ตอนที่ 106 หลิงเสียวซา(วิญญาณทราบสวรรค์)
“ สหายทั้งหลายลงมืออย่างกะทันหัน หมายความว่าอย่างไรกัน ? มีปัญหาอันใดกับลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราหรือไม่ ? “ เยี่ยจงค่อยๆหันตัวกลับ เหม่อมองไปยังเงาร่างที่ปรากฏขึ้นมาหลายส่วนไม่ห่างไกลมากนัก ในเมื่อคนเหล่านี้ถึงกับกล้าที่จะลงมือต่อเยี่ยจง แน่นอนว่าคงต้องเชื่อมั่นในตนเองอยู่มากยิ่ง เยี่ยจงมิใช่คนโง่ พอเอ่ยปากคำเดียวก็ใช้สถานะอันใหญ่โตของลัทธิแห่งดวงดาวขึ้นมาข่มไว้ เขาต้องการที่จะดูว่า เหตุใดถึงต้องการที่จะมีเรื่องกับตนกัน
“ เหอะเหอะ น้องเยี่ยจง พวกเราไม่ได้หมายความว่าอยากที่จะไปก้าวก่ายกับลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเจ้าเลย เพียงแต่ว่า กระทำสิ่งใดควรเหลือเส้นทางไว้อีกทางมิใช่ดีกว่าหรือ ? โอสถวิเศษที่ทรงคุณค่าเหล่านั้น พวกเราอย่างน้อยก็เอาไว้ครึ่งเดียว ยังไม่ทราบว่าเพียงพอหรือเปล่าเลย ? “ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งจ้องมองไปที่เยี่ยจง หัวเราะเบาๆแล้วกล่าว
เยี่ยจงกวาดสายตามองคนเหล่านี้คราหนึ่ง จากนั้นก็ได้ร้องเฮ้อคำหนึ่ง หากว่ามิใช่เขาและหลิงเยวี่ยสองคนร่วมมือกันปลดผนึกค่ายกลยันต์เหล่านี้แล้วละก็ คนเหล่านี้มีหรือที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ตอนนี้พวกเขาก็ช่างเหย่อหยิ่งเสียเหลือเกิน
“ ถ้าหากข้าบอกว่า ข้าไม่เคยได้รู้จักคำว่าพอดีสองคำนี้ว่าเขียนอย่างไรแล้วละก็ เจ้าคิดที่จะทำอย่างไร ? “ เยี่ยจงหรี่ตามองดู กล่าวตอบด้วยเสียงที่ดัง
“ เหอะ เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องสั่งสอนน้องเยี่ยจงเจ้าแล้ว จะได้ให้เจ้ารู้จักว่าตัวอักษรสองคำนี้เขียนอย่างไร ……. เมื่อกล่าวมาแล้ว ในครั้งนี้เจ้าคงได้รับไปไม่น้อยเลย เจ้าหลิงเสียวซานี้ก็ยกให้พวกเราเถอะ ถือว่าพวกเราติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งนี้ ดีหรือไม่ “ ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะต้องการมีปัญหากับเยี่ยจง ดังนั้นเขาถึงได้อ่อนข้อให้ แต่ว่าคำพูดที่กล่าวออกมาก็ไม่ต่างจากการดูแคลนซักเท่าไหร่
ที่ด้านข้างของชายหนุ่มชุดเขียวในตอนนี้ยังมีอีกรวมสี่คน ถึงแม้ว่าจะเคยพบเห็นเยี่ยจงลงมือ แต่ว่าชายหนุ่มชุดเขียวก็ยังคงมีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับเจ็ด หากนับอีกสามคนที่เหลือที่มีพลังฝีมือในขั้นก่อเกิดระดับที่หกด้วยแล้ว พลังฝีมือเช่นนี้ นับได้ว่าน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทราบอยู่แล้วว่าเยี่ยจงเป็นคนที่สังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษก่อนหน้านี้ แต่ว่า เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกันมิใช่หรือ ?
เยี่ยจงหรี่ตาจ้องมองบุคคลทั้งสี่คน นัยน์ตาปกคลุมไปด้วยความเย็นชา หลิงเสียวซานั้นนับว่ามีความสำคัญต่อเขามากอย่างไร้ที่เปรียบ หากใครผู้ใดที่คิดจะแย่งชิงจากเขา ก็คงต้องได้รับความโกรธแค้นจากเขาอย่างช่วยไม่ได้
ราวกับว่าสามารถที่จะสัมผัสได้ถูกรังสีฆ่าฟันผ่านนัยน์ตาของเยี่ยจงได้ ชายชุดขาวที่อยู่ทางด้านข้างชายชุดเขียวก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ เยี่ยจง ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ที่สังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษ ก็อย่าได้คิดว่าเจ้านั้นไร้เทียมทาน เจ้าน่าจะรู้ดีแก่ใจ ในช่วงเวลาที่มนุษย์ใบหน้าอสรพิษปรากฏตัว เพียงแต่ว่ามีผู้คนมากมายที่ยังไม่ต้องการที่จะเปิดเผยพลังฝีมือที่แท้จริงก็เท่านั้น ……… ถึงแม้เจ้าจะมีพลังยุทธ์ในระดับขั้นก่อเกิดระดับที่หกก็สามารถที่จะสังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษได้ก็ตามที ในข้อนี้ก็นับได้ว่าทำให้ผู้คนตกใจอย่างบ้าง แต่ว่าเจ้าอย่าได้คิดว่าจะพึ่งพากำลังเพียงแค่พวกเจ้าทั้งสองคนก็จะสามารถยับยั้งพวกเราที่ร่วมมือกันทั้งสี่คนได้แล้วละก็ ก็นับได้ว่าช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน “
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ก้าวเดินขึ้นไปด้านหน้า ทว่าในตอนที่เขาเตรียมที่จะลงมือจัดการกับเด็กน้อยเหล่านี้ หลิงเยวี่ยก็ได้ส่งเสียงแผ่วเบาออกมาอย่างกะทันหัน “ ศิษย์น้อง ให้พวกเขาไปเถอะ “
จากคำกล่าวที่ว่ามาเหล่านี้ ได้ทำให้เยี่ยจงต้องงงงันเล็กน้อย เขาหันศีรษะกลับไปมองหลิงเยวี่ยคราหนึ่ง แล้วเผยนัยน์ตาที่ทอแววความสงสัยออกมาให้เห็น หลังจากที่มองไปทางด้านหลิงเยวี่ยแล้ว ถึงแม้ว่าเยี่ยจงจะไม่ทราบว่าหลิงเยวี่ยนั้นสื่อถึงความหมายอันใด แต่ว่าเขาก็ถือได้ว่านับถือพลังฝีมือของศิษย์พี่หญิงนางนี้อยู่ ต่อมาหลังจากที่ครุ่นคิดไปแล้ว ก็ได้ถอยออกไปหลายก้าว
“ เหอะ น้องเยี่ยจงในเมื่อนับเป็นผู้กล้าในหมู่ผู้เยาว์ กล่าวได้ว่ารู้หลักรู้เวลาจึงนับเป็นผู้กล้า น้องชายเยี่ยจง เรื่องในวันนี้ ข้าน้อยจะจดจำเอาไว้ “ เมื่อพบว่าเยี่ยจงถอยออกไปด้วยตนเอง ชายหนุ่มชุดเขียวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเหอะๆออกมาแล้วกล่าว เกี่ยวกับเยี่ยจงผู้นี้เขาที่ความจริงก็นับได้ว่าเกิดความเกรงกลัวอยู่หลายส่วน แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่กล่าวอยู่หลายคำไปแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ก็ได้ถอยออกไปอย่างว่าง่าย ดูเหมือนกับว่าเขาเหมือนกับหัวหอกกลวงด้ามหนึ่ง
(สุภาษิตจีน: ดูดีแต่แค่ภายนอกภายในกลับว่างเปล่า)
หลังจากที่ในตอนนี้ได้ละสายตาจากเยี่ยจงที่ถอยออกไปแล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวก็ได้เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปทางด้านของโต๊ะหยกตัวนี้ที่วางไว้ด้วยหลิงเสียวซา นัยน์ตาก็ได้ปกคลุมไปด้วยความโลภ สมบัติที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ ร้อยปีจะพบพานสักชิ้นได้ แน่นอนว่าราคาคงนับว่าไม่ด้อยกว่าโอสถที่อยู่ในห้องโอสถแห่งนี้เลย
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ก็อดที่จะแสดงความโลภออกมามิได้ เคลื่อนไหวร่างกายออกไปทันใด มุ่งไปยังบริเวณที่อยู่ของหลิงเสียวซาแล้วคว้าเข้าไป
เยี่ยจงหรี่ตามองดูฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นก็ขยับฝ่ามือเบาๆคราหนึ่ง นัยน์ตาที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบพร้อมกับรังสีฆ่าฟัน ถึงแม้เขาจะทราบถึงเหตุผลที่หลิงเยวี่ยนางต้องการจะทำก็ตาม แต่ว่าถ้าหากของสิ่งนี้ต้องตกไปอยู่ในมือของชายชุดเขียวแล้วละก็ เยี่ยจงก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันได้
“ ชิร์ “
และแล้ว ใช้ช่วงที่ชายหนุ่มชุดเขียวยื่นมือขวาออกไป ก็ได้คว้าไปทางด้านจานหยกที่ใส่ไว้ด้วยหลิงเสียวซาในทันที บริเวณใจกลางฝ่ามือของเขา ก็ได้มีควันสีเขียวโพยพุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ที่ยื่นออกไปนั้นก็ได้แปรสภาพกลายเป็นสีเขียวทันที
สีเขียวที่ปรากฏขึ้นออกมานั้น ก็ได้ลอยออกมาแผ่กระจายไปทั่วทั้งแขนของเขา และในเวลาเดียวกันก็ได้กลิ่นบางอย่างที่ตอนนี้ได้ลอยเข้ามาภายในจมูก เห็นได้ชัดว่า หลิงเสียวซาในจานหยกนี้ มีการป้องกันที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด และภายในการป้องกันชนิดนี้ก็เรียกได้ว่าโหดร้ายชนิดที่ไม่อาจที่จะคาดคิดได้
“ อา “
ความเจ็บปวดไร้ที่เปรียบได้ถูกเปล่งเสียงออกมาจากปากของชายหนุ่มชุดเขียว แขนของเขาได้ถูกย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว ความร้ายกาจของพิษสีเขียวชนิดนี้ เพียงแค่เวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ได้แผ่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณมือของเขาไปแล้ว ในช่วงเพียงแค่หนึ่งลมหายใจที่ผ่านมา ก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งแขนของชายผู้นี้ไปแล้ว
ว่า ในเวลานี้ชายหนุ่มชุดขาวที่เมื่อครู่ได้เอ่ยปากคุกคามเยี่ยจงก็มีปฏิกิริยากลับมาทันทีแล้ว เขาได้ขยับตัวคราหนึ่ง กระบี่ในมือก็ได้ฟันตัดออกไปยังแขนของชายชุดเขียว
“ พรวด พรวด “
“ โลหิตจำนวนมากได้ไหลออกมาดั่งสายธาร ใบหน้าของชายชุดเขียวน่าเกียจขึ้นทันควัน พยุงแขนอีกข้างคืบคลานถอยออกไป และในช่วงเวลาที่เขาได้ถูกตัดแขนไปอย่างรวดเร็วเพียงเสียววินาที ท้ายที่สุดโลหิตของชายชุดเขียวก็ได้เปลี่ยนเป็นสายสีเขียวไหลออกมานองเต็มพื้น ส่งเสียงร้องครวญครางออกมา บนพื้นนั้นราวกับถูกกัดกร่อนจนสลายจนกลายเป็นก้อนสีดำ
“ ความอำมหิตช่างน่ากลัวนัก “
เยี่ยจงเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า แล้วก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ในช่วงเวลาที่ประกายตาได้ทอแสงมองไปยังหลิงเสียวซานั้น ก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว เมื่อครู่เขาก็ได้ปล่อยตัวจนเกินไป จนถึงกับหลงลืม เจ้าของซากปรักหักพังนี้จะอย่างไรก็คงไม่อาจที่จะมอบสมบัติอันล้ำค่าให้แก่ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายแน่นอน
เมื่อครู่หากมิใช่เขาตัดสินที่จะถอยออกไปแล้วละก็ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์เหล่านี้คงได้เกิดกับเขาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องจ่ายออกไปในราคาที่ไม่น้อยเลย
“ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จากการคาดเดาเมื่อครู่ของข้าแล้ว ค่ายกลยันต์วิญญาณที่ได้จัดตั้งอยู่ตรงโต๊ะที่ใส่หลิงเสียวซาไว้พอดี แต่ว่าก็เป็นเพียงการคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ก็เป็นที่แน่ชัดกันแล้ว นี้น่าจะเป็นค่ายกลที่ล้ำลือกันว่าเป็นค่ายกลหยกพิษสังหารนั้นเอง กล่าวกันว่า มีสำนักหนึ่งในสมัยก่อนที่ชื่นชอบที่จะสะสมสมบัติและวางค่ายกล การวางค่ายกลนี้เรียกได้ว่าง่ายดาย แต่ว่าการลงมือนั้นถือได้ว่าโหดเหี้ยมอำมหิตนัก สมควรที่จะสูญหายไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าข้าจะสามารถพบเห็นได้ในวันนี้อีก “ หลิงเยวี่ยกล่าวด้วน้ำเสียงหนักแน่น ในตอนนี้ก็ได้ลุกขึ้นมา
“ ค่ายกลหยกพิษสังหาร ? “ หลังจากที่เงียบงัน ใบหน้าของเยี่ยจงก็ได้ขยับคราหนึ่ง เหมือนกับจดจำได้ว่าเมื่อในสมัยก่อนได้เคยปลดผนึกค่ายกลนี้อยู่หลายครั้ง เพียงแต่ว่าเขานั้นเวลานั้นถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งที่สูงมากแล้ว กับการปลดผนึกค่ายกลยันต์วิญญาณเช่นนี้ ตอนนี้ก็คงจะมิอาจที่จะสามารถใช้วิธีเหล่านั้นได้ แต่ว่า ในเมื่อทราบว่าเป็นค่ายกลหยกพิษสังหารแล้ว จะอย่างไรเยี่ยจงก็คงจะมีวิธีจัดการอยู่หลายแบบ
“ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อ ? “ หลิงเยวี่ยเมื่อพบว่าเยี่ยจงไร้อารมณ์ใดๆ ภายในใจก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ เมื่อครู่ที่นางคาดเดาเอาไว้ เยี่ยจงไม่เพียงแต่เป็นผู้ใช้ยันต์วิญญาณ อีกทั้งดูจากลักษณะนิสัยการกระทำแล้ว ก็เพียงพอที่ยืนยันได้ ในตอนที่นางมองดูค่ายกลพิษนี้อย่างปวดเศียร ไม่แน่ว่าถ้าหากเป็นเยี่ยจงแล้ว อาจจะปลดผนึกได้อย่างง่ายดายก็เป็นไปได้
ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ตนเองยิ่งมาก็ยิ่งไม่เชื่อในสิ่งที่พอเจอ
“ ถึงแม้จะเป็นเพียงการคาดเดา ทว่าข้าก็ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง ไม่ต้องเป็นห่วง “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิด ก็ค่อยเอ่ยปากกล่าวออกมา
หลังจากที่เงียบงัน ในครั้งนี้หลิงเยวี่ยก็มิได้เปลี่ยนแปลงสีหน้ามากมายนัก นางพอจะคาดเดาถึงวิธีการที่เยี่ยจงจะทำได้ออกได้
เมื่อพบเห็นสีหน้าของเยี่ยจงและหลิงเยวี่ยที่สงบนิ่งราวสาวลมที่พัดผ่าน ชายหนุ่มชุดเขียวที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งก็ต้องต่อสู้กับการลุกขึ้นมาจากบนพื้น แขนที่ขาดนั้นได้ทำให้ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับกระดาษ เขาส่งสายตาเคียดแค้นไปทางด้านเยี่ยจง กล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาต “ เจ้าบัดซบน้อย เจ้าทราบอยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงให้พวกเราเปิดการทำงานของค่ายกลใช่หรือไม่ “
ชายหนุ่มชุดเขียวและพวกทั้งสามก็ได้ทอประกายแววตาเครียดแค้นจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง ศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขากลับได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ก็เหมือนกับว่าการเดินทางเข้ามายังถ้ำหงส์หยาแห่งนี้ก็ถือได้ว่าพ่ายแพ้ไปกว่าครึ่งแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขามิอาจที่จะไม่โกรธเช่นนี้ได้
เมื่อได้ยินเสียงของการปะทุ เยี่ยจงก็ได้ขมวดคิ้วไปมา จ้องมองไปยังร่างของคนที่ตายไปแล้ว นัยน์ตาได้เปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากที่เขาจ้องเขม็งไปที่ทั้งสี่คน ก็ค่อยกล่าวออกมาเสียงดัง “ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร ? ไสหัวไปให้ข้า ไม่เช่นนั้นก็มิต้องจากไปทั้งหมด “
“ เด็กน้อย เจ้าดูแคลนพวกข้า “
เมื่อได้ยินคำพูดในน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยรังสีการฆ่าฟัน ชายหนุ่มชุดเขียวทั้งสี่คน ใบหน้าก็ได้เปลี่ยนไปเป็นสีซีดไร้ที่เปรียบในทันที พวกเขาในเวลานี้ต้องการเวลาจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวเด็กน้อยเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ ?
“ เหอะ เหอะ เหอะ คิดไม่ถึงว่าด้านในนี้จะมีของดีอยู่เช่นเดียวกัน ……. ดูเหมือนว่าหากมิใช่คุณชายเช่นข้ามีความชอบขึ้นมาแล้วละก็ ไม่แน่ว่าในครั้งนี้คงจะต้องพลาดสมบัติชั้นดีเหล่านี้ไปเสียแล้ว “
จากนั้น ในช่วงเวลาตอนที่ชายหนุ่มชุดเขียวทั้งสี่คนได้เตรียมตัวที่จะลงมือ ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับสายลมที่เคลื่อนเข้ามา อีกทั้งภายในน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ท้ายที่สุด ก็ได้พบกับเงาร่างสูงใหญ่ที่สวมไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีม่วงค่อยๆเดินออกมาจากบริเวณทางด้านหลัง เขาได้หรี่ตาจ้องมองไปที่หลิงเสียวซา ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของความพึงพอใจ
“ คุณชายควางโซว เหลียนคายหยู่ “
นัยน์ตาของเยี่ยจงได้จ้องเขม็งไปทางด้านของเงาร่างที่ปรากฏขึ้นมา ใบหน้าได้แปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นอยู่หลายส่วน แม้แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ คุณชายควางโซวของสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหร่ยเทียนหวังเฉากลับปรากฏตัวขึ้นมา
จากนั้น เยี่ยจงก็พอที่จะคาดเดาออก พลังฝีมือของคนผู้นี้แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อยู่ในระดับที่ต่ำอย่างคุณชายคงฮู่เหร่ยโหยวฮู่เช่นนั้นจะเอามาเทียบได้ บุคคลเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับเจ็ดแล้ว
และแม้แต่บุคคลที่ปรากฏออกมาในที่แห่งนี้ ดูเหมือนว่าการต่อสู้แย่งชิงหลิงเสียวซาในวันนี้จะทวีความยากเพิ่มขึ้นแล้ว หรือเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
“ เหอะ เหอะ นี้มิใช่น้องชายเยี่ยจงหรอกหรือ ? ในสถานที่เช่นนี้ยังสามารถที่จะพบเจอกับเจ้าได้อีก “ หลังจากที่เหลียนค่ายยู่กวาดสายตาสำรวจมองไปชายหนุ่มชุดเขียวและพวกทั้งสี่คน จากนั้นก็ได้หันกลับไปมาที่เยี่ยจงต่อ นัยน์ตาได้ทอเป็นประกายความระแวงออกมาสายหนึ่ง เขามิใช่คนที่ขลาดเขลาแต่อย่างไร เรื่องราวที่เกี่ยวกับเยี่ยจงเขาก็เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนส่วนหนึ่ง ถึงกับทราบว่าเยี่ยจงมิใช่ผู้ที่สามารถที่จะต่อกรได้อย่างง่ายดายอย่างที่เคยคาดคิดเอาไว้
เพียงแต่ว่า เมื่อได้ยินคำพูดที่กล่าวออกมาจากคุณชายควางโซวแล้ว ก็ทราบได้ว่าบุคคลเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะต่อสู้ด้วย ตอนนี้เขาก็ได้หรี่ตาลงจ้องมองไปที่เยี่ยจง ใบหน้าส่อแววต้องการที่จะเล่นด้วย ……….
.
.
.
.