ตอนที่ 066 ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นที่สาม
ทันทีที่ได้เข้ามายังตำหนักทักษะยุทธ์ เยี่ยจงก็สัมผัสได้ถึง ความเคลื่อนสายหนึ่งอันแปลกประหลาดที่กำลังตรวจสอบจวบจนมาถึงร่างกายของตน และในเวลาเดียวกันนั้น แผ่นป้ายสะสมวิญญาณภายในแหวนจักรวาลของตนเองก็มีปฏิกิริยาตอบรับขึ้นมา กับความเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดราวกับมีการตอบรับ ในวินาทีนั้น เยี่ยจงก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าความลับบนร่างกายของเขาในช่วงเวลานั้นจะถูกเปิดเผยก็มิปาน เพียงแต่ว่าเมื่อได้เดินลมปราณกระบี่หกสุสาน ก็ทำให้ความรู้สึกอันแปลกประหลาดเช่นนั้นหายไป และจากนั้นตนเองค่อยก้าวเดินเข้าไปยังท่ามกลางตำหนักทักษะยุทธ์
หากว่าเป็นยอดฝีมือที่ยังอยู่ในขั้นก่อเกิดทั้งเก้าขั้น ยังไงก็มิอาจสามารถที่จะตรวจสอบเช่นนี้ได้ เพียงแต่ว่าเยี่ยจงถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านของยันต์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะฝึกปรือ แต่ว่าวิชายันต์ชนิดนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน หากว่าไม่ได้พกพาป้ายสะสมวิญญาณของลัทธิแห่งดวงดาวเข้ามาบริเวณที่นี้ในตอนนี้แล้วละก็ เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่เขาเองก็ยังต้องถูกค่ายกลยันต์วิญญาณแห่งนี้ระเบิดจนร่างแหลกเหลวซักสิบส่วนแล้ว
ท่ามกลางตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นที่หนึ่ง มีลักษณะกลมรีราวกับการจัดห้องสมุดก็มิปาน ทางด้านบริเวณทางเข้า ตอนนี้ก็ประจวบพอดีกับมีชายชรากำลังนอนขวางอยู่ และก็ไม่คล้ายกับศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว แล้วก็เป็นที่อยู่ของการเลือกเฟ้นของชั้นหนังสือที่อยู่ใจกลางของชั้นที่หนึ่ง และด้านบนของชั้นหนึ่งเหล่านั้นก็ตั้งไว้ด้วยม้วนคัมภีร์อย่างไม่เป็นระเบียบ
เยี่ยจงเดินเข้าไปอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็กวาดสายตาออกไปสำรวจม้วนคัมภีร์ ในตอนนี้กำลังความสนใจจะหายไปนั้นเอง นี้เป็นทักษะยุทธ์ธรรมดาในระดับกลางม้วนนี้ หากว่าเยี่ยจงคาดเดาไม่ผิดแล้วละก็ ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นที่หนึ่งสองแห่งนี้ ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวสามารถที่จะเข้าได้ทุกคน แต่ว่าทักษะยุทธ์ที่มีด้านในทั้งหมดนั้น มีขั้นสูงที่สุดก็คงจะเป็นแบบธรรมดาขั้นสูง หากคิดที่จะเอาทักษะยุทธ์แล้วละก็ คาดว่ามีเพียงชั้นสามเท่านั้นที่จะมี
“ พวกเราไปที่ชั้นสามเถอะ “ หลังจากที่ซูหยี่กวาดสายตาจ้องมองตรวจสอบทั่วทั้งสี่ทิศรอบหนึ่ง ก็ค่อยพาเยี่ยจงมุ่งหน้าไปยังบรรไดที่ทำจากอื่นเดินขึ้นไป
“ เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกับเซาซิงผู้นั้นกัน ? “ หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว เยี่ยจงก็เอ่ยปากออกมาถาม
“ เป็นไร ? ชมชอบชาวบ้านขึ้นมาแล้วหรอ ? “ ซูหยี่หันศีรษะกลับมา พร้อมกับรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ โชว์ฟันขาวส่องสว่าง ดูเป็นประกายไร้ที่เปรียบ
เยี่ยจงหยักไหล่แล้วตอบ “ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ท่านก็ดีต่อข้าไม่น้อย หากว่าท่านรู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นน่ารำคาญแล้วละก็ ข้าจะออกหน้าให้ท่านสับนางเป็นชิ้นๆโดยไม่คิดอันใด “
“ เจ้าเด็กน้อยที่จิตใจโหดเหี้ยม “ ซูหยี่ทำท่าคล้ายกับอ้วกออกคายแล้วคายอีก กล่าวด้วยเสียงอันเบา “ เซาซิงผู้นั้นมิใช่บุคคลธรรมดาอันใด นางก็เป็นถึงศิษย์สายใน เพียงแต่ว่าไม่ค่อยจะถูกชะตากับข้าซักเท่าไหร่ และเฉิงเสวียนและกวนเยี้ยนทั้งสองคนต่างก็เป็นศิษย์สายใน ไม่น่าต่อกรถึงสิบส่วน เด็กน้อยทั้งสองคนถือได้ว่าเป็นศิษย์สายในที่จัดได้ว่าอยู่ในอันดับที่สูงอยู่เหมือนกัน …… ใช่แล้ว เจ้าสมควรยังไม่ทราบ ศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราแม้ว่าจะมีไม่มาก ดังนั้นทุกผู้คนต่างก็นับตามพลังฝีมือจัดอันดับความแข็งแกร่ง เจ้าตอนนี้พึ่งเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวของเรา สมควรจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยแปด(108) ? ทว่า หากเจ้าต้องการที่จะอยู่ด้านหน้าอีกซักหน่อย มีแต่เพียงจัดการคนที่อยู่ในอันดับด้านบนของเจ้าลงมาก็เพียงพอแล้ว ……. แน่นอนว่า พวกเราศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาวมีไม่มีข้อห้ามมิให้ต่อสู้กันภายใน แต่ว่าหากมีการเสียชีวิตก็มิได้แล้ว ในส่วนของข้อนี้เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษหากยังอยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาว
“ ไม่อาจให้มีการเสียชีวิตงั้นหรือ ? “ หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ได้แต่เพียงขมวดคิ้วไปมา ตนเองคุ้นเคยกับการลงมืออย่างไม่ไว้หน้าและไร้ไมตรีตลอดมา ถ้าหากต้องมีการลงมือแล้ว คงมิใช่ตนเองแล้ว
“ ใช่ นอกเสียจากมีการเสียชีวิต ก็ตามแต่เจ้าว่าจะทำอย่างไรก็ได้ ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าอยู่ดี ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็กหากเจ้ามีความสนใจต่อหญิงสาวนางนี้แล้วละก็ ข้าก็สามารถช่วยเหลือเจ้าให้นางกลับไปกับเจ้าได้นะ “ ซูหยี่กวาดตามองไปยังเซาซิงและพวทั้งสามคนที่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ตำหนักทักษะยุทธ์ ทันใดนั้นก็ร้องเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่งกล่าวออกมา
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย และจากนั้นได้หัวเราะอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง ดูแล้วระหว่างศิษย์พี่หญิงทั้งสองคนจะมีบุญคุณความแค้นที่ไม่ถือว่าเล็กน้อยแล้ว
ในระหว่างที่พูดคุย ทั้งสองคนก็ได้เดินผ่านตำหนักยุทธ์ในส่วนของชั้นสอง แล้วก็มาถึงตำหนักยุทธ์ในส่วนของชั้นสาม
เมื่อมาถึงในชั้นที่สามก็จะเห็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ใจกลางห้องโถงใหญ่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด มีเพียงพื้นที่หัวมุมที่มีประตูใหญ่ที่ทำด้วยทองแดงทั้งแผ่น บนประตูใหญ่มีอักขระส่องเป็นประกายอยู่นับไม่ถ้วน เป็นที่ชัดเจนว่ามีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดอยู่ไม่น้อยในจุดนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคนก็มายืนอยู่ด้านหน้าของประตูทองแดงขนาดใหญ่ และจากนั้นเขาก็หรี่ตาจ้องมองไปยังประตูทองแดงใหญ่ นัยน์ตาทอประกายประหลาดใจออกมา ดูเหมือนว่า ลัทธิแห่งดวงดาวตลอดมานี้ ได้มีอยู่หลายส่วนที่เกินกว่าที่ตนเองเคยคิดเอาไว้ อาจเป็นเพราะว่าตนเองนั้นได้มาจากดินแดนสานเชียนเซียนเจี่ยก่อนหน้าก็เป็นได้ และจากนั้นจิตใจของเขาก็มองว่าดินแดนซีฮวางนั้นเป็นดินแดนที่ตกต่ำ สมควรที่จะเปลี่ยนแปลงสักครา
ก่อนหน้านี้ เยี่ยจงเพียงคิดที่จะเสาะหาทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมกับเขาในตอนนี้ แต่ว่าหลังจากที่ได้รู้จักกับตำหนักทักษะยุทธ์แล้ว สิ่งที่มีเกี่ยวกับตำหนักทักษะยุทธ์แห่งนี้ เขาจึงอยากจะทำให้วันข้างหน้าดียิ่งขึ้น
“ ความเร็วนั้นถือได้ว่าเร็วอยู่ “
ทันใดนั้นเอง เซาซิงและคณะทั้งสามคนก็ได้ปรากฏตัวบริเวณด้านหน้าของชั้นสาม เพียงแต่ว่าเมื่อพบเยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคนยืนอยู่บริเวณทางด้านหน้า เซาซิงก็ได้ร้องเชอะออกมาเบาๆ ได้แต่เพียงยืนอยู่ทางด้านหลัง
เฉิงเสวียนและกวนเยี่ยนทั้งสองคนหยักไหล่ไปมา แต่ก็มิอาจกล่าวอันใด และได้แต่ติดตามอยู่บริเวณด้านหลังของเซาซิง
“ ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นสามของข้าแห่งนี้ ตลอดมานี้ไม่มีการค้าเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับคึกครืนได้ถึงเพียงนี้ อา……… “ หลังจากที่บุคคลเช่นเซาซิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย เสียงร้องอย่างเกียจคร้านสายหนึ่งก็ได้หลุดออกมาจากห้องโถงใหญ่ เยี่ยจงหนี่ตาจ้องมอง ทันใดนั้นก็พบว่า ไม่ทราบว่าเวลาใด บริเวณด้านหน้าประตูทองแดง ก็เพื่อเงาร่างสายหนึ่งออกมา
เงาร่างน่าจะมีอายุราวห้าหกสิบปี ผมหงอกขาวยาวลู่ลมเป็นสง่า แต่ว่าใบหน้าของเขากลับมิได้แก่แต่อย่างไร กลับกันราวกับผู้คนในช่วงเยาว์วัยก็มิปาน ความชราและเยาว์วัยทั้งสองสิ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีความเหมือนแต่กลับรวมกันอยู่ในร่างของเขาอย่างเหมาะสมอย่างประหลาด อีกทั้งตอนนี้บนร่างก็ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศประหลาดชนิดหนึ่ง
แม้ตอนนี้พลังฝีมือของเยี่ยจงก็ไร้หนทางที่จะต่อกร แต่ว่าก็สับสนอยู่ เด็กน้อยผู้นี้ แข็งแกร่งมาก แกร่งจนลึกซึ้งไร้ประมาณ
“ ขอน้อมเข้าพบท่านเจ้าตำหนักเหยียนเฮ้า “
พบเห็นการปรากฏตัวของคนในตอนนี้ นอกเสียจากเยี่ยจงแล้ว ที่เหลืออีกสี่คนต่างก็ร่างสั่นเทาคราหนึ่ง และจากนั้นก็โค้งกายในเวลาเดียวกันแล้วกล่าว
“ เยี่ยจง ท่านผู้นี้เป็นเจ้าตำหนักทักษะยุทธ์นามว่าเหยียนเฮ้า สถานะเกินคาดเดา “ พบว่าเยี่ยจงไม่ได้เคลื่อนไหว ซูหยี่ก็อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ต่ำเบา
“ ศิษย์เยี่ยจง ขอน้อมเข้าพบท่านเจ้าตำหนักเหยียนเฮ้า “ หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ทำมือคารวะวุ่นวายแล้วกล่าว
“ เหอะ เหอะ เหอะ เจ้าก็คือเยี่ยจงผู้นั้นหรือ เรื่องราวของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง เจ้าเด็กน้อยที่ไม่เลว “ เหยียนเฮ้าหรี่ตายิ้มออกมาแล้วพยักหน้าตอบรับ
หลังจากเงียบงัน เซาซิงและเฉิงเสวียน กวนเยี่ยนทั้งสองคนต่างก็สับสนใจเวลาเดียวกัน จดจ้องไปทางด้านของเยี่ยจง แล้วเปลี่ยนเป็นเริ่มที่จะชื่นชมขึ้นมาอยู่หลายส่วน พอถึงตอนนี้ พวกเขาก็ทราบว่าเบื้องหน้าสายตาที่เป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีนามว่าเยี่ยจงผู้นี้ที่ดูแล้วอายุอย่างมากก็ไม่เกินสิบสี่ปี
เกี่ยวกับชื่อเสียงของเยี่ยจง พวกเขาก็เคยได้ยินมาอยู่หลายส่วน กระทั่งชื่อของเจ้าขยะไร้ค่าของตระกูลเยี่ยที่พันปีจะพบเจอสักครา ความจริงมีอยู่หลายคนที่ทราบอยู่หลายส่วน
“ ฮี่ ฮี่ ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจงจ้ะ พูดออกมาแล้วเจ้าก็คงจะไม่ทราบ ข้านั้นมาจากดินแดนเยียชิงรัฐต้าโจวหวังเฉา ในตอนนั้น ตระกูลเยี่ยแห่งห้าตระใหญ่ก็มีเยี่ยจงอีกคน ทว่าความจริงคนผู้นั้นเป็นคนพิการ ถูกตระกูลเยี่ยขับออก หากเจ้าเด็กน้อยนั้นมีความสามารถสักครึ่งหนึ่งของเต้าแล้วละก็ เกรงว่าผู้อาวุโสของตระกูลเยี่ยคงจะเอาเจ้าขึ้นหิ้งแล้ว “ เซาซิงนัยน์ตาทอเป็นประกายสายหนึ่ง และจากนั้นในตอนที่กล่าวอยู่รู้สึกมีหลายส่วนที่ประหลาด เห็นได้ชัด นางก็คงคิดไม่ถึง ศิษย์น้องเล็กที่ไม่ทราบที่มาที่ไปแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามผู้นี้ของตนเอง ที่แท้ก็เรียกว่าเยี่ยจง
เยี่ยจงเงียบเงียแล้วก็ยิ้มออกมา “ ศิษย์พี่หญิงเซาซิง ข้าคิดว่าข้าสมควรเป็นเยี่ยจงที่ท่านกล่าวออกมาผู้นั้นแล้ว เพียงแต่ว่าตระกูลเยี่ยมิได้นำข้าขึ้นหิ้งก็เท่านั้น “
“ อา ? “
เซาซิงเกิดความลังเล ปากน้อยเริ่มขยับ ใบหน้าตื่นตกใจ สายตาของนางนับว่าไม่เลวร้าย แต่ก็มองออกว่าเยี่ยจงสมควรที่จะมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่า เขาที่มีอายุเช่นนี้ทั้งยังเป็นบุคคลที่ได้รับสมญานามนี้ไป แม้จะเป็นที่ทราบกันว่าเป็นขยะไร้ค่า ? นี้ ความแตกต่างก็ช่างมากมายจนเกินไปแล้ว ?
และทางด้านเฉิงเสวียนและกวนเยี่ยนทั้งสองคนก็เงียบงันสบตามองกันและกัน และจากนั้นเฉิงเสวียนก็หัวเราะออกมากล่าว “ คนโบราณใช้สายตามองดูความเป็นจริง วันนี้เมื่อพบเจอศิษย์น้องเล็กเยี่ยจง พวกเราจึงได้ทราบว่ามีความหมายอย่างไร ดูเหมือนคำเล่าลือก็ยังเป็นคำเล่าลือ “
“ ทว่าข้าก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยไปแล้ว ถูกขับออกจากตระกูล นี้คือเรื่องจริง “ เยี่ยจงยิ้มออกมา
หลังจากเงียบงัน เฉิงเสวียนและกวนเยี่ยนทั้งสองก็กล้ำกลืนคำพูดในเวลาเดียวกัน ในเวลานี้มิอาจพูดออกมาได้
เจ้าตำหนักเหยียนเฮ้ามองไปยังฉากเบื้องหน้า ในตอนนี้ผู้คนทั้งหมดกำลังอยู่ในอาการนิ่งเงียบ เขาก็หัวเราะดังเหอะเหอะแล้วกล่าว “ ดีละ ในเมื่อพวกเจ้าเด็กน้อยทั้งห้าคนมากันครบแล้วละก็ เช่นนั้นวันนี้ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นสามของข้าที่นานๆทีจะเปิดออกมาสักครา พวกเจ้าเตรียมความพร้อมแล้วใช่ไหม “
เหยียนเฮ้ากล่าวจบ ก็ได้โบกมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจ และจากนั้นก็มองไปหาร่างทางด้านหลังของบริเวณด้านบนของประตูทองแดง แล้วชี้ออกไป แสงสายหนึ่งบินอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจไปทางด้านบนของประตูทองแดง
“ ชิร์ “
แสงสาดส่องเป็นประกาย บริเวณส่วนบนของประตูทองแดงที่มีตัวอักขระอยู่ก็ลอยวนเวียนออกมาอย่างรวดเร็ว แสงสว่างสาดส่องไปบริเวณทางด้านประตูอย่างไม่ขาดสาย กลับกลายเป็นค่ายกลยันต์ที่ดูคลุมเครืออย่างที่สุดแบบหนึ่ง และจากนั้นก็ได้แตกเคลื่อนไหวอยู่ตรงกลาง ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ทำให้หัวใจของผู้คนต้องเต้นระรัว
นัยน์ตาของเยี่ยจงทอประกายออกมาอย่างประหลาด ดูเหมือนท่ามกลางลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้ น่าจะมีผู้สร้างยันต์ในระดับที่ไม่ต่ำท่านหนึ่งอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ฝีมือในการสร้างค่ายกลยันต์วิญญาณเช่นนี้ มิใช่สุ่มสี่สุ่มห้าหาคนมาตั้งค่ายกลออกมาก็ได้
เสียงดัง พรึบ พรึบ ดังลอดออกมา ประตูใหญ่ทองแดงก็ได้ค่อยๆอ้ากว้างขึ้นมาทั้งสองฟากฝั่ง เผยเส้นทางอันว่างเปล่าทางด้านในออกมา
“ เข้ามาเถอะ “
เหยียนเฮ้ายิ้มออกมา และจากนั้นก็ได้เดินออกไปก่อน เพียงก้าวเดียวก็มาถึงทางเข้าของประตูใหญ่ และจากนั้นเขาก็ทอประกายตาวูบหนึ่ง เขาก็ได้เลือนหายไปในทันใด
เยี่ยจงและพวกทั้งห้าคนเมื่อพบเห็นฉากที่อยู่เบื้องหน้า ก็ได้เหินตามไปโดยเร็ว
ด้านหน้าสายตามีลักษณะขุ่นมัวสายหนึ่ง ทันใดนั้นเอง คนอย่างเยี่ยจงก็ค้นพบว่า พบว่าตนเองได้มาอยู่ในใจกลางห้องโถงมืดสนิทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และบริเวณด้านบนของห้องโถงใหญ่นั้นเอง เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเป็นชั้นๆ ดวงดาวแต่ละชั้นกระพริบส่องแสงสว่าง เหมือนมีจุดมุ่งหมายคือการสาดส่องแสงออกมาอย่างถึงขีดสุด
“ นี้คือ …… “
เหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า คนอย่างเยี่ยจงก็ยังต้องเกิดความลังเลอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่าฉากเบื้องหน้าเกินกว่าที่คาดเดาเอาไว้
“ ที่นี้ก็คือชั้นที่สามของตำหนักทักษะยุทธ์แห่งนี้ และทักษะยุทธ์ที่พวกเจ้าคิดจะเอา ก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้านบนนี้ แม้ว่าสุดท้ายจะได้รับทักษะยุทธ์ใดก็ตาม ก็ต้องดูความสามารถและวาสนาของพวกเจ้าแต่ละคนกันแล้ว “ เหยียนเฮ้าปรากฏกายออกมา และหลังจากนั้นก็หรี่ตามองดู เอ่ยปากกล่าวออกมาดังกังวาน
.
.
.
.