนั้น คนโดยทั่วไปก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเขาแต่อย่างไร
จากที่กวาดตามองโดยรอบแล้ว ซ่งเซ้าเฉิงก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกมา และจากนั้นก็คว้าป้ายก่อฟ้าออกมา ก้าวยาวๆปีนขึ้นสู่หนึ่งในขั้นของบันได
หลังจากที่ซ่งเซ้าเฉิงไปแล้ว ซร่งเทียน เหร่ยโหยวฮู่ทั้งสองคนก็ได้ค่อยๆก้าวเท้าออกมา เพียงแต่ว่า พลังฝีมือของทั้งสองคนนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะมีหลายคนที่คิดจะลงมือ แต่ว่าจะที่ไคล่ครวญดูแล้วก็ไม่ลงมือจะดีกว่า
ในตอนนี้ก็มีด้วยกันถึงสี่คนที่ขึ้นไปยังสวรรค์เก้าชั้นแล้ว กล่าวได้ว่าลดลงไปราวครึ่งหนึ่ง ทำให้เหล่ายอดฝีมือในลานกว้างนี้ต่างก็สูดลมหายใจเข้าไปมาอย่างเร่งร้อน
“ เหอะ “
หนิงหยี่ก็ได้ค่อยๆก้าวออกมา จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังเราะหันเข้าลานกว้างแล้วกล่าว “ หากว่าในเมื่อทุกท่านที่เหลืออยู่ไม่ต้องการที่จะขยับเคลื่อนไหวแล้วละก็ ข้าน้อยก็ขอเข้าไปก่อนแล้วกัน “
ระหว่างที่กล่าว หนิงหยี่ก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกมา จากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง บนมือก็ปรากฏส่องสว่างวาบของป้ายก่อฟ้า
พบเห็นการเคลื่อนไหวของหนิงหยี่ ในครานี้ ก็มีเหล่ายอดฝีมืออดใจไว้ไม่ไหว ได้มีเสียงหัวเราะเย็นเยียบดังออกมา วินาทีนั้น “ หนิงหยี่ เจ้ามันก็แค่คนของโรงฝึกยุทธ์ชิหวินเท่านั้น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมสวรรค์เก้าชั้นกัน “
“ สวบ ฉึก “
เสียงของคำพูดยังมิทันกล่าวจบ หนิงหยี่ที่ยืนอยู่ก็พลิกมือคราหนึ่ง พลังฝ่ามือสังหารก็พุ่งออกเข้าหาบริเวณทางด้านหน้าอกของชายผู้กล่าว หลังจากที่ลงมือสังหารอีกฝ่ายแล้ว หนิงหยี่ก็ยิ้มออกมาเบาๆกล่าว “ เช่นนี้ถือว่าข้ามีคุณสมบัติเพียงพอแล้วหรือไม่ “
หลังกล่าวจบ หนิงหยี่ก็กวาดตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ เดินขึ้นสู่ชั้นของสวรรค์
จากที่มองดูฉากเบื้องหน้า นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ได้ทอประกายออกมา หลังจากนั้นก็ทิ้งสายตาที่ไร้อารมณ์อยู่ในจุดบริเวณที่ยอดฝีมือของเหล่าตระกูลเยี่ยและตระกูลซูอยู่ หากว่าเขาคาดเดาไว้ไม่ผิดแล้วละก็ อย่างน้อยความสามารถของทั้งสองตระกูล สมควรที่จะ
สามารถเสาะหาป้ายก่อฟ้าได้ด้วยตนเองได้ ? ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ดูเหมือนว่าการที่ตนต้องการที่หาป้ายก่อฟ้าแล้วละก็ คงจะต้องฝากความหวังไว้กับทั้งสองตระกูลนี้แล้ว ทว่า การที่จะแย่งชิงสิ่งของจากตระกูลเยี่ยและตระกูลซูนั้น เยี่ยจงแทบจะไม่เก็บเอามาคิดใส่ใจเลย
จากนั้นก็หัวเราะเสียงเบาๆออกมา เยี่ยจงก็กล่าวด้วยเสียงเบาๆ “ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ แล้วก็ชวีเหยียน พวกท่านทั้งสองคนหากต้องการที่จะขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นแล้วละก็ ไปตอนนี้ยังถือว่าง่ายดายนัก แต่ว่าเมื่อรั้งรอเวลาจนเหลือสองคนสุดท้ายแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ใช่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว “
หลังจากกล่าวจบ ซูหยี่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นนี้ แต่ทว่าสีหน้าของชวีเหยียนในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้นางก็เข้าใจแล้ว หากว่าไม่มีพลังฝีมือในระดับหนึ่งและแรงหนุนแล้วละก็ ตอนนี้ครอบครองป้ายก่อฟ้าขึ้นแล้วบนชั้นด้านหน้า ก็เหมือนนำส่งป้ายขึ้นไปให้แก่ผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีทางใดที่จะช่วยได้เลย
“ ข้าไม่เชื่อหรอก กับชื่อเสียงเรียงนามของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเรา เจ้าคนพวกนี้ยังกล้ามาหาเรื่องหรืออย่างไร “ เซียงฉียวี่ร้องเฮอะอย่างเย็นชาออกมา ใบหน้าน้อยๆปกคลุมด้วยความกลัวอยู่ชั้นหนึ่ง
หลังจากกล่าวจบ ใบหน้าของชวีเซวียนก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นขาวซีดราวกระดาษ นางเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าในเวลาเช่นนี้ ชื่อเสียงเรียงราวของลัทธิแห่งดวงดาวก็มิอาจสามารถช่วยได้ถึงครึ่งครา
เมื่อพบว่าชวีเซวียนเป็นเช่นนั้น เยี่ยจงก็ได้ถอนหายใจออกมาคำโต ส่ายหัวแล้วกล่าวออกมา “ ชวีเซวียน ข้าสามารถที่จะช่วยเจ้าได้อีกครั้งหนึ่ง ปกป้องเจ้าเข้าสู่ขั้นของสวรรค์เก้าชั้น เพียงแต่ว่าเรื่องราวหลังจากนี้แล้วละก็ เจ้าคงต้องได้แต่พึ่งพาตนเองแล้วละ อีกทั้งหลังจากเข้าสู่ประตูก่อฟ้าแล้ว คงจะต้องเกิดการแย่งชิงคัมภีร์ยุทธ์ในตำนานกันอย่างแน่นอน อยากที่จะขึ้นไปหรือไม่อย่างไร เจ้าคิดเอาเองให้ดีจะดีกว่า “
สีหน้าของชวีเซวียน ในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดสนิท เหมือนกับว่าอยู่ในท่ามกลางป่าเขาลึกอันลี้ลับ เห็นได้ชัดว่าไม่มีกระจิตกระใจอยู่กับตัวแล้ว ทว่าหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้ามองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างลึกซึ้งพร้อมกล่าวออกมา “ ถ้าหากว่า ข้ามอบป้ายก่อฟ้าให้แก่ท่านแล้วละก็ ท่านคาดว่าจะมีความสำเร็จแค่ไหนในการได้ครอบครองคัมภีร์ก่อฟ้าในตำนาน ? “
หลังจากกล่าวจบ เยี่ยจงก็มองไปทางด้านชวีเซวียนด้วยสายตาแปลกประหลาด ค่อยส่ายหัวแล้วกล่าวต่อ “ ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน อีกทั้ง ถึงแม้ข้าจะเข้าไปได้ ก็ใช่ว่าจะมุ่งเข้าหาคัมภีร์ก่อฟ้าในตำนาน ข้ายังมีเป้าหมายอื่นอยู่ด้วย “
ซูหยี่แอบมองไปทางด้านเยี่ยจงคราหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึง จากที่ดูลักษณะของเยี่ยจงแล้ว ยังทราบถึงการมีอยู่ของสิ่งของอื่นอยู่อีก อีกทั้งยังมีถึงแปดส่วนที่ทราบว่าของสิ่งนี้คืออันใดอีกด้วย
“ แต่ว่า ถ้าหากท่านสามารถที่จะได้รับคัมภีร์อารามก่อฟ้าในตำนานแล้วละก็ ? “ ชวีเหยียนยังคงกล่าวถามต่อ
“ ถ้าได้ละก็ พวกเราก็มาศึกษาด้วยกันดีไหม ? “ เยี่ยจงหัวเราะ “ แต่ว่าเจ้าไม่ไปจำเป็นที่จะต้องมอบป้ายก่อฟ้าให้แก่ข้าหรอก ข้าจะหาทางด้วยตนเอง ยังไงก็สามารถแย่งชิงมาได้อยู่แล้ว “
ระหว่างที่กล่าว เยี่ยจงก็ยิ้มแล้วมองไปทางด้านเยี่ยยีเฮ้าที่อยู่ทางด้านฝั่งตรงข้าม ความรู้สึกน่าขนลุกแผ่ออกมา ขณะเดียวกันก็ทำให้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปมา
ใบหน้าน้อยๆของชวีเหยียนแสดงอาการแง่งอน นางเพียงพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ยัดเยียดป้ายก่อฟ้าเข้าในมือของเยี่ยจง แล้วกล่าวด้วยน้ำแสดงเบาๆ “ ศิษย์พี่เยี่ยจง หากว่าท่านได้รับคัมภีร์ก่อฟ้าในตำนานแล้วละก็ เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าจะสามารถให้พวกเราได้ศึกษาด้วยสักครา “
เยี่ยจงมองไปทางชวีเยียนคราหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกม หากว่าเมื่อครู่ในตอนที่ม่อฝานหลงจะลงมือต่อตนเอง จิ้กจอกน้อยทั้งสามคนถอยออกไปแล้วละก็ ตอนนี้เขาก็คงจะไม่สนใจพวกนางแล้ว ทว่าหากมิใช่มีเรื่องราวก่อนหน้า เยี่ยจงในตอนนี้ก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าไปมาแล้วกล่าว “ ได้สิ ความจริงแล้วข้านั้นแทบจะไม่มีความสนใจต่อคัมภีร์ก่อฟ้าในตำนานชิ้นนี้ซักเท่าไหร่ ทว่าเพื่อพวกเจ้าทั้งสามคน ข้าจะตั้งใจลองดูสักครา ศิษย์พี่ซูหยี่ ถึงเวลาเราท่านยังร่วมมือกันอยู่หรือไม่ ? “
หลังจากเงียบงัน ซูหยี่ก็จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างช้าๆ ค่อยกล่าวออกมา “ เจ้าสามารถขึ้นไปแล้วค่อยว่ากันอีกที ข้าขึ้นไปยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อันใด แต่ว่าเจ้านั้น…….”
หลังกล่าวจบ ซูหยี่ก็ยิ้มออกมาหยาดเยิ้มคราหนึ่ง จากนั้นนางก็ไม่สนใจว่าเยี่ยจงจะแสดงอารมณ์เช่นไร เพียงแต่ปัดมือไปมา แล้วก็ก้าวยาวๆออกไป จากนั้นในระหว่างที่ยังไม่ทันที่มียอดฝีมือมากมายจะจ้องมองมา ก็ได้ก้าวไปจนถึงจุดบริเวณทางขึ้นของขั้นบันไดแล้ว
เห็นได้ชัด มีผู้คนไม่น้อยที่รู้จักซูหยี่ แม้ว่าพลังฝีมือของนางจะมิได้จัดว่าเพียงพอให้เหล่าผู้คนเกรงกลัว แต่ว่าก็ยังไม่มีผู้ใดที่คิดจะลงมือ เห็นได้ชัด คนเหล่านี้ต่างก็ถือว่าฉลาดหลักแหลม หากว่าลงมือต่อซูหยี่ในตอนนี้แล้วละก็ คงจะมีกลุ่มผู้กล้าออกมาปกป้องบุพผา เมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร ?
“ เหอะ “
พบว่าซูหยี่เข้าไปยังสวรรค์เก้าชั้นโดยไม่มีปัญหาใดๆมารบกวน เยี่ยจงก็ต้องหัวเราะออกมาเสียงเบาๆ และจากนั้นเขาก็จ้องมองไปทางด้านบนร่างอย่างเยี่ยยีเฮ้า กล่าวเสียงดุดัน “ เยี่ยยีเฮ้า พวกเจ้าในมือคงจะมีป้ายก่อฟ้าอยู่ด้วยสินะ ? เป็นไรละ ? ตอนนี้ยังไม่มาขึ้นไปอีก กลัวข้าจะแย่งงั้นหรือ ? “
“ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้เกินเลยไป “ นัยน์ตาเยี่ยยีเฮ้าเย็นเยียบ ค่อยกล่าวออกมา
“ ความจริงแล้วข้าคิดที่จะแย่งชิงแผ่นป้ายก่อฟ้าจากพวกเจ้าอยู่หรอก ทว่าดวงของข้าก็ยังถือว่าไม่เลว……. “
เยี่ยจงหัวเราะออกมา จากนั้นก็หยักไหล่ไปมา โยนป้ายก่อฟ้าไปมาอย่างไม่สนใจแต่อย่างไร และจากนั้นก็ก้าวเท้าออกไป และในเวลาเดียวกันก็มีพลังอันน่ากลัวแผ่ออกมาสายหนึ่ง ถือได้ว่าออกมาจากพลังลมปราณที่กระจายออกมา
“ ข้าเยี่ยจงวันนี้ต้องได้เป็นผู้ชนะ มีผู้ใดในที่แห่งนี้มีความเห็นเป็นอื่นหรือไม่ ? “
“ หากว่ามีผู้ใดมีความเห็นเป็นอื่นแล้วละก็ ให้รีบกล่าวออกมา ผู้น้อยจะขอน้อมรับเอาไว้ “
.
.
.
.