ตอนที่ 050 เด็กหนุ่มผู้เหย่อหยิ่ง
เยี่ยจงจ้องมองไปอย่างดุดัน ในตอนที่กวาดสายตามองไปยังศพของเหม็งซวีคราหนึ่ง และหลังจากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังบุคคลที่กำลังลุกขึ้นมาอยู่ ใบหน้าปั้นยากปรากฏอยู่บนหน้าของหนิงหยี่ “ ครั้งต่อไปหากต้องการที่จะมาทดสอบข้าแล้วละก็ ทางที่ดีน่าจะลงมือด้วยตนเองนะ “
“ เหอะ คุณชายเยี่ยก็กล่าวหนักเกินไปแล้ว “ หนิงหยี่ที่อยู่ในความสงบตลอดมา ใบหน้าก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาสายหนึ่ง “ เหล่าขี้ข้าเหล่านี้ทำเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เห็นภูเขาไท่ซานกลับไม่รู้จัก สมควรที่จะมีบทเรียนเช่นนี้แล้ว ในเมื่อสิ่งของอยู่ในมือของคุณชายเยี่ยแล้ว เช่นนั้นก็เป็นของคุณชายเยี่ยท่านเองแล้วละ “
หลังจากกล่าวจบ หนิงหยี่ก็โบกมือคราหนึ่ง วินาทีนั้นเหล่ายอดฝีมือที่มีเลือดไหลกลบปากอยู่ แต่ละคนต่างก็คอยกุมหน้าอกถอยรนออกมา และร่างของเหม็งซวีก็มีคนนำลงมาพร้อมกันในทันที เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วละก็ บนลานกว้างกลับถูกปกคลุมไว้ด้วยกลิ่นของเลือดโชยออกมา
สายตาของเยี่ยจงหยุดมองลงไปอย่างเย็นเยียบอยู่ที่บนร่างของหนิงหยี่ จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมาคำหนึ่ง แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา เพียงแต่กวาดตามองสำรวจลานกว้างอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ ในเมื่อไม่มีผู้ใดมีความเห็นเป็นอื่นแล้วละก็ เช่นนี้ตำแหน่งนี้ ข้าจะขอรับไว้เอง “
หลังจากกล่าวจบ เยี่ยจงก็เขย่าป้ายก่อฟ้าที่อยู่ในมือ มุ่งตรงไปยังทางเข้าสู่ขั้นบันไดก่อฟ้า ในครั้งนี้ มียอดฝีมือไม่น้อยที่นัยน์ตาทอประกายออกมาด้วยความหวาดกลัวและความอิจฉา แต่ทว่าเมื่อถึงตอนท้าย ผู้คนทั้งหมดก็ต้องเก็บอารมณ์ความอิจฉาเอาไว้กับตนเอง
เมื่อเซียงฉียวี่และพวกหญิงสาวทั้งสามมองไปยังฉากเบื้องหน้านี้ ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ ขอเพียงเยี่ยจงสามารถเหยียบขึ้นสู่สวรรค์เก้าขั้น ต่อให้ผู้คนเหล่านี้จะรู้สึกผิดหวังก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอาเรื่องจากเขาได้
“ เยี่ยจง เจ้าคงมิใช่คิดไว้ว่า เจ้าจะสามารถปีนขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นได้อย่างง่ายดายหรอกนะ ? พวกเราตระกูลเยี่ย มิได้คิดไว้หรือเตรียมตัวที่จะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่เบื้องหลังหรอกนะ กับเจ้ามารนอกรีตของตระกูล เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งนี้หรือ ? “ ในระหว่างที่เยี่ยจงก้าวออกไปได้แล้วหลายก้าวอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงเย็นชาหัวเราะดังออกมา จนทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องกรอกตามองรอบหนึ่ง ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้วหรือไร ?
นัยน์ตาของเยี่ยจงในตอนนี้เยียบเย็นจนถึงขีดสุด บนใบหน้าที่ความจริงอยู่ในอาการดุดันแล้ว ยิ่งปกคลุมไว้ด้วยรังสีฆ่าฟันอีกสายหนึ่งออกมา จากนั้น เยี่ยจงก็ค่อยๆหันศีรษะกลับมามอง จ้องมองตรงไปยังบริเวณที่เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยและตระกูลซูอยู่
ตอนนี้ ก็พบเห็นใบหน้าของเยี่ยยีหยินยิ้มอย่างเย็นชาก้าวเท้าเดินออกมา และในเวลาเดียวกัน ก็มีเหล่ายอดฝีมือของตระกูลเยี่ยไม่น้อยที่สายตาทอประกาย และเหล่ายอดฝีมือของตระกูลซูก็เริ่มที่จะรวมกลุ่มเคลื่อนไหวราวกับแมลงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า เหล่ายอดฝีมือของตระกูลเยี่ยและตระกูลซูต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดี ไม่ว่าเยี่ยจงจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไรก็ตาม แต่ว่าปัญหาระหว่างพวกเขาและเยี่ยจง คงเป็นไปได้ยากที่จะไกล่เกลี่ย อีกทั้งเยี่ยจงก็มิได้ตัดสินใจที่จะให้โอกาสแก่พวกเขาแต่อย่างไร ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เยี่ยจงสามารถปีนขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้น ไม่เช่นนั้น ถ้าหากเขาได้ครอบครองคัมภีร์ก่อฟ้าในตำนานแล้วละก็ คงจะเพิ่มความยากที่จะต่อกรยิ่งขึ้นไปอีก
“ ตระกูลเยี่ยจะลงมือกับเยี่ยจงอย่างงั้นหรือ ? “ จากที่มองไปยังฉากเบื้องหน้า บนลานกว้างมีนัยน์ตาไม่น้อยที่ปกคลุมไว้ด้วยความประหลาด และพวกเขาจ้องมองไปยังนัยน์ตาของเยี่ยจง ยิ่งเติมเต็มความบาดหมาง ที่แท้เป็นความบาดหมางใดกันที่มิอาจที่จะไกล่เกลี่ยกันได้ เป็นที่ชัดเจนว่าเยี่ยจงและตระกูลเยี่ยมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน ?
“ เพล้ง “
เยี่ยจงค่อยๆถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง สีหน้าของเขากลับมาเป็นสีหน้าสงบนิ่งอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อจ้องมองไปทางเยี่ยยีหยิน ได้ปรากฏไอเย็นแผ่ขึ้นมา
“ เยี่ยยีหยิน เจ้าคงมิใช่คิดว่า เจ้าแซ่เยี่ยแล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอกนะ ? “ เยี่ยจงเอ่ยปากถามออกมา “ ข้าเคยบอกไปแล้ว คนที่ข้าชอบเหยียบย้ำที่สุด ก็คือคนแซ่เยี่ย “
“ เยี่ยจง เจ้าคงไม่ใช่คิดว่า ในตอนที่อยู่ท่ามกลางศาลาใหญ่สามารถเอาเปรียบได้เพียงเล็กน้อย เจ้าก็คิดว่าเจ้าร้ายกาจแล้วงั้นหรือ ? หากเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ก็รีบมอบป้ายก่อฟ้ามาทันทีซะ เห็นแก่เจ้าข้ายังถือเป็นคนตระกูลเยี่ยเช่นเดียวกัน ข้าจะทำให้ร่างเจ้ายังเหลือครบทุกส่วน “ เยี่ยยีหยินจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง ใบหน้าปกคลุมไว้ด้วยความเย้ยหยัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังกังวานดังขึ้นมาจากบนอากาศ
“ ลงมือเถอะ “
สีหน้าบนใบหน้าของเยี่ยจงยังคงไม่สนใจ เขาในตอนนี้คร้านที่จะกล่าวคำพูดไร้สานะกับคนเหล่านี้แล้ว และเพียงแต่ตระโกนออกมาคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวที่จะใช้พลังสายฟ้าออกมาเพื่อสะสางปัญหาตรงหน้า
“ ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ทราบถึงความหมายของคำว่าตระกูลเยี่ยหมายถึงสิ่งใดแล้วละก็ เช่นนั้นในวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ทราบเอง “
หลังจากเงียบงัน นัยน์ตาของเยี่ยยีหยินก็มิอาจปิดบังรังสีการฆ่าฟันต่อไปได้ วันก่อนที่ท่ามกลางศาลเจ้าหิน เขาก็คิดที่จะลงมือสังหารเยี่ยจงที่อยู่ตรงด้านหน้าผู้นี้ เพียงแต่ว่าเพื่อที่จะออมแรงไว้แย่งชิงป้ายก่อฟ้าชิ้นหนึ่ง เขามิอาจไม่อดทนอดกลั้นเอาไว้ แต่ว่าในตอนนี้ เขาไม่อยากที่จะให้โอกาสแก่เยี่ยจงอีกแล้ว ไม่สนว่าเยี่ยจงจะสามารถที่จะลุกขึ้นมาอีกสักกี่ครา แต่ว่าบุคคลเช่นนี้ แน่นอนว่ามิอาจให้เขารอดชีวิตไปได้ ไม่เช่นนั้นการมีอยู่ของเขา จะต้องมีเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงตามมาแน่นอน ตระกูลเยี่ย มีเยี่ยยีเฮ้าและเยี่ยยีหยินสองคนก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องการที่มีเยี่ยจงเพิ่มขึ้นมาอีกคน
“ ศิษย์พี่เยี่ยจง “
ชวีเซวียนมองไปยังฉากเบื้องหน้า นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง เห็นได้ชัดว่านางก็คงคาดเดาไม่ออก เจ้าสวรรค์เก้าชั้นนี้ จะต้องพบเจอกับเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมากมายขนาดนี้
“ พวกเราช่วยเขาไม่ได้หรอก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ได้แต่เพียงดูว่าเขาเองจะทำอย่างไรแล้ว ทว่าเจ้าพวกตระกูลเยี่ยบัดซบก่อนหน้านี้ยังมิใช่คู่ต่อกรของเขา ตอนนี้คิดว่ายังไงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก อย่าได้กังวลจนเกินไปเลย “ เซียงฉียวี่จ้องมองไปด้วยสายตาลังเลเอ่ยปากกล่าวออกมา ทว่าในเวลาที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตัวของนางเองก็ยังไม่เชื่อ กระทั่งพบเห็นมองออกว่ายังกล้าที่จะใช้ออกด้วยวิชาฝีมือที่ใช้สายฟ้านั้นใส่เยี่ยจงอีก เยี่ยยีหยินผู้นี้หากว่าไม่มีความสามารถซักหลายส่วน เช่นนี้ไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ?
ทว่า ตอนนี้ทำใจอดทนให้เหมือนดั่งพยัคฆ์ ถ้ากล่าวถึงพลังฝีมือของทั้งสามสาว ก็มิอาจที่จะทำอะไรได้ กับพลังฝีมือที่แท้จริงเบื้องหน้า ต่อให้ดีดลูกคิดรางแก้วมาอย่างดีแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“ เหอะ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก “ ซูเซวียนจ้องมองไปที่เยี่ยจง แต่ว่าก็มิได้แสดงออกว่าจะลงมือแต่อย่างไร
กระทั่งเยี่ยยีเฮ้าในตอนนี้เริ่มที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยังมิได้กล่าวอันใด
“ ทุกๆคนที่ได้ยินคำสั่งของข้าแล้ว ก็ลงมือพร้อมกัน ฆ่าจะกบฏตระกูลเยี่ยผู้นี้ให้ได้ “ เยี่ยยีหยินจ้องมองเยี่ยจง จากนั้นก็หัวเราะเย็นชาคำหนึ่ง ราวกับว่าหัวของเยี่ยจงได้มือในกำมือของเขาในตอนนี้แล้ว
“ ขอรับ “
พบว่าเยี่ยยีหยินตัดสินใจที่จะลงมือด้วยตนเอง เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยเหล่านี้ที่ความจริงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเยี่ยจงอยู่ ตอนนี้แต่ละคนต่างก็กัดฟันถอยออกไป เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นตอนนี้ หน้าตาของพวกเขาก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกขำขันอยู่หลายส่วน
เพียงแต่ว่าก็ต่อให้เป็นแค่พลทหารกลุ่มหนึ่งที่พ่ายแพ้ไป ในตอนนี้เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยบนร่างของแต่ละคนแผ่พลังออกมาจนทำให้ผู้คนตกใจได้ เห็นได้ชัด ในครั้งนี้พวกเขานั้นไม่คิดที่จะเก็บเยี่ยจงเอาไว้แล้ว
เห็นว่าฉากเบื้องหน้าเป็นเช่นนี้ ยอดฝีมือมากมายของกลุ่มอื่นนัยน์ตาต่างก็ทอประกายออกมา ใบหน้าถูกปกคลุมไว้ด้วยความประหลาด เยี่ยจงปะทะตระกูลเยี่ย ฉากเบื้องหน้าคงจะน่าตื่นเต้นอยู่หลายส่วน
“ กบฏของตระกูลเยี่ยงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความดุดัน “ ช่างให้เกียรติที่ให้นามนี้แก่ข้ายิ่งนัก “
หลังจากที่เสียงกล่าวจบลง เยี่ยจงก็ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า รีดเร่งพลังลมปราณกระบี่หกสุสานไหลเวียนออกมา และในครั้งนี้ พลังลมปราณและพลังวิญญาณที่ไหลเวียนออกมาจากกระดูกและกล้ามเนื้อที่ปิดบังเอาไว้ก็ได้ไหลเวียนแผ่ออกมาด้วยตนเอง จนทำให้เลือดลมของเยี่ยจงพลุ่งพล่าน ขุมพลังนี้ทำให้ผู้คนตกใจจนถึงสุดขีด
“ นั้นคืออะไรกัน ? พลังลมปราณอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยจง ? เป็นเพียงแค่ยอดฝีมือที่มีพลังฝีมืออยู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้กัน ? “ มีบางคนที่เริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ถูกแผ่ออกมาได้อย่างช้าๆ ลานกว้างในเวลานี้ต่างก็ตกอยู่ในความตะลึงและเสียงร้องตกใจ มีสายตาของผู้คนไม่น้อยที่ยังคงเต็มไปด้วยอาการตื่นกลัวจนไร้ที่เปรียบ พวกเขาหรี่ตามองดูไปยังเงาร่างกลางลานกว้าง นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
และในฉากนี้ ได้ทำให้ความจริงที่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาอย่างม่อฝานหลง ต้องใบหน้าค่อยๆสั่นเทาขึ้นมา กระทั่งในตอนแรกที่แทบจะไม่แลเยี่ยจงอยู่ในสายตาอย่างคุณชายคงฮู่ ในตอนนี้ตาก็ต้องเกิดอาการกระตุกคราหนึ่ง เห็นได้ชัดว่า เบื้องหน้าสายตาของพวกเขาสัมผัสได้ถึงท่ามกลางพลังภายในของเยี่ยจง จนรู้สึกได้ว่าน่าจะมีบางอย่างอยู่อีก
“ นี้คือ “
จากที่สัมผัสพลังปราณอันน่าหวาดกลัวอย่างสุดขีดของเยี่ยจงแล้ว เยี่ยยีหยินผู้นั้นก็ต้องกรอกตาคราหนึ่ง ในตอนนี้ ต่อให้เป็นพลังฝีมืออย่างเยี่ยยีหยิน ก็สัมผัสได้ถึงรสชาติอันน่าอันตรายรูปแบบหนึ่งที่ยากจะอธิบายออกมาจากบนร่างของเยี่ยจง และบรรยากาศเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะทำให้หัวใจของเขาแทบกระดอนออกมา
“ เปรี้ยง “
พลังปรานวิญญาณที่อยู่ภายในพลังลมปราณไหลเวียนออกมาถึงเก้าขั้น(จิ่วโจวเทียน) จนทำให้เยี่ยจงในตอนนี้มีระดับพลังที่สูงขึ้นมาหลายเท่า ต่อมาในทันที เยี่ยจงก็ได้ก้าวฝ่าเท้าไปก้าวหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งทะยานออกไปในทันที พร้อมทั้งง้างหมัดในมือ พลังสี่ขั้นของตราประทับกระบี่อาชูร่าถูกรีดเร่งเพิ่มขึ้น พุ่งเข้าปะทะสังหารออกไป
“ จับตัวเขาเอาไว้ “
รู้สึกได้ว่าบนร่างของเยี่ยจงตอนนี้ช่างเป็นพลังอันน่าหวาดกลัว บนร่างของเยี่ยยีหยินผู้นี้ก็ราวกับอาบเหงื่ออันเย็นเยียบในทันที ในตอนนี้ เขาสามารถที่จะสัมผัสได้ พลังอันมหาศาลที่ถูกแผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยจง เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่อาจที่จะต่อสู้ด้วยได้
เมื่อได้ยินเยี่ยยีหยินร้องเฮ้อคำหนึ่ง จนกระทั่งสีหน้าของเหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยเปลี่ยนเป็นปั้นยาก แต่ว่าก็ออกไปทีละคนๆในทันที หากว่าในครั้งนี้ต้องแพ้อีกแล้วละก็ หน้าตาของตระกูลเยี่ยของพวกเขา จะถือว่าถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
“ แปะ แปะ แปะ “
เผชิญหน้าหน่วยกล้าตายของยอดฝีมือตระกูลเยี่ยเหล่านี้ เยี่ยจงก็ไม่คิดที่จะเกรงใจแต่อย่างไร ในครั้งนี้เขาใช้ออกด้วยทั้งเพลงเท้าเพลงหมัด ทันใดนั้นก็ปรากฏท่าทางที่น่ารังเกียจอย่างประหลาดออกมา จนทำให้เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยแต่ละคนต้องเป็นเหมือนดั่งสุนัขคลานออกไปก็มิปาน ทันทีที่ลงสู่พื้น เลือดสดๆก็พุ่งออกมา เหล่ายอดฝีมือไร้ค่าของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ ถึงแม้จำนวนคนจะมากมาย แต่ว่าความจริงแล้วรั่งไม่ได้แม้กระทั่งปลายเล็บของเยี่ยจงด้วยซ้ำ เยี่ยจงในตอนนี้ เดาได้ว่าไร้คนที่จะต่อกรได้แล้ว
ทั่วทั้งสี่ทิศสายตาแต่ละสาย ในตอนนี้ต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอาการตกตะลึง ดินแดนในตอนนี้จนกระทั่งตอนนี้มีคนประเภทนี้อยู่ด้วยหรือไรกัน พลังลมปราณเดวอ่อนเดียวแข็ง ใช้หนึ่งกดดันร้อย หนึ่งกระบวนท่าสังหารลงได้ ยอดฝีมือมากมายยังต้องพ่ายถอย
ความแข็งแกร่งไร้ที่ติเช่นนี้ เป็นเหมือนคนหนุ่มที่สวรรค์ประทานพรมาให้
“ เปรี้ยง
ในขณะที่มีสายตาของผู้คนมากมายจ้องมองมา ทันทีต่อมา เยี่ยจงก็ได้หายไปจากสายตาของผู้คนมากมายกลายเป็นเงาร่างเข้าสู่วงล้อม เงาร่างในตอนนี้ได้พุ่งเข้าหาบริเวณที่เยี่ยยีหยินอยู่ที่กำลังแสดงสีหน้าปั้นยาก
“ อะไรกัน ? “
พบว่าเยี่ยจงในขณะนี้ไม่เพียงแต่จะเข้าไปสู่วงล้อมของกลุ่มยอดฝีมือตระกูลเยี่ยแล้ว นัยน์ตาของเยี่ยยีหยินก็ยังคงปรากฏอาการตกใจออกมา พลังฝีมือของเยี่ยจงผู้นี้ เหตุใดยังดูแข็งแกร่งกว่าครั้งที่แล้วกัน และยังดูเหมือนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
เพียงแต่ว่า คนปกติธรรมดาอย่างเยี่ยยีหยิน ในตอนนี้เขาทำได้ตบไปที่มือขวาคราหนึ่ง กระเป๋าหวายแห่งความฝันก็ปรากฏบนมือของเขา ราวกับมีไม้ชิ้นใหญ่ก็มิปาน กวาดออกไปอย่างบ้าคลั่ง …….
.
.
.
.
.