ตอนที่ 107 คุณชายควางโซว (พยัคฆ์คลั่ง)
“ ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อคุณชายควางโซวก็ได้ปรากฏมาในที่แห่งนี้แล้ว “ เยี่ยจงจ้องมองไปที่เหลียนคายหยู่อย่างดุดัน สีหน้าบนใบหน้ามิได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจะเกรงกลัวสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหร่ยเทียนหวังเฉาอยู่ก็ตาม แต่ว่าเขาเยี่ยจงก็มิอาจเรียกได้ว่ารวมอยู่ในนั้นด้วย
ท่าทีและการพูดจาที่เรียบง่ายของเยี่ยจงนี้ ได้ทำให้เหลียนคายหยู่ต้องหรี่นัยน์ตามองแล้วมองอีก ถึงแม้ว่า เยี่ยจงก็มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาซักเท่าไหร่ และในข้อนี้คุณชายควางโซวเพียงแค่คนเดียวจะทำอันใดเขาได้ ภายในใจก็ได้เหมือนมีส่วนเล็กๆที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เขาก็ยังเป็นหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหร่ยเทียนหวังเฉา เหตุใดถึงได้มองเขาเช่นนี้
“ ซวบ ซวบ ซวบ “
หลังจากที่เหลียนคายหยู่ได้โผล่ใบหน้าเข้ามา ทั่วทั้งสี่ทิศที่ความจริงได้เต็มไปด้วยโอสถก็ได้ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านไปแล้ว ยอดฝีมือมากมายในตอนนี้ที่ได้มองดูอยู่ก็ได้รวมตัวกันเข้ามา สายตาในตอนนี้ได้จับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหยกอย่างเห็นได้ชัด
“ นั้นคือ ……. หลิงเสียวซาในตำนาน ? “
ยอดฝีมือที่มาถึงบริเวณนี้ ดวงตาของแต่ละคนในครั้งแรกที่มาถึงห้องนี้ก็ได้มองไปที่หลิงเสียวซาเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าออกเป็นสายดังขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า สิ่งของชิ้นนี้ที่แท้มีคุณค่ามากถึงขั้นใด เหล่ายอดฝีมือต่างก็ทราบดีอยู่เต็มสิบส่วนอยู่แล้ว
ในตอนที่เหม่อมองไปยังเหลียนคายหยู่มาถึง ทันใดนั้นทั่วทั้งบริเวณก็ดูราวกับเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมาหลายส่วน จนทำให้เยี่ยจงอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ หากมิใช่เหลียนคายหยู่ผู้นี้โผล่ออกมาแล้วละก็ ในตอนนี้หลิงเสียวซาคงตกอยู่ในมือของตนเองแล้ว
“ อ่ะ ? นั้นใช่คุณชายควางโซวเหลียนคายหยู่หรือไม่ ? เขามายังที่สถานที่แห่งนี้ดูอันใดกัน ? “
“ ยังมี คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงของลัทธิแห่งดวงดาวจะอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เขาที่พึ่งเข่นฆ่าสังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษผู้ร้ายกาจไปเชียวนะ “
“ ท่าจะยุ่งยากซักหน่อยแล้ว “
หลังจากนั้นไม่นานยอดฝีมือทั่วทั้งสี่ทิศก็ได้แตกตื่นขึ้นมา ก็ค่อยสังเกตเห็นบนโต๊ะหยกในตอนนี้ที่อยู่ทางด้านหน้าระหว่างกลางของเยี่ยจงและเหลียนคายหยู่ทั้งสองคน จากนั้นสายตาที่จ้องมองมาของแต่ละคนก็ได้เปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ควรทราบว่า ชื่อเสียงของคุณชายควางโซว ในทั้งสามรัฐใหญ่นี้ก็นับได้ว่ามีชื่อเสียงที่โด่งดังอย่างมาก เพียงแค่ขยับมือเพียงคราเดียวนิสัยก็เปลี่ยนไปราวกับสุนัขบ้าคลั่งก็มิปาน หากกล่าวโดยยอดฝีมือทั่วไปก็นับได้ว่าเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อยเลย
และเรื่องราวความแข็งแกร่งของเยี่ยจงที่สังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษก่อนหน้านี้ ก็พึ่งจะถูกเผยแพร่ออกไป มียอดฝีมือมากมายที่ต่างก็จดจ้องตาไม่กระพริบไปยังฉากเบื้องหน้า ดังนั้น ยอดฝีมือเหล่านี้ในตอนนี้ก็แทบจะไม่เกรงกลัวเยี่ยจงเลย
“ เหอะ ผู้คนที่มาก็ช่างเยอะเสียจริง …… “ หลังจากที่เหลียนคายหยู่จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างดุดัน จึงค่อยยิ้มขึ้นมุมปากคราหนึ่ง กวาดตามองสำรวจรอบด้านคราหนึ่ง “ หลิงเสียวซานี้คุณชายเช่นข้าชื่นชอบยิ่ง ข้าคิดว่า ทุกท่านสมควรที่จะคิดจะที่จะไม่อยากจะมีเรื่องกับคุณชายเช่นข้าหรอกนะ ? “
ถึงแม้ว่าตอนนี้เหลียนคายจะเอ่ยถามไปในลักษณะนั้น แต่ว่าท่ามกลางสายตาของผู้คนก็มองออกว่า แน่นอนว่าเขาไม่ได้ต้องการถามถึงความเห็นของความหมายใดๆ ความในข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยคำว่าไม่ได้สองคำนี้ออกมา ความหวาดกลัวในตัวบ้าคลั่งราวกับพายุคลั่งของคุณชายควางโซวก็มิปาน
ก่อนหน้าที่จะชายชุดเขียวจะฟังคำพูดของเหลียนคายหยู่จบ ใบหน้าของเขาในตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นปั้นยากอย่างถึงที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ได้กัดฟันดังกรอด จึงค่อยเอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงเย็นชา “ พวกเรานั้นย่อมไม่มีปัญหาใดแน่นอน เพียงแต่ว่า สมบัติชิ้นนี้ยังไงซะก็ยังนับได้ว่าน้องชายเยี่ยจงเป็นผู้ที่พบก่อนมิใช่หรือ ? “
“ ดังนั้น ข้าคิดไว้ว่าของสิ่งนี้ สมควรที่จะเป็นของน้องชายเยี่ยจง ? มิใช่หรือ ? “
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายชุดเขียวก็จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงด้วยสายตาที่เย็นเยียบ ถึงแม้เขาในตอนนี้จะทราบดีแล้วว่าตนเองนั้นไม่มีโอกาสแล้ว แต่ว่าเขาก็อยากที่จะดูว่าเยี่ยจงจะตัดสินใจเช่นไร
ถึงแม้ว่าในคำพูดของเขานั้นก็มีกลิ่นอายยุแหย่ อีกทั้งทุกผู้คนที่ได้ยินได้ฟังต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“ เปรี้ยง “
ทันทีที่คำพูดของเขากล่าวออกมา เยี่ยจงก็ได้ขยับเท้าไปอย่างกะทันหัน ทันทีนั้นร่างกายก็หายวาบไปปานภูติปราย และในขณะที่ชายชุดเขียวยังไม่ทันจะตอบสนองกลับมาได้ทัน มือข้างหนึ่งก็ได้ประทับไปเข้าไปยังบริเวณทรวงอกแล้ว
“ บรึม “
ชายชุดเขียวร่างสั่นเทาคราหนึ่ง กระอักโลหิตออกมาคำโต ร่างกายก็ได้โน้มตัวออก แต่ว่าใบหน้ายังคงแสดงถึงอารมณ์ยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น เขาคิดไม่ถึงว่า ในสถานการณ์เช่นนี้เยี่ยจงยังลงมือได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ ทั้งยังแม้แต่กระบวนท่าเดียวของเยี่ยจงเขาก็ยังต้านรับไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ เจ้า “
ชายชุดเขียวทั้งสามใบหน้าเปลี่ยนสีคราหนึ่ง แล้วก็ต้องลงมือออกมา
“ หยุดมือ “
ชายหนุ่มชุดเขียวร้องเสียงเฮ้อคำหนึ่ง หลังจากที่เขาจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจงคราหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ เยี่ยจง วันนี้นับว่าเจ้าร้ายกาจ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ผ่านเลยไปเช่นนี้แน่นอน ภูผามั่นคงสายน้ำไหลเป็นทาง ในครั้งต่อไป จะไม่มีจบได้ดีเช่นนี้แน่นอน “
หลังจากที่ทิ้งคำพูดอันโหดร้ายเอาไว้แล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวก็ได้โบกมือคราหนึ่ง เตรียมพร้อมที่จะนำพาผู้คนจากไป
“ ข้าบอกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ว่าเจ้าสามารถไปได้ ? “ เยี่ยจงจ้องมองไปทางด้านชายชุดเขียวอย่างดุดัน ทันใดนั้นต่อมาเข้าก็ได้ขยับกายอีกครา เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ร่างกายกับหายวาบไปราวกับประกายแสงสายหนึ่ง ทันทีที่เขาได้หยุดยืน ใบหน้าของชายหนุ่มชุดเขียวก็แสดงออกถึงไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขากุมไปที่คอหอย โลหิตสดๆหลั่งไหลออกมาเป็นทางยาว จากนั้นก็ได้ล้มลงไปบนพื้นดิน
“ เจ้า “
ที่หลงเหลืออีกสามคนพบว่าศิษย์พี่ใหญ่ของตนเป็นเช่นนี้ ถึงกับคิดที่จะผนึกกำลังกันลงมือต่อเยี่ยจงก็ไม่ใช่ ใบหน้าของแต่ละคนแสดงออกถึงยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น ในครั้งนี้ มิจำเป็นต้องมีคนบอกกล่าว พวกเขาร่างกายก็สั่นเทาขึ้นมา แล้วก็ทะยานคว้าไปที่ศพของชายหนุ่มชุดเขียว ลอยเหินถอยออกไป
กับทั้งสามคนนี้ เยี่ยจงนั้นมิได้ไล่ตามเข่นฆ่าแต่อย่างไร เขาเพียงตัดสินใจสะบัดมือออกไปมา ราวกับการเข่นฆ่าเมื่อครู่เป็นเพียงกับฆ่ามดแมลงก็มิปาน ใบหน้าสงบไม่เปลี่ยนแปลง
ความตื่นตระหนกที่หยุดไม่อยู่นับไม่ถ้วนในตอนนี้ได้หยุดลงที่บนร่างของเยี่ยจง นัยน์ตาที่จ้องมองมาปกคลุมไปด้วยความหวาดหวั่น ช่วงเวลานี้เยี่ยจงผู้นี้ถึงกับ สามารถที่จะลงมือสังหารผู้คนงั้นหรือ ? การลงฝีมือสังหารที่หมดจดเช่นนี้ นับได้ว่าเหนือความคาดหมายของผู้คนไปมากมายหลายส่วน อีกทั้ง ในช่วงที่สำคัญที่สุดนี้ หลังจากที่ชายผู้นี้ถูกตัดแขนไปแล้ว พลังฝีมือก็ถดถอยลง แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังเปรียบได้กับผู้ที่มีพลังในขั้นก่อเกิดระดับหกสิ ? แต่ว่ายอดฝีมือเช่นนี้ ถึงกับเมื่อเผชิญหน้ากับเขาแม้แต่เวลาจะขยับออกเรี่ยวแรงก็ยังไม่สามารถเลย เยี่ยจงผู้นี้ ที่แท้มีความแข็งแกร่งในระดับในกันแน่ ?
อีกทั้ง เมื่อเขาดำเนินการเช่นนี้ ก็คือการเชือดไก่ให้ลิงดูงั้นหรือ ?
ในวินาทีนี้ ทุกผู้คนก็ได้จดจ้องมองไปทางด้านของเหลียนคายหยู่อย่างประหลาดพิกล ไม่ว่าจะมองอย่างไร พลังฝีมือของเยี่ยจงผู้นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เหลียนคายหยู่ดูอย่างงั้นหรือ ?
“ แปะ แปะ แปะ “
เหลียนคายหยู่ที่ตลอดมามิได้เอ่ยปากกล่าวอันใด ในช่วงเวลานี้กลับตบมือไปมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเลี่ยมใสได้จ้องมองไปยังเยี่ยจง แล้วก็กล่าวอย่างเห็นด้วย “ ฝีมือที่เยี่ยม นับเป็นฝีไม้ลายมือที่ดี น้องชายเยี่ยจงมีฝีมือได้เช่นนี้นับว่าร้ายกาจนัก นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว “
“ ทว่า เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ ต้องการที่จะทำให้ผู้ใดกลัวกัน ? หรือกล่าวอีกอย่าง เจ้าสามารถที่จะทำให้ผู้ใดตกใจได้กัน ? “
เหลียนคายหยู่จดจ้องไปทางด้านเยี่ยจง ใบหน้าถึงแม้จะยังคลุมไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าภายใต้รอยยิ้มนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นรังสีสังหารแผ่ออกมา
“ ข้านั้นมิได้เตรียมที่จะทำผู้ใดตกใจ …….. “ ในตอนที่เหม่อมองไปที่เหลียนคายหยู่ที่แสดงสีหน้าเยาะเย้ย เยี่ยจงก็ได้หยักไหล่ไปมา “ ข้าเพียงแต่คิดที่จะบอกต่อเจ้า ข้าไม่ชมชอบที่จะให้ผู้ใดมาขัดขวางการตัดสินใจของข้าก็เท่านั้น และยังมีคนที่ต้องการที่จะขัดขวางข้าแล้วละก็ เช่นนั้นเขาก็ต้องคิดไว้ก่อนแล้วว่า ตนเองมีคุณสมบัติหรือไม่ หากไม่มีคุณสมบัติที่จะกระทำเรื่องราวเช่นนั้นต่อข้าแล้วละก็ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็คงยากที่จะกล่าวออกมาได้ ………… “
“ เหอะ เมื่อกล่าวเช่นนี้ เราท่านต่างก็ถือว่าเดินทางสายกลางใช่หรือไม่ ? “ เหลียนคายหยู่กอดอกด้วยสองมืออย่างช้าๆ ทันทีที่เขาก้าวไปข้างหน้า ก็ได้แสยะยิ้มคราหนึ่ง “ ข้าก็มีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือไม่เคยชินให้มีผู้ใดมาแย่งชิงสมบัติกับข้า หากว่าคนผู้นั้นไม่กลัวตายอย่างแท้จริงแล้วละก็ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจที่จะสังหารเขาได้ “
“ เหอะ “
ในเมื่อเหลียนคายหยู่กล่าวมาถึงขนาดนี้ เยี่ยจงก็มิอาจที่จะไม่ประมือด้วย ต่อมาเขาก็มิได้กล่าวคำพูดมากมายอันใด เพียงแต่ค่อยๆผายมือขวาออกไป ค่อยๆกำหมัดคราหนึ่ง เลือดลมพุ่งขึ้นเต็มสิบส่วน “ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เชิญลงมือเถอะ “
“ ช่างมีชีวิตชีวาเสียจริง “
เหลียนคายหยู่ยิ้มออกมาอย่างเย็นเยียบ บนร่างกายก็ได้เริ่มที่จะแผ่พลังดุดันออกมา
“ ซูม “
เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่เหมาะนี้กันนี้ หนุ่มน้อยทั้งสองที่คนหนึ่งอ่อนเยาว์เกือบรอบหนึ่งแต่มีแววอัจฉริยะก็ได้เตรียมที่จะลงมือ มีผู้คนไม่น้อยรอบข้างก็ได้ถอยออกไปราวสิบก้าวในทันที สายตาที่จ้องมองไปได้เปลี่ยนเป็นเร้าร้อนขึ้นมาหลายส่วน ชื่อเสียงอันดังกะฉ่อนอย่างที่สุดของคุณชายควางโซว แต่ว่าแน่นอนว่าเยี่ยจงก็มิใช่บุคคลที่จะต่อกรได้อย่างง่ายดาย
พลังความแข็งแกร่งของบุคคลทั้งสองคนก็ได้เข้าปะทะกันเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผู้คน ท้ายที่สุดแล้วผลที่จะออกมาจะเป็นเช่นไร และเกี่ยวกับการประลองในรอบนี้ ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ตั้งตารออยู่
เหลียนคายหยู่ได้จ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ได้เริ่มที่จะค่อยๆหดหายไป พลังที่แผ่กระจายออกมาจากร่างก็ได้ยิ่งมายิ่งหนักขึ้น เมื่อถึงเวลานี้ พลังลมปราณของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นเหมือนดั่งสัตว์อสูรก็มิปาน เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา
ในช่วงเวลานี้ ผู้คนไม่น้อยต่างก็ทราบแล้วว่า เหตุใดบุคคลผู้นี้ถึงถูกขนานนามว่าคุณชายควางโซว (พยัคฆ์คลั่ง)
“ ฮูม “
เหลียนคายหยู่ได้ก้าวฝ่าเท้าออกไปยังพื้นที่ด้านหน้าอย่างหนักแน่น ร่างกายก็ได้พุ่งออกไปราวกับสัตว์อสูรตนหนึ่ง นัยน์ตาของเขาแดงเข้ม ทั่วทั้งร่างได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เรียกได้ว่าความบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง
“ เยี่ยจง นับตั้งแต่คุณชายเช่นข้าลงมือมา ไม่เคยยั้งมือไวไมตรีมาก่อน ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะลงมือกับข้า เช่นนั้น—— ก็ตายเสียเถอะ “
ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงสิ้นสุดลง ร่างกายของเหลียนคายหยู่ก็ได้หายวาบไปยังบริเวณเบื้องหน้าของเยี่ยจง ก็ได้พบเห็นกรงเล็บกวาดออกมาคราหนึ่ง วินาทีนั้น ความหวาดกลัวสายหนึ่งก็ได้แผ่ออกมาจากร่างก็กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่
“ กงเล็บกระชากวิญญาณราชาสัตว์ป่า “
เสียงร้องเฮ้อทุ่มต่ำอันเยียบเย็นได้ร้องออกมาในทันที ไอพลังวิญญาณฟ้าดินก็ถูกดึงเข้ารวมตัวกันจนกลายเป็นกรงเล็บมารขนาดใหญ่สายหนึ่ง ให้ความรู้สึกที่บ้าคลั่งชนิดหนึ่งแผ่ออกมา พุ่งพรวดเข้าไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
พลังฝีมือที่มีเพียงแค่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดนี้ สามารถที่จะควบคุมไอพลังฟ้าดินจะกลายเป็นการโจมตีได้ เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดเจน ความสำเร็จของเหลียนคายหยู่ผู้นี้ ยังเป็นทักษะยุทธ์ระดับวิญญาณอีกด้วย
“ ถึงกับเป็นหนึ่งในทักษะยุทธ์ของสำนักเจ้าหวังด้วย “
ยอดฝีมือรอบด้านในตอนนี้ สีหน้าของแต่ละคนก็ได้แปรเปลี่ยน หลายคนที่มองออกถึงกระบวนท่าที่ใช้ออกมานี้ของเหลียนคายหยู่
เงากรงเล็บอันน่ากวาดหวั่นส่งเสียงร้องเข้ามา สีหน้าเยี่ยจงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าภายในดวงตาก็ได้สาดทอเป็นประกายอย่างหนักแน่น นามของคุณชายควางโซวนี้ แน่นอนว่ามิได้ดีแค่ชื่อ
ทันใดนั้น เยี่ยจงก็ได้สะบัดมือคราหนึ่ง ความเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดได้เคลื่อนกายไปทางด้านหลัง จากนั้นก็ขึ้นไปสู่ท้องฟ้าลอยตัวอยู่กลางอากาศราวกับดวงดาว
“ พลังดัชนีเพลิงดาราคล้อย “
ท่ามกลางบนฟ้า มังกรโบราณตัวหนึ่งก็ได้ลอยออกมา ราวกับดวงดาวที่ส่องสว่างนับไม่ถ้วน รวมตัวกันจนกลายเป็นดาวตกสีแดงเพลิง พุ่งชนเข้าปะทะออกไป
“ บรึม “
วินาทีต่อมา ทักษะยุทธ์ทั้งสองสาย ก็ได้เข้าปะทะกันจนฟ้าสั่นสะเทือน
.
.
.
.