ตอนที่ 133 การพบกันที่ยากลำบาก
“ ที่แห่งนี้คือภายในของตำหนักยันต์มนต์ตรางั้นหรือ ? “ เยี่ยจงกวาดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ด้านอย่างประหลาด จากนั้นก็ได้ทอดสายตามองไปยังขอบเตียงที่ตนเองพึ่งจะลุกขึ้นมา และในครั้งนี้ เขาก็ต้องกรอกตาไปมา
เมื่อครู่ที่ยังไม่ทันได้ให้ความสนใจ เขาในตอนนี้ก็พบว่า บนเตียงนั้นมีลักษณะเป็นสีชมพู ลวดลายด้านบนเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า และบริเวณหัวเตียง ก็ได้มีโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ ดูแวบแรกก็ทราบได้ว่าเป็นห้องหับของเด็กสาว เพียงแต่ว่า เมื่อครู่เขากลับยังไม่ทันได้ใส่ใจก็เท่านั้น
หรือกล่าวได้คือ บุคคลเช่นซูหยี่นั้นคงไม่หลอกหลวงตนเอง เห็นได้ชัดว่า ที่แห่งนี้สมควรที่จะเป็นหอพักของหลิงเยวี่ยอย่างมิต้องสงสัย
“ เยี่ยจง เจ้าตื่นแล้วหรือ ? “
ในตอนที่ใบหน้าของเยี่ยจงได้เปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน ก็ได้มีเสียงใสๆที่แฝงไว้ด้วยความยินดีดังออกมาสายหนึ่ง ออกมาจากทางด้านลานกว้างของสวนนี้อย่างกะทันหัน ทุกผู้คนต่างก็หันกายมองไป ก็ได้ว่าบริเวณประตูทางเข้าลานกว้างของสวนได้ถูกเปิดออกมา ก็ได้มีหญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวถือไว้ด้วยตะกร้า ยืนอยู่อย่างเงียบงัน
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าได้เกิดความยินดีมากจนเกินไป ในช่วงเวลาที่ผู้คนได้กวาดสายตามองเข้าไป หญิงสาวก็ได้ยื่นมือปิดไปที่ปากน้อยๆของตนเอง ตะกร้ายาถึงกับร่วงหล่นลงสู่พื้น
นางที่ยืนอยู่ท่ามกลางร่มเงาเช่นนี้ ร่างกายอันผอมบางได้สวมไว้ด้วยชุดกระโปรงสีขาว เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่สวยงาม และภายใต้ผ้าคลุมหน้าอันเบาบางในตอนนี้ได้ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจนมิอาจมองเห็นได้ชัด แต่ทว่าก็ยังเผยให้เห็นดวงตาอันงดงามทั้งคู่ ที่ในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี
เมื่อพบเห็นหญิงสาวในลักษณะนี้ ก็ได้เห็นผิวอันขาวผ่องราวหยกอันล้ำค่า ติดตราตรึงภาพอันงดงามนี้อยู่ภายในห้วงความคิดของเยี่ยจง และร่างกายของนางในตอนนี้ก็ได้มีพลังกายและพลังใจออกมา เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งก่อนที่อยู่ที่พื้นที่ไร้ความวุ่นวายนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันกับเมื่อครั้งที่อยู่ภายในโขนหินปีศาจ
ในตอนที่ได้เหม่อมองไปยังหญิงสาวที่เป็นดั่งนางเซียนท่ามกลางดอกไม้ เยี่ยจงก็ต้องตะลึงคราหนึ่ง อดที่จะมองอย่างวุ่นวายมิได้ และถึงแม้ตามลักษณะนิสัยของเขา ต่อให้มีภูเขาไทซานมากดทับเอาไว้ก็ไม่รู้สึกว้าวุ่นได้เช่นนี้
ซูหยี่และพวกเมื่อพบเห็นอากัปกิริยาของหลิงเยวี่ยและเยี่ยจงมีความแปลกประหลาด สีหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นประหลาดใจอยู่หลายส่วนในเวลาเดียวกัน พวกเขาแม้จะมิได้กล่าวอันใด เพียงแต่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มเหม่อมองฉากเบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่ากำลังรอดูการแสดงบางอย่างอยู่
หลังจากที่บรรยากาศเช่นนี้ได้ผ่านเลยไป ซูหยี่ก็ค่อยก้าวออกมาด้านหน้า ยื่นมือตบไปที่ไหล่ของเยี่ยจงหลายครา เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ ศิษย์น้องเยี่ยจงหนอ เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่ตื่นขึ้นมาหลายวันมานี้ ไม่เพียงแต่แผ่กายนอนสูดดมความหอมหวนของเตียงศิษย์พี่หลิงเยวี่ย อีกทั้ง ศิษย์พี่หลิงเยวี่ยหลายวันมานี้ก็ต้องอดหลับอดนอนดูแลเจ้า หลายวันมานี้เจ้าได้ใช้โอสถรักษาไปไม่น้อยเลย อีกทั้งโดยส่วนมากจะเป็นศิษย์พี่หลิงเยวี่ยลงมือทั้งป้อนทั้งทาให้กับเจ้าเองกับมือ ……. ศิษย์พี่หลิงเยวี่ยของพวกเรา ภายในสามรัฐใหญ่ทั้งสามนี้ นางเซียนหลิงเยวี่ยที่ผู้คนต่างก็รู้จักกันดี …….. ถ้าหากถูกผู้อื่นรู้เรื่องเข้าละก็ นางในฝันของพวกเขาได้มาดูแลเจ้าตัวร้ายผู้หนึ่งเช่นนี้แล้วละก็ ข้าคิดว่า เจ้าจะถูกผู้คนทุบตีจนตายหรือไม่กัน ? “
ซูหยี่หัวเราะเสียงดัง หุหุ มองไปทางด้านเยี่ยจง สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว เยี่ยจงก็ถึงกับตัวแข็งทื่อครู่หนึ่ง เขานับได้ว่ามีความเข้าใจหลิงเยวี่ยอยู่หลายส่วน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง หากมิใช่นางไม่ยินยอมแล้วละก็ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจที่จะฝืนใจนางให้ทำเรื่องราวใดๆได้ และในตอนนี้ นางถึงกับให้ตนเองมาอยู่ในห้องหับของนางเพื่อรักษาตัว …….
“ ศิษย์น้องซู เจ้าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลไป หากทำให้ศิษย์น้องเล็กตกใจคงจะไม่ดีแล้ว “ ในช่วงเวลาที่เยี่ยจงได้ละสายตาไป หลิงเยวี่ยก็ได้เดินเข้ามา นางยื่นมืออันขาวผ่องราวกับหิมะอันบอบบางออกมา ค่อยๆลูบไปยังบริเวณศีรษะเยี่ยจงเล็กน้อย ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ เจ้าอย่าได้คิดวุ่นวายไปเลย สถานที่ของข้าแห่งนี้เป็นสถานที่เรียกได้ว่าเงียบสงบและปลอดภัยที่สุดภายในลัทธิแห่งดวงดาวก็ว่าได้ เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่แห่งนี้ก็จะมิมีผู้ใดกล้าที่จะมารังควานเจ้า …… อีกทั้ง …… “
ในตอนที่กล่าวถึงตอนนี้ ใบหน้าของหลิงเยวี่ยก็ได้แดงผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่าหลังจากที่ได้ครุ่นคิด นางก็ได้กล่าวเสียงแผ่วเบา “ อีกทั้ง ชีวิตของข้านี้ก็เป็นเจ้าที่ช่วยเอาไว้ สิ่งที่ข้าเคยบอกไป เจ้าสมควรน่าจะจำได้อยู่นะ ? “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ตัดสินใจที่จะยกมือซ้ายขึ้นมา ลูบไปแตะที่แก้มของตนเอง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำก็ต้องสูดลมหายใจออกมาเบาๆ
“ อย่าได้แตะนะ อย่าได้คิดนะ “
เมื่อได้เห็นกิริยาของเยี่ยจง หญิงสาวถึงกับเกิดความเอียงอายร้องเชอะออกมาเสียงเบาๆ
“ อ๋อ “
เฮ่อฟงและหวังโม่ที่อยู่ทางด้านหลังได้สบตากัน ในเวลาเดียวกันนั้นภายในน้ำเสียงนั้นก็มีแต่เพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่ทราบความนัย หวังโม่ยิ่งดีดนิ้วเสียงดังขึ้นมาคราหนึ่ง ยิ่งได้ทำให้ใบหูของหลิงเยวี่ยแดงยิ่งขึ้น
ซูหยี่และหลู่ปิงเมื่อได้มองเห็นฉากเบื้องหน้า ช่วงเวลานั้นก็ราวกับกล่าวอันใดไม่ออก ถึงแม้ว่าพวกนางต่างก็พอที่เดาได้ ในช่วงเวลาตอนสุดท้ายที่เยี่ยจงได้ไปช่วยหลิงเยวี่ย ทั้งสองคนสมควรที่จะต้องเกิดเรื่องราวบางอยู่ขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ตามลักษณะนิสัยของหลิงเยวี่ย ยิ่งไม่อาจที่จะให้เยี่ยจงเข้ามาพักฟื้นในพื้นที่ของนางได้
จากที่ดูในตอนนี้แล้วละก็ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน ยังคงถือได้ว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ?
“ ศิษย์พี่หลิงเยวี่ย ข้าเคยได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า ถ้าหากมีผู้ใดที่สามารถทำให้ท่านปลดผ้าคลุมหน้าลงได้ ท่านจะ …….. “ ซูหยี่เอ่ยปากกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ แค่ก แค่ก แค่ก “
เยี่ยจงจู่ๆก็ได้ไอขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาได้ใช้แรงในการโบกมือไปมา สีหน้าจึงได้กลับมาอย่างปกติ และจากนั้นก็ได้ยิ้มไปให้แก่หลิงเยวี่ยคราหนึ่ง “ แต่ในช่วงท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังนับว่าติดค้างศิษย์พี่ท่านที่ตามคนมาช่วยไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ในครั้งนี้ข้าไม่แน่ว่าก็มิอาจที่จะกลับมาได้ “
“ เจ้าก็อย่าได้โอ้อวดไป ในตอนที่ได้ไล่ข้าไป เห็นๆอยู่ว่าตนเองไม่อาจที่จะจัดการเจ้าพวกเด็กน้อยที่มากมายเช่นนั้นได้ ยังคิดว่าตนเองมีความกล้าหาญอีก “ หลิงเยวี่ยร้องเชอะแล้วกล่าว
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ยิ้มพร้อมส่ายศีรษะไปมา ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น หากว่าหลิงเยวี่ยไม่จากไปแล้วละก็ ไม่แน่ว่าคงจะไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ดีเช่นนี้ หากคาดคำนวณดูแล้วละก็ ถึงแม้เยี่ยจงจะได้รับบาดเจ็บสาหัต แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถรักษาชีวิตน้อยๆเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะมองเหตุการณ์เช่นนี้อย่างไร ก็กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ได้เอาเปรียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ แต่ว่า หากว่ามีครั้งต่อไปแล้วละก็ ในครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวอันใด ข้าก็จะไม่หนีไปไหน “ เมื่อพบเห็นสีหน้าที่ไร้คำพูดของเยี่ยจงแล้ว หลิงเยวี่ยก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หลังจากที่เยี่ยจงเงียบงันก็ได้หัวเราะออกมาคราหนึ่ง เรื่องที่ใช้ชีวิตเข้าเสี่ยงเช่นนี้ ครั้งเดียวก็นับได้ว่าเกินพอ เขาไม่ต้องการที่จะมีครั้งต่อไปอีกแล้ว
“ ใช่แล้ว ทางด้านผู้อาวุโสของสาขาในก็ได้มาดูอาการบาดเจ็บของเจ้าเช่นกัน ผู้อาวุโสกล่าวว่า อาการบาดเจ็บภายนอกของเจ้านั้นถือว่าไม่หนัก แต่ว่าการที่ฝืนใช้โอสถระเบิดพลังไปทั้งหมดหกชิ้นนั้นทำให้ได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก และผู้อาวุโสท่านนี้ก็เป็นผู้แตกฉานวิชาปรุงโอสถ แต่ว่าก็ไร้วิธีที่จะตรวจจับอาการบาดเจ็บภายในของเจ้าได้ เขาบอกว่า อาการบาดเจ็บภายในเช่นนี้ มีแต่เพียงช่วยตนเองรักษาเท่านั้น อีกทั้ง หากว่าเจ้าสามารถแก้ไขอาการบาดเจ็บภายในแล้วละก็ เช่นนั้นการกลืนโอสถระเบิดพลังในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าจะนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ใหญ่หลวง “ เมื่อพบเห็นสีหน้าของเยี่ยจงไร้อารมณ์ ต่อมาหลิงเยวี่ยหันกล่าวมากล่าวในหัวข้อเดิม
“ โอกาสงั้นหรือ ? “ หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็เกิดความสงสัยและสายศีรษะไปมา และจากนั้นเขาก็ได้หลับตาลงราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
ท่ามกลางการสำรวจภายใน เยี่ยจงก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใดปรากฏขึ้นมา ทั่วทุกบริเวณของกำลังภายในตนเองที่เต็มไปด้วยอาการบอบช้ำ แม้กระทั่งท่ามกลางเส้นลมปราณก็ยังก็แตกซ่าน รวมไปทั้งลมปราณภายในร่างกายที่เป็นลมปราณโจวเทียนก็ได้สูญหายไป
“ นี้มัน “
หลังจากที่ได้สำรวจภายในแล้ว สีหน้าของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้ในครั้งนี้ตนเองจะบาดเจ็บสาหัต แต่ว่า เป็นเพราะลมปราณภายในเส้นลมปราณได้ดูดกลืนโอสถระเบิดพลังไว้ เป็นเพราะความเกี่ยวโยงของลมปราณที่ได้ปะทุขึ้นอย่างมหาศาล อย่างน้อยก็ได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่าตัวได้ ถ้าหากว่าตนเองสามารถที่จะฟื้นฟูกลับมาได้แล้วละก็ การบาดเจ็บหนักในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนดั่งการฝึกปรือก็ว่าได้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลย
“ แน่นอนว่า ข้าก็มิได้ต้องการที่จะให้เจ้าพึ่งพาตนเองจนถึงที่สุด โอสถเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พวกเราลัทธิแห่งดวงดาวมี เจ้าสมควรใช้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น อย่าลืมกินข้าวซะละ แล้วก็อย่าใจเกรงอกเกรงใจไป “
ในตอนที่คุยกัน ระหว่างนั้นเยี่ยจงก็ได้นำตะกร้าโอสถที่ถูกจัดวางไว้อยู่ด้านบนของโต๊ะหิน จากนั้นก็ได้นำออกมาวางไว้อย่างรวดเร็วให้เห็นเป็นขวดๆอยู่ไม่น้อย วางไว้ด้านบนโต๊ะจำนวนไม่น้อย
เยี่ยจงเพียงแต่มองดูคราหนึ่ง โดยส่วนมากก็สามารถที่จะจดจำออกว่าโอสถส่วนหนึ่งเหล่านี้เป็นเขาทั้งสองคนที่ได้เข้าไปยังด้านในของถ้ำหงส์หยาได้มา และเป็นที่ชัดเจนว่า โอสถที่มีค่ามากไร้ที่เปรียบเหล่านี้ในตอนนี้ก็ได้ถูกหลิงเยวี่ยนำออกมาทั้งหมดแล้ว
หลังจากที่ได้กล่าวจบ หลิงเยวี่ยในตอนนี้กลับนึกหาหัวข้อสนทนาไม่ออก เพียงแต่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ แต่ก็มิได้มีความตั้งใจที่จะจากไป
“ แค่ก แค่ก แค่ก “
ในครั้งนี้เป็นเสียงไอของหวังโม่ดังขึ้นมา หลังจากที่ได้ไอไปแล้ว เขาก็ได้ส่ายศีรษะแล้วกล่าวออกมา “ เยี่ยจงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ช่วงนี้ข้าเป็นห่วงเจ้าจนไม่เป็นอันได้พักผ่อน ข้าจะไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกก่อนละ พวกท่านค่อยๆคุยก็แล้วกัน “
“ ใช่ใช่ใช่ พวกเราคงต้องไปพักผ่อนกันแล้ว “ ซูหยี่เป็นผู้ที่มีปฏิกิริยาได้รวดเร็วที่สุด รางก็ได้เผยรอยยิ้มอันงดงามและขี้เล่นไปทางด้านของเยี่ยจง และจากนั้นก็ได้ลากหลู่ปิงและเฮ่อฟงทั้งสองคน ถอยออกไปจากสวนไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาได้ผ่านเลยไปไม่นานนัก ท่ามกลางเงียบสะงัดภายในสวน ก็หลงเหลือไว้แต่เพียงเยี่ยจงและหลิงเยวี่ยทั้งสองคน
“ เอ่อ นี้มัน ท่าน ……. ไม่ต้องไปพักผ่อนหรือ ? “
หลังจากที่ได้ผ่านสภาพการณ์ที่อึดอัดเช่นนี้ไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้เอ่ยปากถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“ ที่แห่งนี้เป็นที่สถานที่พักของข้าเอง “ หลิงเยวี่ยตัดสินใจที่จะเอ่ยปากกล่าว ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดจบ ใบหูของนางก็ได้มีสีแดงเล็กน้อยขึ้นมา
“ เรื่องนี้ข้ากลับลืมเลือนไปแล้ว “ เยี่ยจงยื่นมือออกมาเกาที่ศีรษะ “ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะย้ายสถานที่ …….. “
“ ชิ่ว “
หลิงเยวี่ยยกมือทำสัญญาณให้หยุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็ได้จ้องมองไปที่เยี่ยจงด้วยความเงียบเชียบ แล้วนางก็ยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ เยี่ยจง เจ้าตอนนี้ยังจำได้ไหม คำพูดก่อนหน้านี้ที่ข้าได้บอกต่อไป ? “
“ ข้าเคยบอกไว้ ถ้าหากพวกเราสามารถมีชีวิตกลับมาได้ ข้าจะให้เจ้าได้มองข้าอีกครั้ง ดีหรือไม่ ? “
เยี่ยจงเหม่อมองไปที่หลิงเยวี่ยด้วยสายตาเปลี่ยนเป็นระมัดระวังอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็หัวเราะฮาฮาขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมาอย่างช้าๆ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางออกมา เข้าไปเกี่ยวผ้าคลุมหน้าที่อยู่ตรงปิดบังใบหน้าของหลิงเยวี่ยเบาๆ
หลิงเยวี่ยขยับนัยน์ตาคราหนึ่ง ขนตาอันยาวสั่นไหวไปมาไม่หยุด แต่ว่านางก็มิได้ถอยไป แล้วก็ได้จ้องมองเยี่ยจงไปราวกับมองเห็นแสงจันทร์เต็มดวง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ช่วงเวลาในตอนนี้ราวกับว่าได้หยุดลงก็มิปาน ทันใดนั้นเอง นิ้วมือของเยี่ยจงก็ได้สั่นเทา แล้วค่อยยื่นไปยังผ้าคลุมหน้าสีขาว ปลดลงมาเบาๆจากใบหน้าของหลิงเยวี่ย
ในห้วงสมองของเยี่ยจงราวกับได้ตีกันไปมา นิ้วมือของเขายังคงไม่หยุดที่จะสั่นเทาลงได้
หลิงเยวี่ยในตอนนี้ บนใบหน้าราวกับว่ารอยยิ้มบางๆขึ้นชั้นหนึ่ง แต่ว่าภายในการแสดงออกเช่นนี้ ความงดงามเช่นนี้กลับยิ่งทำให้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมากกว่าครั้งที่แล้ว
แต่ว่า ในข้อนี้นั้นไม่สำคัญ จุดที่สำคัญก็คือ ในตอนนี้เมื่อได้มองดูหลิงเยวี่ย ความคล้ายคลึงกับปู้เหยียนอย่างน้อยก็มีเสียกว่าแปดส่วนแล้ว เยี่ยจงไม่อาจที่จะลืมเลือนใบหน้าของทั้งสองคน จนทำให้ภายในหัวเกิดเสียงร้องดังอุงๆขึ้น
“ เจ้า ใช่อาจารย์ของข้าจริงหรือ “
เยี่ยจงชี้นิ้วไปมีที่ผ้าคลุมหน้าของหลิงเยวี่ย แล้วก็ได้เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา
.
.
.
.
#เป็นตอนที่แปลยากตอนหนึ่งอยู่นะครับ #แปลไปจิกหมอนไป #5555