ตอนที่ 061 เรื่องน่ารำคาญมาถึงที่
“ ป้ายวิญญาณทองคำของศิษย์สายใน ? ของปลอมหรือเปล่า ? “
“ ไม่ทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นศิษย์สายในที่ผุดขึ้นมาจากที่ใดกัน ? “
“ ศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เป็นเหมือนแผงขายผักกัน ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ ? “
ภารกิจของอาราม ศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาวแต่ละคนจากรอบด้านจ้องมองตาไม่กระพริบ ทันใดนั้นก็ได้ค่อยๆกระซิบตอบกลับมา
และจากนั้น มีคนไม่น้อยที่คิดว่าตนเองยังมีฝีมือไม่เลว ในระหว่างที่มองไปยังร่างของเยี่ยจง สีหน้าที่ปรากฏก็ได้ทอประกายความโลภออกมาหลายส่วน หากนับตามกฎของลัทธิแห่งดวงดาว การเปิดเผยสถานะในตอนนี้ของเยี่ยจง ก็ถือได้ว่าตกเป็นเป้าหมายของศิษย์สายนอกโดยทั้งสิ้น
เยี่ยจงในตอนนี้ราวกับมิได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงจากทั่วทั้งสี่ทิศก็มิปาน จากนั้นก็นำป้ายวิญญาณทองคำโยนออกไป ผู้อาวุโสแซ่หวูรับป้ายสะสมวิญญาณไว้ จากนั้นก็นำสี่หมื่นสะสมวิญญาณใส่เข้าไป ค่อยนำป้ายสะสมวิญญาณมอบคืนให้แก่เยี่ยจง
จากที่มองดูสี่หมื่นสะสมวิญญาณที่อยู่ในป้ายสะสมวิญญาณ เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา การมีสะสมวิญญาณมากมายเช่นนี้อยู่กับตัว ถ้าต้องการที่ฝึกปรือเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า ก็มิใช่ปัญหาใหญ่อันใดมากนัก
ต่อมา เยี่ยจงก็มิได้กล่าวอันใดมากมาย และได้หันกายจากไป เตรียมตัวที่จะเสาะหาสถานที่ในการฝึกปรือ
“ เหอะ เหอะ เจ้าเด็กน้อย อย่าได้เร่งรีบเช่นนี้สิ “ ผู้อาวุโสแซ่หวูเมื่อเห็นว่าเยี่ยจงจะจากไป ก็ได้โบกมือรั่งเอาได้ หัวเราะเหอะๆกล่าว
“ ผู้อาวุโสหวูมีเรื่องอันใด ? “ เยี่ยจงกวาดตามองดูผู้อาวุโสหวู แล้วค่อยกล่าวด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลายส่วน
“ เหว่ยเหว่ย ทารกน้อย อย่าได้ใช้สายตาเช่นนั้นมองผู้อาวุโสเช่นข้า ผู้อาวุโสเช่นข้าถือได้ว่ามีความซื่อตรงนะ “ ผู้อาวุโสหวูทุบที่ทรวงอกอยู่หลายที และจากนั้นค่อยทอประกายสายตาเร่าร้อนขึ้นมา ค่อยกล่าวออกมา “ เจ้าเด็กน้อย นับตามกฏของลัทธิแล้ว เจ้าเป็นผู้ที่นำสมุดทองในตำนานกลับมา เช่นนั้นของชิ้นนี้ก็จะเป็นของส่วนตัวที่เจ้ามี ตกให้พวกเราภายในลัทธิก็ไม่อาจที่จะฝืนจะให้เจ้านำออกมา……ทว่า หากว่าเจ้ายินยอมสนใจที่จะนำสิ่งของให้แก่ลัทธิฝ่ายในเพื่อคัดลอกสักชุดแล้วลัก็ เช่นนั้น ลัทธิฝ่ายในก็มิอาจลืมเลือนที่จะสนับสนุนเจ้าได้ เจ้าเข้าใจในความหมายแล้วหรือไม่ ? “
เยี่ยจงค่อยๆหรี่ตามอง หลังจากที่เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวออกมาดังๆ “ ผู้อาวุโสหวู พวกเราก็ไม่กล่าวคำพูดเหลวไหล ท่านบอกต่อข้าตามตรง ถ้าหากข้ามอบสิ่งของให้ลัทธิฝ่ายในคัดลอกชุดหนึ่งแล้วละก็ จะได้สิทธิพิเศษอันใดบ้าง ? “
“ หยู่ หากว่าจะนำสมบัติมอบออกมาด้วยตนเองแล้วละก็ เช่นนั้นลัทธิฝ่ายในก็อาจจะใคร่ครวญดู ในตอนที่เจ้าแลกเปลี่ยนโอสถวิเศษ ศาสตราวุธวิเศษ จะลดราคาให้เจ้าจนเหลือเก้าส่วน(90%) ทั้งยัง ในห้องโถงทักษะยุทธ์ที่อยู่บนชั้นสาม ก็สามารถเปิดให้เจ้าเข้าได้ครั้งหนึ่ง “ หลังจากที่ผู้อาวุโสแซ่หวูคิดใคร่ครวญ ค่อยกล่าวออกมาเสียงเบา
คำพูดในส่วนแรก ซูหยี่ถือว่าไม่มีความสนใจอันใด แต่ว่าเพียงคำพูดส่วนหลังกล่าวออกมาก็ต้องทำให้ซูหยี่ตกตะลึงขึ้นมา และจากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยอาการตื่นตกใจ
“ ห้าส่วน “ เยี่ยจงยังมองไม่เห็นความหมายในอารมณ์ของซูหยี่ และหลังจากที่คิดแล้วคิดอีก ก็ได้ตัดราคาออกไป
เยี่ยจงถือว่าตัดราคาได้เผ็ดร้อน ทำให้ผู้อาวุโสแซ่หวูต้องกรอกตาคราหนึ่ง อีกเพียงนิดเดียวก็อาจจะดึงเคราเส้นหนึ่งของตนเองลงมา จากนั้นเขาก็มองไปทางเยี่ยจงอย่างฝืดฝาด ค่อยถอนหายใจคำหนึ่งแล้วกล่าว “ ข้าพอจะทราบแล้วว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าเหตุใดจริงสามารถทำเรื่องราวมากมายออกมาได้เช่นนี้ การต่อราคานี้ก็ชั่งเกินไป ข้ายอมรับนับถือเจ้าจริงๆ ……. ช่างเถอะ ข้าจะออกหน้าเอง อย่างมากข้าก็ให้เจ้าได้แค่ลดราคาเหลือในราคาแปดส่วน(80%) ไม่สามารถต่ำกว่านี้ได้แล้ว เจ้าควรทราบ ต่อให้เป็นพวกเราเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายในเมื่อแลกเปลี่ยนโอสถ ศาสตราวุธ ยาเสริมพลัง ก็ยังต้องจ่ายในราคาแปดส่วนอยู่ดี “
“ งั้นหรือ ? “ เยี่ยจงมองไปทางผู้อาวุโสแซ่หวูด้วยสายตาสงสัยอยู่หลายส่วน แล้วจึงค่อยกล่าวตอบออกมาเสียงเบา
“ ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจง เจ้าก็ตอบรับเถอะ “ ซูหยี่กระซิบที่ข้างหูของเยี่ยจง ขบฟันน้อยๆแล้วกล่าวออกมา “ การแลกเปลี่ยนสิ่งของ จะลดราคาเท่านั้นก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าการได้เข้าสู่โถงทักษะยุทธ์ที่อยู่บนชั้นสาม นั้นเป็นสิ่งที่พวกเราเหล่าศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวที่แม้อยากจะเข้าก็ยังยากเลย กล่าวโดยทั่วไป มีแต่เพียงศิษย์สายในที่ได้รับการสนับสนุนเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ชั้นสามซักครา เจ้าก็ควรพอได้แล้ว “
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของซูหยี่ จากนั้นเยี่ยจงก็คิดแล้วคิดอีก แล้วก็ได้ค่อยๆพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ตัดสินที่จะยื่นสมุดทองในตำนานมอบให้แก่ผู้อาวุโสแซ่หวู กล่าวตามความจริง ตลอดการเดินทางเยี่ยจงได้ตรวจสอบวิชายุทธ์ล้างไขกระดูกก่อฟ้านี้มาส่วนหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นวิชายุทธ์ที่ไม่เลว แต่ว่าหากนำมาเทียบกับวิชายุทธ์กระบี่หกสุสานของเขาแล้ว ความหากชั้นมิได้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงศึกษาอย่างไม่ตั้งใจอยู่ขณะหนึ่ง เยี่ยจงก็ได้ตัดใจที่ฝึกฝนมัน นอกเสียจากที่ได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโสแซ่หวูที่กล่าวถึงตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นที่สามแล้ว จึงทำให้เขาเริ่มที่จะมีความตื่นเต้นอยู่หลายส่วน
ในตอนนี้เยี่ยจงถือได้ว่ามีทักษะยุทธ์โจมตีน้อยมาก แต่ว่าโดยส่วนหนึ่งของทั้งหมดเขาก็ต้องฝึกปรือพลังฝีมืออย่าช่วยไม่ได้ และในชั่วเวลานี้ ก็ถือได้ว่ามีเพียงวิชากระบี่ตราประทับอาชูร่าเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เยี่ยจงรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อย และในตอนนี้ก็มีโอกาสจะได้เข้าสู่ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นที่สามของลัทธิแห่งดวงดาวหนึ่งครั้ง พบเห็นลักษณะท่าทางกระวนกระวายของซูหยี่เช่นนี้ ไม่แน่ว่าทางด้านในจะประจวบเหมาะที่จะสามารค้นหาทักษะยุทธ์โจมตีได้ ในส่วนนี้ จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เยี่ยจงให้ความสนใจเป็นที่สุด
สายตาที่จ้องมองมาที่เยี่ยจงอย่างดุดัน หลังจากที่ได้เก็บสมุดทองในตำนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสแซ่หวูก็ไอออกมาแล้วกล่าว “ เยี่ยมมาก เด็กน้อย ข้าจะสั่งการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ลงไป เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการที่จะไปตำหนักทักษะยุทธ์แล้วละก็ ก็บอกกล่าวแก่เจ้าหนูน้อยซูหยี่คำหนึ่งก็พอแล้ว พอถึงเวลานางจะพาเจ้าไปเอง ยังมีอีก เมื่อได้คัดลอกสมุดทองในตำนานเล่มนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะส่งคนส่งมอบไปให้เจ้าเอง “
“ ขอบคุณท่านผู้อาวุโส “ เยี่ยจงทำมือคารวะอยู่หลายครา และตนเองก็มองดูไปที่ป้ายสะสมวิญญาณที่มีอยู่สี่หมื่นสะสมวิญญาณ เยี่ยจงนัยน์ตาเร้าร้อนขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ตอนนี้คนเองมีพลังฝีมือแค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เท่านั้น หากนับตามความต้องการของวิชากระบี่หกสุสานแล้ว ขอเพียงแค่มีก้านไม้วิญญาณม่วงอีกเพียงแค่ก้านเดียวเท่านั้น ตนเองก็สมควรที่จะสามารถทะลวงขึ้นสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าได้
ในการเดินทางไปยังอารามก่อฟ้าในครานี้ ทำให้เยี่ยจงได้เปิดหูเปิดตา พลังฝีมือของตนเองเมื่อเทียบกับยอดฝีมือที่รุ่นราวคราวเดียวกัน ยังมีความห่างชั้นอยู่ส่วนหนึ่ง หากมิใช่ตนเองมีประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน สายตาอันแรงกล้าแล้วละก็ ไม่แน่ว่าการเดินเรือภายในมหาสมุทรที่ชื่อว่าอารามก่อฟ้าคงได้พลิกคว้ำกลางทางเป็นแน่แท้
จากที่กล่าวมา พลังฝีมือ ถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าในวันข้างหน้าตนเองต้องการที่จะทำสิ่งใด ไม่มีพลังฝีมือที่เพียงพอแล้ว เช่นั้นคงต้องพึ่งแต่โชคชะตาแล้ว
เมื่อทั้งสองได้ล่ำลาผู้อาวุโสแซ่หวูแล้ว จากนั้นก็เดินออกจาตำหนักภารกิจ เยี่ยจงก็กวาดสายตาสำรวจมองไปทั่วทั้งสี่ด้านอยู่รอบหนึ่ง ก็ได้ก้าวยาวๆมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของตำหนักโอสถ ถ้านับตามคำพูดของซูหยี่แล้ว ท่ามกลางตำหนักโอสถแห่งนี้ สมควรที่จะมีโอสถที่ตนเองต้องการจึงถูกต้อง
เมื่อพบท่าทีของเยี่ยจงเช่นนี้ จากนั้นซูหยี่ก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ก็ได้ก้าวยาวๆเดินตามไป เพียงแต่ว่า ในตอนที่เดินออกไปได้หลายก้าวนั้น ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา ใบหน้าปรากฏอาการปั้นยากขึ้นหลายส่วน
“ เหอะ เหอะ เหอะ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ นานแล้วที่ไม่ได้เจอ “
เยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ในขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าสู่เส้นทางไปตำหนักโอสถ ร่างที่สวมไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีขาว ชายหนุ่มที่มีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีก็ได้เดินออกมา เขาได้จ้องมองไปที่ร่างของเยี่ยจงที่อยู่ด้านหลังของซูหยี่ด้วยสายตาอันร้อนแรง จากนั้นก็ละสายตาไปจากเยี่ยจง
“ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินผู้คนในลานบอกกล่าวมาว่าศิษย์พี่หญิงซูหยี่ท่านกลับมาแล้ว จึงอดมิได้ที่จะต้องมากล่าวทักทาย ศิษย์พี่หญิงท่านคงไม่รังเกียจหรอกนะ ? “ ชายหนุ่มจ้องและยิ้มอย่างอบอุ่นไปทางด้านซูหยี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยร้อยยิ้มอันสดใสไร้ที่เปรียบ
“ ฉู่หวิน ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าพวกเราสองคนมีความสนิทกันถึงขนาดนี้ ? “ ซูหยี่ขมวดคิ้วออกมา จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ ฮาฮา ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ก็ช่างกล่าวล้อเล่นได้สมจริงเกินไปแล้ว เราท่านมิใช่มีการร่วมมือกันอยู่ถึงครั้งสองครั้งหรอกหรือ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อย่าได้จับเรื่องเก่ามาคุยดีหรือไม่ ? หรือจะพูดว่า เมื่อมีคนใหม่แล้ว ก็ลืมเลือนคนเก่ากัน “ ชายหนุ่มนามฉู่หวินที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยี่ยใดจนต้องถอนหายใจออกมา และจากนั้นก็ได้ค่อยๆมองไปทางด้านเยี่ยจง นัยน์ตาทอประกายความอิจฉาริษยา จนทำให้เยี่ยจงหนาวสั่นไปจนถึงกระดูก
ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ของตนเองผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นสาวที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหลือประมาณ
“ พวกเราสองคนค่อยๆคุยกัน ข้าขอไปก่อนก่อนก็แล้วกัน “ เยี่ยจงหันศีรษะกลับไปมองซูหยี่อยู่คราหนึ่ง และจากนั้นก็โบกมือไปมา ในขณะที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะจากไป เห็นได้ชัดในทันทีว่า ฉู่หวินผู้นี้ต้องการที่จะไล่ตามซูหยี่ เยี่ยจงก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการละครไล่ตามจีบไปเรื่อยเช่นนี้
“ เยี่ยจง เจ้าคนไม่มีน้ำใจ “ ซูหยี่ร้องเสียงดังเฮอะคำหนึ่ง กระทึบเท้าไปมา กล่าวออกมาความงอแง
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็สะดุดคราหนึ่ง เกือบจะล้มกลิ้งลง ผู้หญิงแท้จริงแล้วช่างรับมือยากเสียจริง
“ เยี่ยจง ? เจ้าก็คือเยี่ยจงผู้นั้นหรือ ? เจ้าขยะเยี่ยจง เยี่ยจง ? “
ในตอนนี้ ความจริงแล้วฉู่หวินได้จ้องมองไปที่เยี่ยจง เริ่มที่จะกล่าวออกมาเสียงดังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้าขยะเยี่ยจงนี้เอง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าเจ้าไสหัวเข้าสู่ลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราได้อย่างไรก็ตาม แต่ว่าในทางที่ดีแล้วก่อนที่สาขาในจะค้นพบสิ่งแปลกปลอมเช่นนี้ เจ้าก็รับไสหัวไปจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ต่อให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าสวรรค์ก็ไม่อาจสามารถช่วยเจ้าได้ แน่นอนว่า ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะเป็นสุนัขรับใช้ของนายน้อยเช่นข้าแล้วละก็ เช่นนั้น ขอเพียงคุกเข่าคลานมาอ้อนวอนข้า ก็มิใช่เป็นไปมิได้ “
หลังจากที่กล่าวจบ ความจริงแล้วเยี่ยจงได้ตัดสินใจที่จะไม่สนใจนัยน์ตาได้ทอประกายเย็นเยียบขึ้นมาทันที จดจ้องไปทางด้านของฉู่หวิน
“ เยี่ยจง ช่างเถอะ ช่างเถอะ “ ซูหยี่ที่อยู่ด้านหลังเห็นฉากเบื้องหน้า ในใจก็แทบที่จะกระดอนออกมา นางรีบเหินไปกดที่หัวไหล่ของเยี่ยจง กล่าวออกมาเสียงเบาๆ
- หากนับตามลักษณะนิสัยในการจัดการเรื่องราวต่างของเยี่ยจง นางในตอนนี้ถือได้ว่ากระจ่างอยู่หลายส่วน จึงได้ทุ่มเทกำลังเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา เยี่ยจงยิ่งไม่ชอบที่จะทำเรื่องราวเช่นปล่อยเสือเข้าป่าอยู่แล้ว ฉู่หวินผู้นี้มีคนหนุนหลังอยู่ไม่น้อย แต่ว่านิสัยของเยี่ยจงแน่นอนว่าไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว กล่าวได้ว่าหากไม่ระวังแล้วละก็ ไม่แน่ว่าเยี่ยจงอาจจะลงมือเก็บกวาดฉู่หวินผู้นี้ก็เป็นได้ ถ้าหากจับได้ว่ามีการเอาชีวิตภายในลัทธิแล้วละก็ เกรงว่าเช่นนั้นคงยากที่จะไกล่เกลี่ยได้ อาจจะกลับกลายเป็นเรื่องราวที่น่ารำคาญก็เป็นได้
และทั่วทั้งสี่ด้าน ความจริงแล้วซูหยี่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนอยู่แล้ว และฉู่หวินผู้นั้นก็มีคนหนุนหลังอยู่ไม่น้อย เมื่อมีการปะคารมกันของทั้งสองฝ่าย ก็กลับกลายเป็นยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน และเหล่าศิษย์ของลัทธิที่เมื่อครู่อยู่ในตำหนักภารกิจก็ได้เห็นฉากเบื้องหน้า อารมณ์ของแต่ละคนเปลี่ยนเป็นเสนาะสนใจขึ้นมา
หากว่าฉู่หวินผู้นี้คิดว่าสามารถที่จะตัดรากถอนโคนเยี่ยจงแล้ว ขอเพียงแค่บีบเค้นอีกเพียงเล็กน้อยแล้วละก็ เรื่องราวในวันนี้จะถือได้ว่ามีความน่าสนใจมากขึ้นมาก็เป็นได้
แน่นอนว่า มีผู้คนไม่น้อยที่ต้องการที่จะวัดระดับความสามารถของเยี่ยจง คนผู้หนึ่งที่ไม่เคยที่จะปรากฏตัวอยู่ในลัทธิแห่งดวงดาวผู้นี้ ยังอาจสามารถเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวได้หรือ จะมีผู้ใดเชื่อได้ลงกัน ?
และตอนนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมืองท่านเจ้าเมืองก็ถูกเหล่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังปิดเอาไว้ เรื่องราวของอารามก่อฟ้าก็ยังมิได้ถูกเผยแผ่ เมื่อได้ยินชื่อเยี่ยจงสองคำนี้ มีผู้คนไม่น้อยคาดคิดว่า สมควรที่จะหมายถึงเจ้าขยะเยี่ยจง
.
.
.
.