ตอนที่ 085 เชือดไก่ให้ลิงดู
บรรยากาศของบริเวณทางเข้าลัทธิแห่งดวงดาว ในตอนนี้ได้มีความเงียบขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดหลายส่วน มีอยู่หลายส่วนที่แลดูประหลาด
ผู้คนทั้งหมดที่จดจ้องมาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกแปลกใจอยู่หลายส่วนมองไปที่กลางสนามระหว่างทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะกรอกตาไปมาอยู่หลายครา
หลายปีมานี้ ภายในลัทธิแห่งดวงดาว ศิษย์สาขาในสาขานอกแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ข้อตกลงที่แลกด้วยเลือดเนื้อในวันนี้ ถือได้ว่าได้เกิดขึ้นก็ไม่กี่ครั้ง
ศิษย์ทุกๆคนของลัทธิแห่งดวงดาวในตอนนี้ก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ บรรยากาศเช่นนี้นับว่ายากนักที่จะได้พบเจอสักครา
“ ถ้าหากข้าจะบอกว่าไม่เอาทั้งสองอย่างละ ? “ ฝูหยางปิดตาลง หรี่ตาจ้องมองไปอย่างเย็นเยียบ
“ เช่นนั้นก็ชั่งน่าเสียดาย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องลงมือทำให้ศิษย์พี่ฝูหยางท่านเลือกแล้วละ “ เยี่ยจงค่อยๆขยับมือขวาออก บริเวณใจกลางฝ่ามือ ได้เริ่มที่จะปกคลุมไปด้วยพลังกระบี่ตราประทับขึ้นมา
“ เจ้า “ ฝูหยางมองไปด้วยใบหน้าสับสน ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็โยนบางอย่างออกไปจากมือ แล้วก็ได้โยนป้ายสะสมวิญญาณของตนเองไป เห็นได้ชัดว่าเขาก็ทราบว่าถึงเรื่องของเยี่ยจง ตนเองก็ได้เตรียมตัวที่จะนำสะสมวิญญาณออกมาให้เพื่อทำให้เรื่องจบลง
ตรงกันข้ามกับการคาดเดาของทุกผู้คนทั้งหมด หลังจากที่เยี่ยจงยื่นมือออกไปรับแผ่นป้ายสะสมวิญญาณ แม้จะไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ก็ยังคงหยิบขึ้นมาจากพื้นดิน ยังคงจ้องมองด้วยสายตาอันดุดันอยู่หลายส่วนไปทางด้านของฝูหยาง
“ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้เกินเลยไป เจ้าชื่นชอบสะสมวิญญาณ ข้าก็ให้เจ้าแล้ว “ ฝูหยางกรอกตาไปมาเอ่ยปากกล่าวด้วยความเจ็บแค้น
“ ศิษย์พี่ฝูหยาง ถึงแม้ข้าจะชื่นชอบสะสมวิญญาณ แต่ว่าข้ายิ่งชื่นชอบการเดิมพันมากกว่า และข้อตกลงของข้าก็คือการตัดแขนของคนอย่างเจ้า ดังนั้นอย่าได้โทษข้าเลย “ เยี่ยจงส่ายศีรษะไปมา ก้าวเท้าไปยังพื้นที่ด้านหน้า ร่างกายพุ่งออกมาราวกับประกายสายฟ้า
“ ซวบ “
ร่างกายได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฝูหยางในทันที เยี่ยจงใช้ฝ่ามือข้างขวาเปรียบดั่งดาบ ใช้ฝ่ามือเดียวตัดผ่าลงไป
“ ตุบ “
วินาทีนั้นในตอนที่ผู้คนทั้งหมดยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยากลับมา เยี่ยจงก็ได้ใช้พลังฝ่ามือตัดผ่าด้านบนแขนขวาของฝูหยางไป ก็พบว่าด้านบนของแขนขวาของฝูหยางได้ปรากฏรอยบาดแผลของการตัดสว่างวาบขึ้นมาไร้ที่เปรียบ แขนอันขาวซีดนั้นก็ได้ลอยออกไปในทันที ในท่ามกลางสายตาจำนวนมากที่จ้องไปที่แขนที่ร่วงหล่นลงสู้พื้น
“ อา “
เสียงกรีดร้องที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว หลังจากที่แขนของฝูหยางถูกตัดแล้วจึงได้มีปฏิกิริยากลับมา ได้ยกแขนข้างซ้ายเพื่อพยุงตัวเขาคืบคลานถอยรนไปทางด้านหลัง ภายในดวงตา ตอนนี้ได้แฝงไว้ด้วยความอาฆาตและความหวาดกลัวสาดประกายออกมาในเวลาเดียวกัน
ถึงกับลงมือจริงๆ เยี่ยจงผู้นี้ ถึงกับลงมือเช่นนี้ภายในลัทธิแห่งดวงดาวนี้
ในช่วงเวลาขณะนั้น ไม่เพียงแต่แค่ฝูหยาง ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวทั้งสี่ทิศต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปตามๆกัน ความเงียบงันเข้าครอบคลุม ไม่มีใครสามารถคิดได้ เยี่ยจงบอกว่าจะลงมือก็ลงมือเลย อีกทั้งยังไม่ให้โอกาสฝูหยางมีการตอบสนองกลับมาอีกด้วย ?
หลังจากที่ตัดแขนแล้ว เกรงว่าฝูหยางผู้นี้คงต้องพิการไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปแล้ว ?
“ ศิษย์น้องเยี่ยจงผู้นี้ นับว่ามีฝีมืออย่างแท้จริง ……. “
เฮ่าฟงจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้า หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจคำหนึ่งกล่าวออกมา กระบวนท่านี้ของเยี่ยจงเป็นเหมือนดั่งการเชือดไก่ให้ลิงดู นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดที่มีความกล้าที่จะมาหาเรื่องเขาอีกแล้วละ
ซูหยี่และหลู่ปิงซบตากันคราหนึ่ง ภายในดวงตาปกคลุมไปด้วยอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่สายหนึ่ง ไม่ว่าจะกล่าวออกมาเช่นไร ฝูหยางก็เป็นถึงศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก หากมองจากสายตาของพวกนางแล้ว การลงมือของเยี่ยจงเช่นนี้ก็รุนแรงจนเกินเลยไปอยู่หลายาส่วน
สีหน้าของหลิงเยวี่ยยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว จ้องมองไปยังท่ามกลางสนามด้วยสายตาอันตกตะลึงในฉากเบื้องหน้า นางยังคงมิได้กล่าวอันใดออกมา
“ เด็กน้อยผู้นี้ ถึงกับตัดแขนข้างหนึ่งของฝูหยางจริงๆ ? “
ในที่มืดมิด หยางฟางจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้า ระหว่างนั้นจู่ๆก็ต้องกรอกนัยน์ตาขึ้นๆลงๆไปมา จากที่เขาดูมา เยี่ยจงก็มีความกล้าไม่มากนัก อย่างมากก็แก่เก็บสะสมวิญญาณของฝูหยางไป ไม่กล้าที่จะลงมือกระทำเรื่องราวใดๆ การใช้แขนเดิมพันในสายตาของเขา ก็เป็นได้เพียงแค่เรื่องน่าหัวเราะเรื่องหนึ่งเท่านั้น
แต่ในครั้งนี้เยี่ยจงกลับไม่ต้องการสะสมวิญญาณ และยังตัดแขนข้างหนึ่งของฝูหยางจริงๆ ?
“ ในครั้งต่อไปหากต้องการลงมือ นอกเสียจากจะทำให้ความสามารถที่จะจัดการกับเด็กน้อยผู้นี้ให้ตายได้ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ก็อย่าได้คิดที่จะลงมืออีกเลย “ สีหน้าของหยางเฮ้าในตอนนี้กลายเป็นปั้นยากอยู่หลายส่วน จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังเงาร่างของเยี่ยจง ค่อยสะบัดใบหน้าเบาๆแล้วเอ่ยปากออกมา เพียงแต่ว่าถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะดูเยือกเย็น แต่คำพูดภายในภายนอก กลับมีความเกรงกลัวเยี่ยจงขึ้นมา
ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวทั่วที่ทิศแต่ละคนก็ได้เหม่อมองผลลับที่เกิดขึ้นในฉากเบื้องหน้า ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ค่อยๆสูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง ดูเหมือนว่า วันหน้าถ้าคิดจะทำอันใดต่อศิษย์น้องเยี่ยจงผู้นี้แล้วละก็ อย่างน้อยก็ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมไว้ส่วนหนึ่ง
บริเวณท่ามกลางสนาม ฝูหยางใช้แขนอีกข้างจับตรงบริเวณหัวไหล่ โลหิตสดๆไหลรินออกมา ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับกระดาษ
ถึงแม้ความเจ็บปวดจะทำให้ฝูหยางสูญเสียสติสัมปชัญญะไปช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ง่ายที่จะสงบสติลงมาได้ เขาจ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจงด้วยตาที่เป็นประกาย อย่างเย็นเยียบราวกับงูพิษ
“ ศิษย์น้องเยี่ยจง เจ้ายอดเยี่ยมมาก นานมากแล้วที่ไม่ได้พบกับบุคคลที่ชมชอบการเดิมพันเช่นเจ้า หนี้ในวันนี้ ศิษย์พี่เช่นข้าจะไม่มีวันลืม “ ฝูหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาต นัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบถึงขีดสุด
ประกายตาของเยี่ยจงเย็นเยียบ เขามองออกถึงนัยน์ตาของฝูหยางที่สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่น หากมิใช่อยู่ในลัทธิแห่งดวงดาวแล้วละก็ เขาคงลงมือสังหารไปตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่า ต่อให้มิอาจมีวิธีที่จะลงมือสังหารอย่างโจ่งแจ้งในสนามประลองแห่งนี้ได้ก็ตามที วันหน้าก็ยังคงมีโอกาส มิใช่หรือ ?
“ ศิษย์พี่ฝูหยาง ศิษย์น้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะมาหาข้าอีกในครั้งหน้า ทว่าถ้าเป็นครั้งหน้าแล้วละก็ พวกเราก็คงต้องทำข้อตกลงตัดหัวกันแล้วละ ข้าคงไม่อาจที่จะสามารถตัดแขนข้างหนึ่งของท่านได้อีก ใช่หรือไม่ ? “ เยี่ยจงหันไปทางฝูหยางยิ้มออกมาคำหนึ่ง
ฝูหยางกรอกนัยน์ตาไปมา จากนั้น เขาก็มิอาจที่จะกล่าวคำพูดอย่างอาฆาตได้อีก เพียงแต่กุมไปที่แขนที่ขาดของตนแล้วก็คลานจากไป
เมื่อพบว่าฝูหยางจากไปแล้ว เยี่ยจงก็ทำราวกับว่ามิได้มีอันใดเกิดขึ้นก็มิปาน หันกายเดินกลับไปทางหลิงเยวี่ยและพวก ยิ้มแล้วกล่าว “ ศิษย์พี่ทุกท่าน เมื่อครู่ได้สะสางเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยมา ต้องเสียเวลาเล็กน้อยในการสะสาง ต่อจากนี้พวกเราออกเดินทางกันเถอะ ? “
หลังจากที่เงียบงัน บุคคลเช่นหลู่ปิงก็ยังต้องสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงคราหนึ่ง การลงมือตัดแขนข้างหนึ่งของศิษย์พี่น้องร่วมสำนักนี้ ต่อให้อยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาวนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ลบหลู่ศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก นี้ยังนับได้ว่าเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงเล็กน้อยอีกหรือ ?
เมื่อมาถึงขั้นนี้ หลู่ปิงและเฮ่าฟงทั้งสองที่ไม่ค่อยจะมีความเข้าใจต่อเยี่ยจงเท่าไหร่ก็ค่อยเข้าใจขึ้นมา เพราะเหตุใดหลิงเยวี่ยถึงได้นัดเยี่ยจงมาออกภารกิจร่วมกันในครั้งนี้
อย่างอื่นก็ไม่กล่าวแล้ว ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจงผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือว่าฝีมือ จัดได้ว่าเป็นศิษย์ท่ามกลางของลัทธิแห่งดวงดาวที่สมควรเลือกแล้วเลือกอีกมากที่สุด
“ เรื่องยุ่งยากของเจ้าในครั้งนี้ ก็นับได้ว่าข้าเป็นคนก่อเอง เมื่อถึงเวลาข้าค่อยชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน “ หลิงเยวี่ยจ้องมองไปที่เยี่ยจง กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ ทว่าตอนนี้พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว ยังคงเดินทางเถอะ เกี่ยวกับแผนการภารกิจในครั้งนี้ พวกเราค่อยอธิบายระหว่างทางก็แล้วกัน “
เยี่ยจง ซูหยี่ เฮ่าฟง หลู่ปิงทั้งสี่คนก็พยักหน้าในเวลาเดียวกัน บ่งบอกว่าไม่มีความเห็นเป็นอื่น
“ ไปเถอะ “
หลิงเยวี่ยเมื่อเห็นเช่นนี้ก็มิได้กล่าวอันใดอีก แล้วก็เคลื่อนไหวบิดขี้เกียจคราหนึ่ง เดินนำออกไปทางด้านทางเข้าของลัทธิแห่งดวงดาว และเมื่อเยี่ยจงและพวกเห็นเช่นนั้ ต่างก็เดินติดตามกันขึ้นไป
“ ถ้ำหงส์หยาตั้งอยู่ในระหว่างของทั้งสามรัฐอย่างรัฐต้าโจวหวังเฉา รัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉาและเสวี่ยหยวนหวังเฉา “
“ ที่นั่นนับได้ว่าเป็นสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้ก็ว่าได้ จากคำล้ำลือในรัฐต้าโจวหวังเฉา ยิ่งเป็นพื้นที่ที่อิทธิพลของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเรายังมิอาจที่จะไปถึง ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้พวกเราคงมิอาจที่จะพึ่งพาลัทธิที่อยู่ภายนอกเขตอิทธิพลได้ ไม่ว่าคิดที่จะทำอันใด สิ่งที่พวกเราจะพึ่งพาไดนั้น มีเพียงแค่ตนเอง “
“ เวลาเดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในภารกิจครั้งนี้ก็คือภายในถ้ำหงส์หย่า ต้องเสาะหาการสูญหายของศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวเมื่อสามปีก่อน มีชีวิตต้องพบคน ตายก็ต้องพบศพ หากว่าพวกเขาตายอย่างนอกเหนือความคาดหมายก็แล้วกันไป หากว่าตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ใดที่กระทำ เช่นนั้นเกรงว่าภารกิจของพวกเราก็คงต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว “
“ แน่นอน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าในครั้งนี้ที่พวกเราไปยังถ้ำหงส์หยาจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน ในเมื่อในสามปีจะเปิดสักครา ในครั้งนี้พวกเราจะต้องครอบครองสมบัติชั้นดีอย่างแน่นอน อย่าได้พลาดละ “
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ นัยน์ตาสีอำพันของหลิงเยวี่ยในตอนนี้ก็แสดงความหนักแน่นอยู่หลายส่วน “ ดังนั้น การเดินทางไปถ้ำหงส์หยาในครั้งนี้ ทุกคนจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังให้มาก ในเขตของถ้ำหงส์หยาทั้งมวล คงจะต้องเป็นเหมือนดั่งนรก เป็นดั่งพื้นที่แห่งความโกรธแค้น หากว่าพลาดไปแม้นิดเดียว ต่อไปพวกเราคงไม่อาจที่จะปกป้องชีวิตน้อยๆเอาไว้ได้ “
หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงและพวกต่างก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากที่ออกจากลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว ก็มิต้องมีกฎข้อบังคับอย่างเรื่องเช่นเอาชีวิตคนเป็นต้น แต่ในลักษณะเดียวกัน ก็จะไม่มีการปกป้องจากลัทธิแห่งดวงดาว เช่นนั้นเรื่องราวต่อจากนี้ไป ก็เป็นเรื่องการอยู่รอดของผู้แข็งแกร่งแล้ว สามารถที่จะครอบครองสมบัติจากถ้ำหงส์หยาได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูที่ฝีมือของแต่ละคนกันแล้ว
เกี่ยวกับดินแดนซีฮวงนี้ เยี่ยจงมิอาจที่จะดูแคลนได้ ถึงแม้ดินแดนซีฮวงแม้นจะไม่อาจเทียบชั้นได้กับดินแดนซานเชียนเซินเฉี่ยได้ แต่ว่าสถานที่เช่นนี้ และดินแดนซานเชียนเซินเฉี่ยก็มิได้มีข้อแตกต่างมากนัก นอกเสียจากจำนวนยอดฝีมือที่ไปถึงจุดสูงสุดจะมีจำนวนน้อยแล้ว เรื่องราวอื่นๆ ก็แทบจะคล้ายคลึงกัน
คิดที่จะต้องการสิ่งใด ขอเพียงมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ การฝึกปรือขึ้นไปในระดับต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะเกรงกลัวแม้แต่ชะตาฟ้าดินไปทำไม ยังไงก็ยังคงต้องเดินต่อไป ไม่อาจที่จะถอยกลับได้
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับกฎที่แน่นอนในของการคุ้มครองของลัทธิแห่งดวงดาว ในสายตาของยอดฝีมือแห่งดินแดนซีฮวงนี้ก็นับได้ว่าเกลียดชังกฏนี้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเหมาะสมกับเยี่ยจงเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ทันทีที่คณะของหลิงเยวี่ยออกมาจากเมืองหมื่นดาราแล้ว ใบหน้าของเยี่ยจงก็ได้แขวนไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ราวกับมิอาจหายไปได้ ราวกับมีความไม่แยแสต่อสิ่งใดๆอีกเลย
หลังจากที่ออกจากลัทธิแห่งดวงดาว ธุระของเยี่ยจงจึงนับได้ว่าไม่มีปัญหาใดๆ หากว่าฝูหยางผู้นั้นคิดที่จะล้างแค้นในตอนนี้แล้วละก็ แน่นอนว่าเยี่ยจงจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง และในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเดิมพันใดๆอีก ทั้งหมดมีแต่เพียงความกระหายเลือดของการฆ่าฟัน
บริเวณบนร่างของเยี่ยจง รูม่านตาของซูหยี่ก็ได้หดเล็กลง นางและเยี่ยจงเคยทำงานร่วมกันครั้งหนึ่ง แต่ก็นับว่าเพียงพอที่จะตรวจสอบบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของเยี่ยจงได้อย่างชัดเจน
หากจะกล่าว เยี่ยจงที่อยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาวสามารถเก็บเนื้อเก็บตัวได้ละก็ เช่นนั้นหลังจากที่ได้ออกจากลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว เยี่ยจงก็เป็นเหมือนดั่งกระบี่ที่เก็บซ่อนเอาไว้ เพียงแต่เมื่อถึงคราวที่ต้องการ เยี่ยจงก็พร้อมที่จะชักความคมกล้าออกมา ไม่มีความเกรงใจอีกต่อไป
ตอนนี้หลิงเยวี่ยได้มองไปที่เยี่ยจงอย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาอันลึกซึ้งนั้นไปให้ความรู้สึกที่หนักแน่นสาดประกายออกมา บรรยากาศของเยี่ยจงในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่ากับพลังฝีมือของนางก็นับได้ว่าสามารถที่จะตรวจสอบออกมาได้
เกรงว่า ผู้คนทั้งหมดในลัทธิแห่งดวงดาว จะดูแคลนศิษย์น้องเล็กที่มาใหม่ผู้นี้จนเกินไปแล้ว ?
หลังจากที่จิตใต้สำนึกกำลังคิดถึงสิ่งเหล่านี้ หลิงเยวี่ยก็ยิ้มออกมา และจากนั้นนางก็โบกมือคราหนึ่ง
“ ไปกันเถอะ พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว รีบไปยังถ้ำหงส์หย่ากัน “
.
.
.
.