ตอนที่ 119 ฉากการตาย
“ เหอะ ช่างน่าขันเสียจริง “ เหลียนคายหยู่จ้องเขม็งไปที่ใบหน้านี้เยาะเย้ยนั้น เสวี่ยหยวนที่ทำให้ผู้คนต่างก็ตกใจกลัว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง “ เสวี่ยซิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เพียงแค่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแค่นั้น ต่อให้ข้างกายเจ้าจะมีคนที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดอีกคนแล้วจะเป็นไร ? พึ่งเจ้าแค่สองคนก็คิดที่จะเก็บกวาดยอดฝีมือมากมายภายในที่นี้งั้นหรือ ? กล่าวราวกับกำลังฝันหวาน “
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลียนคายหยู่ ยอดฝีมือไม่น้อยต่างก็หัวเราะเสียงเย็นชาคราหนึ่ง เป็นอย่างที่เหลียนคายหยู่กล่าวมาก็มิปาน ทางด้านของเสวี่ยซินนั้นมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ยอดฝีมือท่ามกลางสนามมากมายขนาดนี้ คนหนึ่งใช้ทักษะยุทธ์เข้าปะทะออกไปก็สามารถที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นปุ๋ยผงได้แล้ว พวกเขามีคุณสมบัติใดในการจัดการกับผู้คนมากมายเช่นนี้
“ งั้นหรือ ? ช่างไม่รู้อะไรเลย เจ้าดู ขนาดคนเยี่ยงเยี่ยจงเช่นนี้ยังสงบปากสงบคำได้ ในตอนนี้ก็ได้ปิดปากลงอย่างว่าง่าย เพียงแค่เจ้าเหลียนคายหยู่เพียงคนเดียวยังไม่รีบสงบปากสงบคำอีกหรือ “ เสวี่ยซินหัวเราะเย็นชา จากนั้นเขาก็ได้ละสายตาไปจากเหลียนคายหยู่ ทอดตามองไปยังเยี่ยจง สีหน้าปรากฏความเยียบเย็นไร้ที่เปรียบ “ เยี่ยจง เจ้าคิดว่าเจ้าก็เข้าใจดี สิ่งที่ข้าจะทำต่อจากนี้ที่แท้คืออันใด “
“ ซูม “
สิ่งที่ตอบกลับมาให้เสวี่ยซิน กลับเป็นเพียงร่างของเยี่ยจงที่สาดประกายพุ่งเข้ามา บริเวณใจกลางฝ่ามือ ได้ปกคลุมไปด้วยพลังกระบี่ตราประทับซ้อนทับขึ้น ฝ่ามือที่ฟาดออกเข้าปะทะไปยังบริเวณทรวงอกของเสวี่ยซิน เห็นได้ชัดว่าเตรียมการใช้กระบวนท่าที่หมายชีวิตของเขาเอาไว้แต่แรกแล้ว
“ ฮาฮาฮาฮา ใช่แล้ว ใช่แล้ว นี้จึงจะสมควรเป็นการตอบสนอง นี้เป็นการตอบสนองที่แท้จริง ทว่าเยี่ยจง เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าตัวเจ้าเองจะสามารถที่จะสังหารข้าได้ “
พบเห็นเยี่ยจงฆ่าฟันเข้ามา เสวี่ยซินหัวเราะดุร้ายเย็นชา ทันใดนั้นก็พบว่าเขาพลิกมือขวาขึ้นคราหนึ่ง หมัดโลหิตสายหนึ่งได้พุ่งเข้ามาปะทะออกมาอย่างไร้ไมตรี
“ บรึม “
การโจมตีของทั้งสองคนปะทะเข้าหากันราวกับสายฟ้าแลบก็มิปาน ร่างของเยี่ยจงกระตุกคราหนึ่ง ก็ได้ถอยออกไปบริเวณทางด้านหลังนับสิบก้าว สีหน้าปั้นยากถอยกลับออกไป และสีหน้าของเสวี่ยซินก็ได้ขาวซีด แต่ว่าบนหน้าของเขาก็ยังคงปรากฏเค้าโครงดุร้าย ไม่ลดน้อยลงเลย
“ ซวบ “
และในเวลาเดียวกันนี้เอง เสวี่ยสือที่ยืนอยู่บริเวณทางด้านหลังของเสวี่ยซินก็ได้วาดมือออก เลือดสายหนึ่งคล้ายลูกศรสายหนึ่งฉีกผ่านท่ามกลางอากาศออกไป พุ่งไปยังบนท้องฟ้าดังหวือออกมา วินาทีนั้น ท้ายที่สุดก็กลายเป็นดั่งดอกไม้ไฟสีโลหิตอันสวยงามกระจายออกไป
“ อะไรกัน ? “
“ นี้มันเกิดอันใดขึ้น ? “
“ เรื่องราวอันใดกัน ? “
ผู้คนทั้งหมดให้ความสนใจต่อการกระทำของเสวี่ยซินผู้นี้ ในช่วงเวลาที่เสวี่ยซือได้ปล่อยศรโลหิตนี้ออกมา แม้แต่เยี่ยจงก็ยังไม่อาจที่จะตอบสนองได้ทันในเวลานี้
ความจริงแล้วเขาคิดที่จะสังหารเสวี่ยซินในทันที แต่จากที่ดูแล้วละก็ ต่อให้ฆ่าสังหารเสวี่ยซินสำเร็จ ก็ถือได้ว่าช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
บุคคลเช่นหลินเก้ง เหลียนคายหยู่ ฟานหลิงก็ได้เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เวลานี้พวกเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดเยี่ยจงถึงได้ฝืนลงมือออกไปกัน สิ่งที่เสวี่ยสือกระทำออกไปนี้ เมื่อได้มองไปทางด้านของเยี่ยจงที่ปรากฏสีหน้าปั้นยากออกมาหลายส่วนแล้ว พวกเขาก็ได้เปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาในทันที ราวกับคาดเดาบางอย่างออกได้
สีหน้าของเยี่ยจง ในตอนนี้ได้หยุดนิ่งลงในทันที ทันใดนั้นหันกายกลับไปด้วยนัยน์ตาที่เย็นเยียบ กล่าวออกมาอย่างช้าๆ “ พวกเราเคลื่อนไหวช้าไปหนึ่งก้าวแล้ว ความยุ่งยากได้มาแล้ว พวกเราต่างก็ถูกรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาหลอกแล้ว “
หลังจากที่สิ้นเสียง ช่วงเวลาที่แม้แต่ครึ่งถ้วยน้ำชาเดือด ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงนับไม่ถ้วนที่พัดมาตามลมบริเวณทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน เพียงแค่ช่วงเวลาพริบตาเดียว ก็ได้เห็นร่างเงาสีโลหิตเกือบพันเคลื่อนไหวเข้ามาอย่างเงียบเชียบปรากฏขึ้นมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน ร่างกายของผู้คนเหล่านี้สวมใส่ไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีโลหิต สายตาที่สาดประกายออกมาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ปิดล้อมทุกผู้คนท่ามกลางที่แห่งนี้
“ กองทัพปีศาจโลหิตแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา ถึงกับมาแล้วงั้นหรือ “ หลิงเยวี่ยเหม่อมองไปที่ผู้คนเกือบพันนี้ สีหน้าอึ้งทึ่ง กัดฟันกล่าวออกมา
เรื่องราวเมื่อดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ เยี่ยจงและพรรคพวกก็ยืนยันได้ในสิ่งที่คิดเอาไว้ แผนการที่รัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉารอคอยมาเนิ่นนาน ก็เพื่อจารึกเสวี่ยหยวนนี้
“ กองทัพปีศาจโลหิต ? “
สีหน้าหวินหลิงเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะเข้าใจถึงความหมายที่เยี่ยจงบอกออกมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้เห็นเยี่ยจงและพวกที่ไม่ค่อยจะตกใจเท่าไรนัก มีเพียงแค่อารมณ์เย็นเยียบสายหนึ่ง นางก็พอที่จะคาดเดาว่าเกิดอันใดขึ้น ต่อมาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นปั้นยาก เป็นอย่างที่เยี่ยจงกล่าวมา คนมากมายเช่นนี้ ต่างก็ได้ถูกรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาหลอกเอาแล้ว
“ กองทัพปีศาจโลหิตของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา ? “ หลินเก้งแห่งโรงฝึกจ้านหวังหน้าเปลี่ยนสี สายตาของเขาจ้องมองไปยังร่างของเสวี่ยซิน ท่ามกลางนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นหนักแน่นไร้ที่เปรียบ “ เสวี่ยซิน เจ้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา ถึงสามารถที่จะนำเหล่ากองทัพปีศาจโลหิตแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาเข้ามายังถ้ำหงส์หยาแห่งนี้ พวกเจ้ารัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาคิดที่จะเปิดศึกกับรัฐต้าโจวหวังเฉาของข้างั้นหรือ ? ”
“ เสวี่ยซิน เรื่องในวันนี้จะไม่จบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้อย่างแน่นอน พวกเราทั้งสามรัฐตกลงกันแต่แรกแล้ว แต่ละรัฐไม่สามารถที่จะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของถ้ำหงส์หยา วันนี้พวกเจ้ารัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉากลับละเมิดข้อตกลง คิดที่ให้เกิดการนองเลือดกับพวกเราทั้งสองรัฐใหญ่งั้นหรือ ? ” ตอนนี้แม้แต่เหลียนคายหยู่ก็ได้ชักสีหน้าเอ่ยปากกล่าวออกมา
ถึงแม้ท่ามกลางสนามแห่งนี้จะมีคนไม่ถึงร้อยคน แต่ว่าข้อแรกคือคนเหล่านี้ไม่ขลาดเขลา ข้อที่สองผู้คนมากมายที่อยู่ที่แห่งนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ ดังนั้น ถึงแม้ในด้านกำลังคนจะเทียบไม่ได้ แต่ว่ากองทัพโลหิตแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาทางด้านหน้านี้ ผู้คนมากมายต่างก็สามารถบอกได้ว่าไร้ความเป็นไปได้ที่จะชนะ
และพลังฝีมือของเสวี่ยซินผู้นี้ ความจริงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คาดเดาออก จะมีใครคาดคิดได้ว่า เพื่อที่จะแย่งชิงแผ่นจารึกเสวี่ยหยวนเพียงชิ้นเดียว เสวี่ยซินถึงกับมีความหาญกล้าเทียบฟ้ากระทำจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่เกรงกลัวที่ดึงดูดการเปิดศึกของทั้งสามรัฐใหญ่ ?
“ เหอะ เหอะ เหอะ องค์ชายอย่างข้าเมื่อครู่ก็บอกไปแล้ว ภายในสามลมหายใจหากไม่ไสหัวไปแล้วละก็ ก็จะไม่สามารถที่จะจากไปได้ตลอดกาล “ เสวี่ยซินยิ้มออกมาเล็กน้อย เพียงแต่ว่าภายในรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีแต่ความเยียบเย็นอย่างที่สุด “ ผลสุดท้ายพวกเจ้าก็ไม่มีผู้คนคิดที่จะไสหัวไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ทั้งหมดก็ทอดร่างไว้ที่แห่งนี้ก็แล้วกัน “
“ ขอเพียงแค่พวกเจ้าทั้งหมดทอดร่างไว้ในที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้ได้ไปตลอดกาล ว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดภายในถ้ำหงส์หยาแห่งนี้ ? มิใช่หรือ ? “ เสวี่ยซินหัวเราะอย่างน่าเกียจจ้องมองไปที่สีหน้าของผู้คนมากมาย สีหน้าเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด
ราวกับต้องการที่จะรวมกำลังกันคุกคามเสวี่ยซินก็มิปาน เหล่ากองทัพปีศาจโลหิตในตอนนี้ก็ได้หัวเราะเสียงเย็นชาขึ้นมา และภายใต้ความเย็นชาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของกลิ่นคาวเลือด ในตอนนี้ก็ได้แผ่กระจายออกไป ครอบคลุมเข้าสู่ทุกแห่งหน ทำให้ยอดฝีมือมากมายอดไม่ได้ที่จะต้องเปลี่ยนสีหน้า
“ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร ? ซูหยี่ขมวดคิ้วจ้องมองไปทางด้านเสวี่ยซินที่กำลังบ้าคลั่งอย่างหนักแน่น สีหน้าดูยากเต็มสิบส่วน สถานการณ์ในตอนนี้เมื่อเทียบกับตอนที่ทั้งสองคนอยู่ที่อารามก่อฟ้าก่อนหน้านี้ ถือได้ว่ายุ่งยากกว่าหลายส่วน
หลังจากที่เงียบงัน หลิงเยวี่ยและพวกก็ได้มองดูการตัดสินใจของเยี่ยจงคราหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยจงจะมีเพียงแค่อายุสิบสามสิบสี่ปี แต่ว่าวันเวลาที่ผ่านพ้นความยากลำบากมามากมายก็ได้ทำให้ร่างกายของเขาสูงใหญ่ ราวกับเด็กหนุ่มที่มีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีก็มิปาน เพิ่มเติมด้วยการจัดการเรื่องราวต่างๆด้วยแล้ว เรื่องราวมากมาย บุคคลเช่นหลิงเยวี่ยก็ยังรอฟังความคิดเห็นของเขาที่มีอายุที่น้อยกว่า ราวกับว่าเขาเป็นดั่งหัวหอกการเคลื่อนไหวของกลุ่มก็ว่าได้
ดังนั้น ขณะนั้นเอง สายตาทุกคู่ของผู้คนทั้งหมดก็ได้ทอดตามองได้ยังร่างของเขา และหลังจากที่เหล่ายอดฝีมือของเกาะหมอกควันครุ่นคิดแล้ว ก็ได้มองดูเยี่ยจง เห็นได้ชัดว่า พวกเขาก็ต้องการฟังว่า เยี่ยจงมีความคิดเห็นอย่างไร
“ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะให้รัฐต้าโจวหวังเฉาสมารถได้จารึกเสวี่ยหยวนไปได้ ต่อให้ต้องทำลายจารึกเสวี่ยหยวนไปก็ตาม ก็มิอาจให้พวกเขาได้ไป “ ผู้คนมากมายเหม่อมองเป็นสายตาเดียวกัน หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว ก็ได้หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นคราหนึ่ง
ทว่าภายคำพูดเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากคำพูดไร้สาระก็มิปาน ตอนนี้กองทัพปีศาจแห่งรัฐต้าโจวหวังเฉาก็ได้ปรากฏออกมาแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คิดที่จะแย่งชิงจารึกเสวี่ยหยวนนั้นถึงว่ายากเย็นยิ่ง ไม่ต่างจากการแตะขอบฟ้าเลย
“ ศิษย์น้องเยี่ยจง เจ้ารับผิดชอบนำพาพวกเขาออกไป แม้ข้าจะต้องใช้ตัวเองเข้าแลก ก็ต้องทำลายจารึกเสวี่ยหยวนนั้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นถ้าหากให้จารึกเสวี่ยหยวนตกอยู่ในการครอบครองของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาแล้วละก็ เกรงว่ารัฐต้าโจวหวังเฉาของพวกเราจะไร้วันข้างหน้าแล้ว “ หลังจากที่หลิงเยวี่ยครุ่นคิดแล้ว ก็กัดฟันเอ่ยปากออกมา สายตาที่มองออกไปทางด้านนอก ปรากฏความไม่เหมาะสมกับวัยเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็เข้าใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากคิดที่จะจากไปอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลย
“ พวกท่านวางใจเถอะ ให้ข้าจัดการเอง “
เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมาเล็กน้อย ครั้งนี้ความรู้สึกที่ไม่พอใจของเขามีอยู่เต็มสิบส่วน ทำให้เขาคิดถึงฉากเมื่อครั้งนั้นที่เขาทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตสามฟ้า ช่วงเวลานั้น ยอดฝีมือชิวเป่ยไห่เข้ามาถึงประตู และอาจารย์ปู้เยียนก็ได้กระซิบที่ข้างหูของตนเอง “ เยี่ยจง เจ้าวางใจเถอะ ให้ข้าจัดการเอง “
เพียงแต่ ในสถานการณ์ที่ปู้เยียนราวกับถูกมัดมือมัดเท้า ไม่อาจที่จะวางมือเข้าต่อสู้ ฉากสุดท้ายก็คือ …………
หลังจากที่คิดรำลึกแล้ว เยี่ยจงก็ได้สูดหายใจคำหนึ่ง ตลอดมาราวกับห่างไกลหรือไม่ใกล้ชิด ทำให้เขามีความรู้สึกนึกย้อนกลับขึ้นมาชนิดหนึ่ง ในตอนที่ได้เหม่อมองนัยน์ตาบนใบหน้าอันงดงามของหลิงเยวี่ย เยี่ยจงก็ราวกับรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภายในสายตาเช่นนี้ของนาง ราวกับเห็นภาพอาจารย์ปู้เยียนทับซ้อนกันขึ้นมา
ขณะนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้ยื่นมือออกไป คว้าไปที่ข้อมือของหลิงเยวี่ยในตอนนี้ที่กำลังจะบีบไปที่ยันต์วิญญาณอยู่หลายแผ่นที่พึ่งได้พลิกมือนำออกมา ทันทีที่ได้สัมผัสข้อมือ ผิวหนังของหญิงสาวที่มีแต่ความเย็นเยียบ ทำให้เยี่ยจงรู้สึกร้อนรนเล็กน้อยภายในจิตใจ แต่ว่าทันทีต่อมา เยี่ยจงก็ได้ส่ายศีรษะไปมา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ ศิษย์พี่โปรดวางใจ เวลานี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องก้าวไปถึงขั้นนั้น อีกทั้งต่อให้ต้องก้าวเข้าไปสู่ขั้นตอนนั้นแล้วละก็ ยังจำเป็นที่จะต้องให้เด็กสาวผู้หนึ่งเช่นท่านกระทำเรื่องเช่นนี้อีกงั้นหรือ “
“ ใช่แล้ว คำพูดไร้สาระในเวลานี้ได้จบลงแล้ว องค์ชายเช่นข้าก็มิได้มีความชื่นชอบที่จะต่อปากต่อคำอันไร้สาระนี้ต่อไป “ ใบหน้าของเสวี่ยซินได้เผยรอยยิ้มอันตื่นเต้น “ ทว่า ก่อนหน้าที่องค์ชายอย่างข้าจะลงมือ สามารถที่จะให้โอกาสแก่พวกเจ้าครั้งหนึ่ง ขอเพียงแค่พวกเจ้าสามารถที่จะฆ่าสังหารเหล่าคนที่เรียกว่าร่วมสำนักเดียวกันแล้วละก็ เช่นนั้นองค์ชายเช่นข้าก็จะรับพิจารณา เก็บพวกเจ้าเอาไว้ทาสของราชวงศ์ของข้าเอง ? ดีหรือไม่ ? การแลกเปลี่ยนนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม ? “
หลังจากที่กล่าวจบ เสวี่ยซินก็เพิ่มความบ้าคลั่งในการหัวเราะฮาฮาออกมา
เพียงแต่ว่า ในระหว่างที่กำลังหัวเราในครั้งนี้ สีหน้าผู้คนมากมายก็ได้ปรากฏความเย็นเยียบขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่มีผู้ใดที่เชื่อในคำพูดของเขาเลย
“ เป็นไร ? ไม่มีใครที่จะยอมรับโอกาสที่มอบให้ครั้งนี้งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ช่างน่าเสียดายเสียจริง ดูเหมือน ยังคงจัดการให้พวกเจ้ากลายเป็นแค่ก้อนเลือดให้เรียบร้อยก็พอแล้วสินะ “ เสวี่ยซินและเสวี่ยสือสบตามองกัน จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ภายในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยจงหรือเป็นเหลียนคายหยู่ หรือว่าจะเป็นคนอื่น เกรงว่าตอนนี้ท่ามกลางสายตาของพวกเขาก็เป็นได้แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“ เสวี่ยซิน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น “
ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนไปยอดฝีมือ แต่ว่าหลินเก้งและฟานหลิงเป็นต้นที่กำลังคิดที่จะถอยหนี เยี่ยจงก็ได้ก้าวเดินนำหน้าออกไป อีกทั้งใบหน้ายังเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นไร้ที่เปรียบ บรรยากาศความเป็นปรปักษ์ที่อยู่ภายในกายได้แผ่ออกมา พลังในระดับนี้ ช่างกล้าหาญจนน่าตกใจ
.
.
.
.