ตอนที่ 078 หลิงเยวี่ยแห่งตำหนักจิตยันต์
ตำหนักจิตยันต์ เป็นเหมือนดั่งตำหนักทักษะยุทธ์เมื่อวันก่อนก็มิปาน อยู่ในตำแหน่งห่างไกลจากลานกว้างเขาดาราในบริเวณที่เงียบสงบ
เพียงแค่ว่าตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักจิตยันต์นั้นอยู่บนเขาลูกหนึ่งที่เรียกว่าชิวจื่อเตียน และจุดที่ตั้งตำหนักจิตยันต์ยังมีแม่น้ำสายหนึ่งล้อมรอบไว้อยู่
เมื่อยืนอยู่บริเวณด้านหน้าของตำหนักจิตยันต์ ก็สามารถมองเห็นโครงสร้างของสภาพของห้องโถงโบราณทั้งหมดว่าถึงจัดสร้างด้วยวัสดุที่ไม่มีความเหมือนกันเลย เยี่ยจงค่อยๆขมวดคิ้วไปมา กล่าวได้ว่า สถานที่ก่อนหน้านี้อย่างตำหนักกองทัพ ตำหนักทักษะยุทธ์เป็นต้น ต่างก็ให้ความรู้สึกถึงความอันตรายแล้วละก็ เช่นนั้นตำหนักจิตยันต์แห่งนี้ก็มีอยู่หลายส่วนที่ไม่เหมือนกัน
ถึงแม้ตำหนักจิตยันต์จะมีของทะเลสาบอยู่รอบด้าน แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นกลางแผ่ออกมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าการมีอยู่ของตำหนักจิตยันต์ ไม่ถือว่าสำคัญแต่อย่างไร แต่ว่า ตามที่เยี่ยจงได้ทราบ ถึงกับสามารถทำเรื่องราวเช่นนี้ได้ถึงขนาดนี้ สมควรที่จะมียอดฝีมือที่มีพลังอย่างมากมายค่อยควบคุมอยู่
แต่ว่า เยี่ยจงย่อมทราบดี ท่ามกลางลัทธิแห่งดวงดาว หากนับทั่วทั้งแคว้นต้าโจวหวังเฉา ยังไงซะก็ยังคงไม่มีผู้ใดสามารถฝึกปรือได้ถึงขั้นฝ่ามือไร้รูปได้ ดังนั้น ความลี้ลับของตำหนักจิตยันต์เบื้องหน้าในตอนนี้ น่าจะมาจากตัวของตำหนักจิตยันต์เอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่อยู่ด้านในตำหนักจิตยันต์แห่งนี้ พลังฝีมือของผู้ฝึกยันต์ผู้หนึ่ง เกรงว่าจะเกินกว่าคาดเดาเอาไว้ได้
หลังจากนั้นก็หรี่ตาลง เยี่ยจง ก็มีได้ทำเรื่องราวอันใดออกมา เพียงแต่ยืนอยู่บริเวณทางเข้าของตำหนักจิตยันต์ แล้วก็ทำมือคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ” ศิษย์เยี่ยจงแห่งสาขาไหน ขอเข้าพบผู้อาวุโสกลิงเว่ย ”
เสียงดังตูมๆตามๆดังออกมาในทันที ท่ามกลางตำหนักจิตยันต์ที่ความเงียบสงบแห่งนี้ จนทำให้แสบแก้วหูอย่างไร้ที่เปรียบ
ทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ที่ความจริงปิดอย่างแน่นหนาของตำหนักจิตยันต์จู่ๆก็เปิดออกมาทั้งสองข้างโดยไร้สุ่มเสียง แต่ทว่าก็ไม่มีการตอบสนองอื่นกลับมาแต่อย่างใด แต่ว่าบานประตูอันลี้ลับนั้น เรากลับกำลังบ่งบอกบางสิ่งอยู่ก็มิปาน
เยี่ยจงมองไปที่ประตูตำหนักที่กำลังเปิดออก หากมองเข้าไปจากจุดที่เขาอยู่ ท่ามกลางตำนักจิตยันต์เป็นดั่งความมืดมิดสายหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็มองไม่เห็นได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยจงกลับสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางการมองเข้าไปในความมืดแห่งนี้ ครอบคลุมไว้ด้วยบรรยากาศอันแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน
เยี่ยจงรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศเหล่านี้เป็นอย่างดี สิ่งนี้ก็คือบรรยากาศที่ออกมาจากค่ายกลยันต์นั่นเอง
เพียงแต่ว่ากล่าวโดยทั่วไปแล้ว หากผู้ฝึกยันต์จัดตั้งค่ายกลยันต์แล้วละก็ เช่นนั้นพวกเขาต่างก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดมาปกปิดไอพลังชนิดนี้ แต่ว่าผู้ที่จัดตั้งค่ายกลยันต์ภายในตำหนักจิตยันต์แห่งนี้ ยากที่จะทราบได้ว่าสร้างขึ้นเช่นไร ราวกับผู้คนไม่อาจที่จะตรวจสอบการมีอยู่ของค่ายกลยันต์เหล่านี้ได้ ภายในจิตใต้สำนึกของเขารู้สึกราวกับไม่สบายก็มิปาน
แน่นอนว่า หากกล่าวโดยมองจากมุมมองอื่นแล้ว ก็เป็นการบ่งบอกว่าผู้ฝึกยันต์ที่สร้างค่ายกลยันต์นี้ กับพลังฝีมือของตนเองแน่นอนว่าย่อมมีความมั่นใจอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ แน่นอนว่าเขาจะไม่ใช้พลังฝีมือดั่งเทพออกมาแน่นอน
” น่าสนใจดี ”
ทันใดนั้น เยี่ยจงค่อยเอ่ยปากกล่าวออกมาพึมพำ เห็นได้ชัดว่า ที่ตนเองมีความต้องการที่จะสื่อว่าขอเข้าพบกับผู้อาวุโสหลิงเว่ย สมควรที่จะถูกถ่ายทอดเข้าไปยังด้านในแล้ว และอีกหลายคนที่อยู่ในตำหนักจิตยันต์ แม้จะสามารถเห็นได้ชัดอย่างมากในความหมายของผู้อาวุโสหลิงเว่ย ไม่ว่าตนเองจะต้องการอันใด ขอเพียงตนเองมีความสามารถ เช่นนั้นก็สามารถเข้าไปได้ แต่ว่าถ้าหากแม้แต่ด่านแรกนี้ก็ยังผ่านไปไม่ได้แล้วละก็ กลุ่มคนที่อยู่ในตำหนักจิตยันต์เหล่านี้ก็คงไม่มีความสนใจความเป็นความตายของตนเอง
เป็นดั่งที่แม่นางน้อยในตำหนักโอสถกล่าวออกมาก็มิปาน ผู้อาวุโสหลิงเว่ยชมชอบการพนัน ในเมื่อเป็นคนนิสัยประเภทนี้ เหตุใดจึงไม่ลองพนันดูสักครา ?
หลังจากที่หัวเราะออกมาเสียงเบาแล้ว เยี่ยจงก็ขยับกายคราหนึ่ง แล้วก็ได้ก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่ของตำหนักยันต์จิตแห่งนั้น
” ซ่า ซ่า ”
ทันทีที่ได้เข้าสู่ประตูตำหนักจิตยันต์ ก็ได้ยินเสียงฝนตกชนิดหนึ่งดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จากนั้น เยี่ยจงก็พบว่า ไม่ทราบเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั่วสี่ทิศของตนเองก็ได้เปลี่ยนแปลงเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา ความจริงแล้วตนเองสมควรที่จะเข้ามายังด้านในห้องโถงใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ บริเวณที่ตนเองเหยียบย้ำ ได้อัดแน่นไปด้วยป่าไผ่แห่งหนึ่ง
ท่ามกลางป่าไผ่ เม็ดฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ความหนาวเย็นของสายฝนไปทั่วทั้งกายของเยี่ยจง ทำให้เขาต้องดวงตาของเขาต้องค่อยๆหดตัวลง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นมา ท่ามกลางสายฝนเหล่านี้ ได้มีการเคลื่อนไหวของพลังลมปราณสายหนึ่งอย่างรุนแรงขึ้นมา
หลังจากที่ขมวดคิ้วแล้ว เยี่ยจงก็ได้สูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆคำหนึ่ง จากนั้นจ้องมองกวาดสายตาไปทั่วสี่ทิศรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวออกมา ” ค่ายกลลวงตา ? ไม่ใช่ สมควรเป็นค่ายกลลวงตาบวกกับค่ายกลวงกตเทพ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ค่ายกลยันต์ในระดับแรกก็ตาม ทว่าสามารถที่จะใช้ค่ายกลทั้งอย่างรวมกัน สำแดงอำนาจออกมาได้ถึงขั้นนี้ นับได้ว่าฝีมือดีเลยทีเดียว ”
“ ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสสูงส่งท่านใดในลัทธิสาขาในกำลังลองใจ ? “ เยี่ยจงแผ่เสียงท่ามกลางภายในป่าไผ่ดังออกมา แผ่กระจายออกมาในทันที
“ เจ้าก็คือเมื่อเร็วๆนี้ในสาขาในของลัทธิแห่งดวงดาว ชื่อเสียงเรียงนามว่าเยี่ยจงละสิ ? “ เสียงดังกังวานขึ้น มาจากบริเวณด้านหน้าอันไกลโพ้นหลังจากที่รอไปนาน จากนั้นเยี่ยจงก็เงยหน้าขึ้นอย่างดุดัน ก็พบว่าไม่ทราบในเวลาใด ในบริเวณท่ามกลางป่าไผ่ ได้เพิ่มเงาร่างสายหนึ่งขึ้นมา เงาร่างนั้นสวมไว้ด้วยชุดกระโปรงสีขาว มืออันขาวผ่องถือไว้ด้วยร่มผ้ามัน จากห่างไกลกลายเป็นใกล้ ใบหน้าอันยิ้มแย้มได้ถูกปิดบังไว้ภายใต้ร่มผ้ามันนี้ ทำให้ผู้คิดที่มองดูได้ไม่ชัดเจน
ยังทันที่จะผ่านไปช่วงหนึ่งการชงชา เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันทีในระยะห่างจากเยี่ยจงไม่ถึงสิบจัง ดูเหมือนกับให้ความรู้สึกที่ถูกจ้องมองสำรวจเยี่ยจงมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เยี่ยจงก็หรี่ตามองดูเงาร่างอันเบาบางนี้ ทันใดนั้น เขาค่อยปิดเปลือกตาลง เอ่ยเสียงกล่าวแผ่วเบา “ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หญิงท่านนี้มีนามว่ากระไร ? แล้วก็เหตุการณ์ในตอนนี้หมายความว่าอย่างไร ? “
“ เจ้าเรียกข้าว่าหลิงเยวี่ยวก็ได้ “ เงาร่างที่กำลังหัวเราะอยู่ ยากนักที่จะพบเห็นได้ “ เจ้ามาที่ตำหนักจิตยันต์ของข้า ก็เพื่อที่จะมาหาดอกหยินหยางงั้นหรือ ? ทว่าของสิ่งนั้นท่านอาจารย์คงนำไปแปรรูปแล้ว ดังนั้น เจ้าก็ไม่ต้องไปพบท่านอาจารย์แล้ว …….. ทว่า ข้าถือได้ว่ามีความสนใจเจ้าอยู่บ้าง หากว่าเจ้าสามารถที่จะทำลายค่ายกลผสานของข้าได้แล้วละก็ ไม่แน่ว่าข้าจะบอกเจ้าถึงสถานที่ในการเสาะหาดอกหยินหยางได้ ดีหรือไม่ ? “
“ ข้าคิดว่า ดอกหยินหยางนี้หากให้เจ้ากล่าว ประโยชน์ในการใช้คงมีไม่น้อยเลยสินะ ? “
ไม่ได้ยินเสียงอันแผ่วเบานี้ เยี่ยจงก็ต้องขมวดคิ้วไปมา เขาทราบดีว่าดอกหยินหยางนี้สามารถนำไปใช้ได้มากมาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่า ของสิ่งนี้จะถูกผู้คนนำไปกลั่นแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ตนเองคงต้องคิดหาวิธีหนทางอื่นจริงๆแล้ว
“ เจ้าทราบจริงหรือว่าสถานที่ใดมีดอกหยินหยาง ? “ หลังจากที่ขมวดคิ้ว เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆเอ่ยปากถาม
“ แน่นอน “ หลิงเยวี่ยยิ้มออกมาเบาๆ “ เพียงแต่ว่าต้องการที่จะไปเอาดอกหยินหยางก็ถือได้ว่ายุ่งยากเกินไป ดังนั้นท่านอาจารย์ถึงได้ฝืนใจไปนำออกมาใช้จากตำหนักโอสถนั้นดอกหนึ่ง อย่างที่ข้าได้กล่าวไปว่าดอกหนึ่ง สมควรที่จะออกใบมาแล้วห้าใบ ข้าคิดว่า เจ้าไม่อาจที่จะไม่สนใจหรอก ? “
หลังจากเงียบงัน ดวงตาเยี่ยจงก็ได้ค่อยๆหดลง ดอกหยินหยางร้อยปีออกหนึ่งใบ พันปีออกจนเป็นหนึ่งดอก ดอกหยินหยางที่ออกดอกมาแล้วห้าใบ ถือได้ว่าเติบโตออกมาอย่างเต็มที่แล้วดอกหนึ่ง ถือได้ว่าเพียงพอที่ให้ตนเองใช้เลยทีเดียว
“ เจ้าดู หากว่าเจ้ามีความสนใจแล้วละก็ ขอเพียงเจ้าสามารถทำลายค่ายกลผสานนี้ของข้า ข้าก็จะบอกเจ้าว่าสิ่งของนั้นอยู่ที่ใด “ หลิงเยวี่ยเอ่ยปากกล่าวเสียงเบา “ ก็เพียงแค่จะลองทดสอบฝีมือของเจ้าดูเท่านั้น เจ้าก็สามารถได้รับประโยชน์อีกด้วย การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธได้อีกหรือ ? “
“ หากว่าข้าอยากที่จะปฏิเสธละ ? “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดแล้ว ก็เอ่นปากกล่าวดังกังวาน
“ บางที เรื่องราวเมื่อมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้แล้วละ ข้าหลิงเยวี่ยพูดได้ทำได้ ขอเพียงเจ้าสามารถทำลายค่ายกล ข้าก็จะบอกถึงสถานที่ให้เจ้าทราบ ถ้าหากไม่สามารถทำได้แล้วละก็ เช่นนั้นข้าก็สามารถทำได้เพียงขอให้เจ้าวันข้างหน้าอย่าได้มาที่ตำหนักจิตยันต์อีกเลย “
หลิงเยวี่ยหัวเราะออกมาเสียงแผ่วเบา และจากนั้นก็พบว่าร่มผ้ามันในมือของนางจู่ๆก็เริ่มที่จะมีการเคลื่อนไหวขึ้นมา
“ ชิร์ ชิร์ ชิร์ “
การเคลื่อนไหวของหลิงเยวี่ย ฝนที่ความจริงตกลงมาโปรยปรายได้เปลี่ยนเป็นรวมตัวหลายส่วนในทันที และพลังลมปราณอันรุนแรงสายหนึ่งก็ได้เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
เยี่ยจงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเขาคำหนึ่งเมื่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ยันต์วิญญาณชนิดนี้ ถือได้ว่ามีความยากอย่างที่สุดในการฝึกปรือ โดยผู้สร้างยันต์จะแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงเก้า ส่วนมากผู้สร้างยันต์ในระดับแรกเริ่ม โดยส่วนมากจากมีความสามารถเทียบเท่ากับพลังยุทธ์ขั้นก่อเกิดขั้นที่เก้า เพียงแต่ว่า ต่อให้เป็นผู้สร้างยันต์ในระดับแรกเริ่มเช่นเดียวกัน ความชำนาญในการสร้างยันต์แต่ละชนิดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน จึงทำให้พลังที่มีไม่อาจเหมือนกันได้ทั้งหมด
หลิงเยวี่ยเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ ไม่เพียงคุ้นเคยกับการใช้ฝ่ามือล่องหนยันต์วิญญาณ อีกทั้ง ในถึงกับใช้ฝ่ามือล่องหนในค่ายกลยันต์ถึงสองชิ้น หากสามารถถึงกับใช้ร่วมซ้อนทับกับพวกมันแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นดั่งฝีมือของปีศาจ
บุคคลเช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดเมื่อพบเจอนางแล้วละก็ ไม่แน่ว่าก็อาจจะกินกันไม่ลงก็เป็นได้ แต่ว่าตอนนี้นางกลับมีความสนใจที่จะลงมือกับตนเอง นี้ก็ช่างมองตนเองได้สูงส่งเกินไปแล้ว
“ เยี่ยจง ในเมื่อลงมือแล้ว ข้าก็จะไม่ลงมือไว้ไมตรีแล้วนะ “
เสียงดังขึ้นอย่างดุดัน ร่มผ้ามันในมือก็ได้หมุนวนเร็วขึ้นไปอีก และการเคลื่อนไหวของนาง กับเหล่าหยาดฝนที่ตกลงมาเป็นจังหวะเหล่านั้น ทันใดนั้นก็เปลี่ยนแปรเป็นราวกับดาบอันคมกล้าเป็นสายสายก็มิปาน พุ่งเข้าหาปานห่าฝนไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
ตอนนี้ สายน้ำฝนกลุ่มหนึ่งก็ได้เปลี่ยนเป็นไอพลังขอบเขตดาบวิญญาณสายหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นชนิดที่มีพลังการฆ่าฟันอย่างน่าเกรงกลัวที่สุด ฉากเบื้องหน้านี้ทำให้จิตใจของเยี่ยจงเกิดความตื่นตัวขึ้น
ตัวเขาเองก็มีพรสวรรค์ด้านยันต์วิญญาณอยู่ไม่น้อย ดังนั้นก็ลืมตามองออกไป การโจมตีที่ดูธรรมดานี้ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าหวาดกลัว หากเป็นยอดฝีมือสายบู้ปกติธรรมดาแล้วละก็ คาดว่าคงตกใจตายไปเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเลย
“ กระบี่ตราประทับ “
เยี่ยจงตัดสินใจที่จะขยับร่างกายถอยไปยังบริเวณทางด้านหลัง บริเวณใจกลางฝ่ามือคลุมไว้ด้วยกระบี่ตราประทับอย่างรวดเร็ว แล้วเยี่ยจงก็พลิกมือคราหนึ่ง กระบี่ตราประทับทั้งห้าชั้นก็ได้ปรากฏอยู่บริเวณด้านหน้าของเขาในเวลาเดียวกัน จนกลายเป็นการป้องกันอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ทำให้ปกป้องร่างของเยี่ยจงที่อยู่บริเวณทางด้านหลังได้
“ ติ้ง ติ้ง ติ้ง “
สายฝนลงมาอย่างไม่ขาดสาย ราวกับเข็มที่ลงสู่มหาสมุทรก็มิปาน การรวบรวมกระบี่ตราประทับทั้งห้าชั้นอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดแสงปะทุขึ้นมา วินาทีนั้น แสงปะทุนั้นก็ดูดกลืนแล้วแผ่กระจายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าถูกดูดกลืนจนกระจายออกไปหลายส่วน
เยี่ยจงถึงแม้จะมิได้อ่อนแอ แถมยังฝึกปรือวิชายุทธ์กายเทพอีก ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลของหลิงเยวี่ยผู้นี้ เขาก็กลับกลายเป็นผู้ที่เสียเปรียบ
หลิงเยวี่ยในตอนนี้ การโจมตีถึงแม้จะดูเหมือนเรียบง่าย แต่ว่าก็มีความแข็งแกร่งของผู้มือพลังฝีมือของพลังขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดใช้พลังทั้งมวลในการลงมือ หากมิใช่พลังฝีมือของเยี่ยจงไม่อ่อนแอแล้วละก็ เกรงว่าในภาพต่อจากนี้ คงจะหนีไม่พ้นจากความพ่ายแพ้
“ ผู้ฝึกยันต์ขั้นแรก ถึงกลับน่ากวาดเกรงเช่นนี้ “
เยี่ยจงเหินร่างลอยถอยไป หลังจากนั้นก็ครุ่นคิดใคร่ครวญภายในจิตใจ ในตอนที่กำลังอยู่ในความรู้สึกท้อแท้ กับฝีมือตนเองในตอนนี้ ถ้าคิดที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับหลิงเยวี่ยผู้นี้สมควรที่จะเป็นไปมิได้ ที่ตนเองทำได้ ก็มีแต่เพียงทำลายเจ้าค่ายกลซ้อนทับนี้ทิ้งไป
.
.
.
.