ตอนที่ 065 ตำหนักทักษะยุทธ์
ด้านนอกตำหนักกองทัพ
บริเวณตอนนี้สาขาส่วนในของลัทธิแห่งดวงดาว กล่าวโดยทั่วไป นอกเสียจากว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น ไม่เช่นนั่นแล้วละก็ เพียงแค่เจ้าตำหนักผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนของลัทธิแห่งดวงดาว เจ้าตำหนัก และผู้อาวุโสหรือศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวจึงจะมีคุณสมบัติเข้ามายังบริเวณนี้ แต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าลัทธิแห่งดวงดาวสาขานอกจะมิได้มีส่วนที่แตกต่างจากสาขาในซักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ บริเวณด้านหน้าของบริเวณส่วนนอกของตำหนักกองทัพก็มีไว้ด้วยสวนดอกไม้ ซูหยี่กุมไปที่มือ มองไปยังบริเวณด้านหน้าที่มีดอกกล้วยไม้อยู่ดอกหนึ่ง บนดอกกล้วยไม้ มีผีเสื้ออยู่คู่หนึ่งบินเคียงคู่กัน พบเห็นฉากเบื้องหน้า ใบหน้าของซูหยี่ก็ปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นสายหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่หลายส่วน
“ เป็นไร ? ศิษย์พี่หญิงท่านชื่นชอบผีเสื้อคู่นี้หรือ ? “
ตลอดรายทางก็ได้ยินเสียงของความยินดีและรอยยิ้มออกมาหลายส่วน ทำให้ซูหยี่รู้สึกราวกับเหมือนผีเสื้อโบยบินคู่นี้ นางหันกายไปมา จ้องมองอย่างจดจ่อไปที่ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสของชายหนุ่มในตอนนี้ แล้วตวาดออกมา “ เจ้าอยากตายหรือ แม้แต่ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าก็กล้ากลั่นแกล้ง ไม่กลัวว่าจะมีคนตามมาคิดบัญชีกับเจ้าอีกหรือ “
“ ศิษย์พี่ของข้างามล้มเมืองได้จนถึงขั้นได้กัน วันนี้ข้าก็มิอาจไม่รับคำชี้แนะได้แล้ว ? “ เยี่ยจงหลังจากที่เงียบงันก็หัวเราะออกมา ให้รสชาติขี้เล่นออกมาอยู่หลายส่วน
“ พอแล้ว ไม่พูดเล่นกับเจ้าแล้ว เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ? “ ซูหยี่กวาดสายตามองไปยังด้านของตำหนักกองทัพ เกี่ยวกับบริเวณนั้น ถือได้ว่าภายในใจของนางเองก็มีความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน นั้นก็เพราะว่ามีสภาพที่แสดงถึงความเป็นห่วงเยี่ยจงอยู่
“ ไม่ว่าจะอย่างไร แต่ว่าสถานะของศิษย์สายในของข้า ก็ถือได้ว่ามีความชัดเจนแล้ว แน่นอนว่า หากวันข้างหน้ามีผู้ใดสามารถที่จะแย่งชิงสถานะของข้าไปได้แล้วละก็ เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นความสามารถของเขาผู้นั้น ไม่มีผู้ใดจะออกหน้าให้แล้ว “ เยี่ยจงกล่าวออกมา
หลังจากที่ซูหยี่เงียบงันก็พยักหน้าหลายครา นางก็เข้าใจในที่สุด เยี่ยจงสมควรที่จะปฏิเสธคำร้องขอของเฮ้อตง ทว่านางก็มิได้กล่าวอันใด ทุกผู้คนย่อมมีทางเลือกเป็นของตนเอง ทุกผู้คนย่อมมีหนทางเป็นของตนเอง ถ้ามองถึงวันเวลาที่และความสัมพันธ์ระหว่างนางและเยี่ยจงผ่านมาแล้วละก็ เยี่ยจงคงจะไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับตำหนักกองทัพอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วตำหนักกองทัพนั้นยังมีหน้าที่ดูแลส่วนของหน่วยงานกองทัพทางฝ่ายนอกของลัทธิแห่งดวงดาวด้วย และเยี่ยจงได้ลงมือไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย หากว่าเยี่ยจงได้เข้าร่วมกับตำหนักกองทัพแล้วละก็ รวมกับความแข็งแกร่งเช่นนี้ ต่อให้เป็นซูหยี่ก็อดคิดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมา
เกี่ยวกับเรื่องที่เยี่ยจงจะสามารถที่จะรักษาสถานะภาพศิษย์สายในหรือไม่ ซูหยี่นั้นไม่ได้เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย หากนับตามพลังฝีมือของเยี่ยแล้วละก็ ขอเพียงไม่ไปมีปัญหากับเหล่าบุคคลที่มีไม่สมควรไปยุ่งแล้วละก็ สถานะของเขาสมควรที่จะรักษาเอาไว้ได้
“ ดีละ เรื่องราวที่เจ้าตำหนักฝั่งนี้เรียกตัวมาก็ถือได้ว่าจัดการได้เรียบร้อยแล้วละก็ เช่นนั้นข้าจะนำพาเจ้าไปยังตำหนักทักษะยุทธ์ละกัน พอดีกับที่ข้าก็สามารถที่จะเข้าสู่ชั้นที่สามครั้งหนึ่ง ก็ถือได้ว่าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน “ หลังจากที่คิดเสร็จแล้ว ซูหยี่ก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงเบา
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ได้พยักหน้าอยู่หลายครา เกี่ยวกับตำหนักทักษะยุทธ์ของลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ เขาถือได้ว่ามีความสนใจอยู่ ต้องทราบว่า เหล่าทักษะยุทธ์ในมือของเขาเหล่านี้ กับพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ถือได้ว่าฝืนใจฝึกปรือนั้นคงไม่อาจมีส่วนช่วยอันใดได้มากมาย อีกทั้งไปๆมาๆเขาคงมิอาจที่ใช้เพียงแค่กระบวนท่าเดียวของกระบี่ตราประทับในการต่อสู้ได้หรอก ?
ดังนั้นตอนนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่จะไปขึ้นสู่ตำหนักทักษะยุทธ์เพื่อเลือกเฟ้นทักษะยุทธ์ เยี่ยจงไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนี้ ตอนนี้ทั้งสองคนก็ได้ไปที่ชั้นสามของตำหนักทักษะยุทธ์ เพียงแค่มองดูอารมณ์ของซูหยี่เยี่ยจงก็พอที่จะสามารถเดาได้ ทักษะยุทธ์ที่ดีที่สุดของลัทธิแห่งดวงดาว สมควรที่จะเรียกได้ว่ารวมอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ขอเพียงตนเองได้มีโอกาส เฟ้นหาทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมกับพลังปราณ น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอันใด
ต่อมา ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุดทำสิ่งอื่นมากมาย และด้วยการนำทางของซูหยี่ ก็ได้มุ่งหน้าไปอยู่ทิศทางหนึ่งไปอย่างรวดเร็ว
ตำหนักใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณจุดที่สูงสุดของเขาดารา ตำหนักใหญ่ดูโบราณไร้ที่เปรียบ ในบริเวณทั่วทั้งสี่ทิศ ประดับไว้ด้วยเพชรสีเขียวโบราณ
ในช่วงเวลาก่อนหน้าทที่ร่างของทั้งสองจะมาถึงตำหนักใหญ่แห่งนี้ ก็ได้หยุดลงโดยพร้อมกัน
หากเทียบกับสาขาในของลัทธิแห่งดวงดาว ตำหนักทักษะยุทธ์แห่งนี้ก็ได้มีบรรยากาศที่ปลอดโปร่งและเย็นสบาย เป็นที่ชัดเจนว่าต่อให้เป็นวันปกติธรรมดาก็มิได้มีศิษย์มากมายมายังบริเวณแห่งนี้ อีกทั้ง ในทั่วทั้งสี่ทิศของตำหนักทักษะยุทธ์ ภายในก็ได้ยังแสงส่องสว่างปกคลุมไปทั่วอย่างแข็งแกร่ง เยี่ยจงเพียงแค่ขมวดคิ้วไปมา ก็มองออกว่า ตอนนี้ได้มาอยู่ในตำหนักทักษะยุทธ์แล้ว อย่างน้อยก็มีการเสริมด้วยค่ายกลยันต์ที่ไม่ธรรมดาครบสิบส่วน หากเป็นผู้ที่ไม่แตกฉานในเรื่องของค่ายกลยันต์ตงจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าในการเข้าสู่ตำหนักทักษะยุทธ์แห่งนี้ เช่นนี้เกรงว่าค่ายกลยันต์เหล่านี้ก็เพียงพอที่จะหยุดยั้งผู้คนได้แล้ว
ชัดเจนว่า หากให้กล่าวโดยยอดยุทธ์ของสำนักแห่งหนึ่งแล้ว สถานที่สำคัญที่สุด ย่อมต้องไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากที่ทั้งสองซบตากัน จากนั้นในก้าวเดินออกไปในเวลาเดียวกัน ค่อยๆมุ่งหน้าไปยังบริเวณทางเข้าของตำหนักใหญ่
“ ชี่ “
และแล้ว ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้เข้ามายังด้านในของตำหนักทักษะยุทธ์ บริเวณทางด้านหลังของพวกเขา ก็ได้ยินเสียงลมสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามา และจากนั้นก็พบกับเงาร่างสามสายปรากฏตัวออกมาให้เวลาเดียวกัน และจากนั้นทั้งสามคนก็มาถึงเบื้องหน้าตำหนักทักษะยุทธ์ในเวลาเดียวกัน
เยี่ยจงกวาดสายตามองดูอย่างดุดันเข้าไป และจากนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ที่ปรากฏอยู่กลางสนามมีชายสองหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสองมีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ชายทางด้านซ้ายมือได้สวมชุดฝึกยุทธ์สีฟ้า ใบหน้าค่อนข้างสวยงาม เพียงแต่ว่าใบหน้ามีอยู่หลายส่วนที่ดูคล้ำเหลือง และชายหนุ่มทางด้านขวามือ ร่างกายเรียกได้ว่ากำยำ เป็นที่ชัดเจนว่าวิชายุทธ์ที่เขาฝึกปรือนั้นน่าจะไม่มีส่วนที่เหมือนกัน สาเหตุที่บนร่างกายของเขาให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทนทานความเจ็บปวดได้ดี
และในบริเวณกึ่งกลางที่ยืนอยู่ของชายหนุ่มทั้งสองคน ก็มีหญิงสาวกระโปรงเขียวผู้หนึ่งที่สมควรมีอายุไม่ต่างจากซูหยี่มากมายนัก หญิงสาวมีรูปร่างสูงยาว ร่างกายอ้อนแอ้น ราวกับห้านางงามอันสดใสหลุดออกมาจากภาพวาด ความสวยงามที่ปรากฏออกมาของนางและซูหยี่นั้นให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ความงามของนางถือได้ว่ามีอยู่หลายส่วนที่สามารถทำให้ผู้คนใจเต้นตูมตามได้ ก็เหมือนเวลาที่นางยิ้มออกมา ก็สามารถทำให้ผู้คนหลงไหลได้โดยไม่รู้ตัวก็มิปาน
สาวงามเช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่เหมือนอยู่ในภพนี้ เมื่อนางและซูหยี่ทั้งสองคนยืนร่วมกันแล้วละก็ เพียงพอที่จะทำให้ดอกไม้เบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วงได้ ต่างคนต่างมีความโดดเด่นของตน
และเป็นที่ชัดเจนว่าความสนใจเมื่อมายังกลางสนามของทั้งสามคนก็คือเยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคน ต่อมา พวกเขาก็จดจ้องอย่างรวดเร็วไปทางด้านของเยี่ยจงและซูหยี่
เยี่ยจงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองคนได้หยุดสายเอาไว้มองไปทางด้านซูหยี่ แล้วก็หยุดอยู่ที่ร่างของตนเอง นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและสงสัย
และเมื่อสาวน้อยผู้นั้นได้จ้องมองไปยังร่างกายของซูหยี่แล้ว และจากนั้นนางก็ยิ้มออกมาเบาๆ เพียงแต่ว่า ภายใต้รอยยิ้มนี้ได้บ่งบอกถึงอารมณ์อันซับซ้อนนับไม่ถ้วนออกมา
“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ พวกเราไม่ได้พบหน้ากันก็หลายเดือนแล้วสินะ ? ไม่เจอกันหลายเดือน ศิษย์พี่หญิงท่านก็งามละลานตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย “ สาวน้อยหัวเราะคิกออกมา บนใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับสายรุ้ง ทำให้ผู้ที่มองดูเกิดความหลงไหลได้
และหลังจากที่ซูหยี่เงียบงัน ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์แล้วกล่าว “ ศิษย์น้องหญิงเซาซิงอย่าได้เกรงใจจนเกินไป ศิษย์พี่หญิงเช่นข้าจะงดงามเช่นไร จะไปเปรียบกับเจ้าที่งดงามผุดผ่องได้อย่างไร…….. “
“ ศิษย์พี่หญิงเกรงใจเกินไปแล้ว กล่าวได้ว่า ศิษย์พี่หญิงมิใช่ตลอดมาก็ชอบเพียงบุคคลเพียงคนเดียวหรอกหรือ ? เหตุใดตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนความสนใจแล้วละ ไปหาศิษย์น้องเล็กผู้หนึ่งคอยติดตามทางที่ใดกัน ? “ เซาซิงกรอกนัยน์ตาคราหนึ่ง ลื่นไหลไปจนถึงร่างของเยี่ยจง และจากนั้นก็ยิ้มหวานออกมาแล้วกล่าว “ ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ท่านของของเจ้านั้นเป็นคนตระกะตระกรามที่กินแล้วไม่คายแม้กระทั่งกระดูก เจ้าก็อย่าได้ถูกนางกลืนกินไป แต่ยังคงโง่งมช่วยนางนับเงินต่อไปละ “
“ ศิษย์น้อง ศิษย์พี่หญิงเซาซิงผู้นี้ของเจ้า ก็มิใช่ธรรมดาสามัญ เจ้าดู ศิษย์สายในทั้งสองคน ก็ถูกยั่วยวนจนกลายเป็นผู้ติดตามของนางไปจนได้ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ในครั้งนี้ ก็เพราะได้ผู้ติดตามคอยช่วยเหลือ นางถึงได้สามารถสำเร็จภารกิจระดับสูงในครั้งนี้ได้สินะ ? “ ซูหยี่ยิ้มออกมาเบาๆ “ ทว่าเจ้าอย่าได้เผลอไปตามศิษย์พี่หญิงเซาซิงผู้นี้ออกไปทำภารกิจนอกสำนักเชียวละ ไม่แน่ว่าถ้าหากนางอารมณ์ไม่ดีแล้ว จะทิ้งเจ้าเอาไว้ถ้ำป่ากลางหุบเขาในที่ใดก็ไม่รู้ ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าแม้อยากจะช่วยเจ้ากลับมา ก็คงจะยากยิ่งกว่ายากแล้ว “
หลังเสียงที่กล่าวจบลง ซูหยี่ก็ยิ้มให้แก่เซาซิงคราหนึ่ง ใบหน้าของทั้งสองถึงแม้จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ตาม แต่ว่าด้านในของน้ำเสียงให้รสชาติที่ทิ่มแทงอีกฝ่ายก็มิปาน จนทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างลึกซึ้งขึ้นมาได้
เยี่ยจงตอนนี้ได้กลิ่นของการแย่งชิงของหญิงสาวเบื้องหน้าทั้งสองนาง ภายในใจอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาอยู่หลายส่วน สาวงามภายในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ถือได้ว่าไม่ด้อยเลย ต่อให้เป็นตนเองก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดลมหายใจเข้าเสียงหนึ่ง
หลังจากที่ครุ่นคิดเสร็จแล้ว สายตาของเยี่ยจงก็มองไปที่เซาซิงและ”ผู้ติดตาม”ทั้งสองคนอย่างใกล้ชิด นัยน์ตาของทั้งสามคนแสดงออกถึงความห่วงใยออกมาเต็มสิบส่วน จากนั้นบนใบหน้าก็ปกคลุมไปด้วยความเชื่อใจอย่างเหลือล้น
“ ศิษย์น้องหญิงซูหยี่ พวกเราวันนี้จะขึ้นไปยังชั้นสามของตำหนักทักยุทธ์เพื่อที่จะนำทักษะยุทธ์มา พวกเจ้าคงไม่ได้บังเอิญเช่นนี้หรอกนะ ? “
“ ในเมื่อบังเอิญเช่นนี้แล้ว เช่นนั้น หรือว่าท่านทั้งจะยังอยากที่จะขึ้นไปพร้อมกับพวกเราอีกหรือ ? “ ซูหยี่กวาดตามองไปทางชายที่อยู่ฝั่งซ้าย แล้วกล่าวออกมาเสียงดัง
“ หากว่าเฉิงเสวียนของเราไม่มีปัญหาแล้วละก็ ข้าเองก็ไม่มีความขัดแย้งที่จะไม่ขึ้นไปพร้อมกันได้ “ เฉิงเสวียนหัวเราะออกมาแล้วกล่าว
“ งั้นหรือ ? เฉิงเสวียนต้องการที่จะตามมา เจ้าก็คงตอบรับทันทีโดยไม่เกรงใจเลยสินะ ? “ ซูหยี่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกวาดตามองเขาคราหนึ่ง แล้วก็มองแล้วมองอีกไปที่สีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มร่างกำยำและในตอนนี้เซาซิงทั้งใบหน้าก็เต็มไปรอยยิ้มของความอบอุ่น จากนั้นนางก็หันกายทันที แต่ก็มิได้กล่าวอันใดไร้สาระ เพียงแต่ก้าวยาวๆเข้าสู่ตำหนักทักษะยุทธ์
พบเห็นฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็หันกายไปทางด้านหลังหยักไหล่ให้ทั้งสามคน แล้วก็เดินตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้าสายตาของทั้งสามคน ไม่ว่าจะมองเห็นอันใด ในหัวของพวกเขาก็แขวนไว้ด้วยคำเพียงสองคำ”ยุ่งยาก” กับบุคคลเช่นนี้แล้ว เยี่ยจงก็ไม่มีความสนใจที่จะสานความสัมพันธ์ ตอนนี้ภารกิจของเขาก็การไปนำทักษะยุทธ์ที่ตนเองต้องการมา แล้วก็ค่อยไปตำหนักโอสถเพื่อไปแลกเปลี่ยนโอสถที่ตนเองต้องการอีก สุดท้ายก็ไปตามหาหวังโม่ เสร็จแล้วก็เสาะหาสถานที่ในฝึกปรือ ภายในลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ พลังฝีมือของขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ยังไม่อาจที่จะสามารถทำให้เยี่ยจงก้าวเดินไปข้างตามทางที่ตนเองต้องการได้ ต่อให้เขาได้ฝึกปรือวิชาลมปราณร่างเซียนมา ก็ใช่ว่าจะอยู่ในระดับที่พึ่งพอใจได้
พบว่าเยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคนเดินเข้าไปยังตำหนักทักษะยุทธ์ ทันใดนั้นเซาซิงก็ยิ้มออกมา กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ ถึงแม้ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ท่านนี้ของพวกเราจะมีโอกาสวาสนาได้เข้าตำหนักทักษะยุทธ์แล้วละก็ เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปส่องดูพร้อมกันกับนางเถอะ ในเมื่อความจริงแล้วพวกเราก็ต้องการที่จะเข้าไป มิใช่หรือ ? “
ระหว่างที่พูดคุย เซาซิงก็ได้เดินหน้าออกไปก้าวหนึ่ง
.
.
.
.