ตอนที่ 141 เจ้าก็คือเยี่ยจง
ในทันทีที่ผู้คนทั้งหมดต่างก็ยังไม่ทันจะตอบสนองกลับมา ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏอยู่ด้านข้างของห้องโถงแล้ว เขาก็ยืนอยู่ในที่แห่งนั้นในทันที ร่างกายอบอวนไปด้วยแรงกดดัน
เยี่ยถงเป็นคนแรกที่มีการตอบสนองกลับมา นางเหม่อมองไปยังเงาร่างที่ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าสายตาตนเองอย่างกะทันหัน วินาทีนั้นก็ได้แน่นิ่งลง ถึงแม้ว่าเยี่ยจงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนถึงขั้นเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ เยี่ยจงในตอนนี้และเยี่ยจงก่อนหน้านี้ราวกับคนละคนก็มิปาน แต่ว่านางก็ยังจดจำได้ทันทีว่าบุคคลเบื้องหน้านี้ก็คือเยี่ยจง
“ เยี่ยจง …… “
เยี่ยถงเอ่ยปากกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่หลายส่วน
เยี่ยจงพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ “ ข้าเอง “
“ เจ้าก็คือเยี่ยจง ? “
ซูเหวินตงในตอนนี้ค่อยมีปฏิกิริยากลับมา ร่างกายของเขาขยับถอยหลังไปเองราวครึ่งก้าว จากนั้นก็ได้ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่หลายครา กล่าวตอบออกมาทีละครับ
เจรียงหยูและผู้คุ้มกันตระกูลซูเหล่านี้ ตอนนี้ก็ได้มีการตอบสนองกลับมาเช่นกัน แต่ว่าใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้ก็ได้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ก็เพราะว่าความจริงแล้วพวกเขายังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเยี่ยจงก็ถึงได้ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางห้องโถงกลางแห่งนี้โดยไร้สุ่มเสียงได้ อีกทั้ง พวกเขาและเยี่ยถงนั้นไม่เหมือนกัน เยี่ยถงนั้นแทบจะไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกเลย แต่ว่าพวกเขากลับเข้าใจดี เยี่ยจงได้เข้าร่วมกับลัทธิแห่งดวงดาว นี้จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาคิดที่จะต้องการลงมือสังหารเยี่ยถงในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีสถานะเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวผู้หนึ่ง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้แล้ว เยี่ยจงในตอนนี้ มิใช่เป็นบุคคลที่พวกเขาจะสามารถล่วงเกินได้อีกแล้ว
เมื่อมองดูฉากเบื้องหน้า เยี่ยถงก็ได้อ้าปากน้อยๆขึ้น บนใบหน้าปรากฏความตกตะลึง ความจริงแล้วในหัวของนางนั้นแทบจะคิดตามไม่ทัน ว่าเหตุใดเยี่ยจงถึงได้ปรากฏตัวออกมา ซูเหวินตงผู้นั้นก็ได้ปรากฏสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที และเจรียงหยูก็เป็นอีกคนที่อ้าปากตาค้างเช่นกัน ถึงกับไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะลงมือ
“ ฆ่าเขาซะ “
หลังจากนั้นสีหน้าของเจรียงหยูก็ได้เปลี่ยนไป แล้วก็ได้ส่งเสียงร้องกล่าวออกมา ไม่ว่าเยี่ยจงปรากฏตัวออกมาในที่แห่งนี้ได้อย่างไร เขายังไงก็ต้องลงมืออยู่ดี
“ ตูม “
ผู้คุ้มกันตระกูลซูหลายสิบคนเพียงแค่ในช่วงที่กำลังลังเลอยู่ ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าวในเวลาเดียวกัน กระบี่ยาวในมือก็ได้กวาดเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่เข้าไป
เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา จากนั้นกวาดเท้าขวาออกไปเล็กน้อย วินาทีนั้นก็พบเห็นเสียงของสายตัดฝ่าออกไป ผู้คุ้มกันหลายสิบคนของตระกูลซูที่กำลังลงมือแม้แต่เสียงร้องก็ยังไม่ทันจะร้องออกมา ก็ต้องทอดร่างล้มลงไปเช่นนั้น
ผู้คุ้มกันตระกูลซูเหล่านี้มีพลังฝีมือเพียงแค่ขั้นก่อเกิดระดับที่สามเท่านั้น ความจริงเยี่ยจงแทบจะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย เพียงแค่ชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว ผู้คุ้มกันตระกูลซูเหล่านี้ก็ได้ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นนับไม่ถ้วน ไม่หลงเหลือแม้แต่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
เยี่ยถงตัดสินใจหันศีรษะกลับ ในตอนที่พบเห็นสภาพศพเหล่านี้ บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความตื่นตกใจ ถึงแม้นางจะทราบว่าเยี่ยจงในตอนนี้ไม่ใช่คนพิการที่เส้นชีพจรทั้งหกแตกซ่านแล้ว แต่ว่านางก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงถึงกับมีความแข็งแกร่งได้จนถึงขั้นนี้ได้ เพียงแต่ว่าแค่โบกมือไปมาไม่กี่ครา ผู้คุ้มกันตระกูลซูเหล่านี้ก็ได้ทอดร่างลงไปนับไม่ถ้วนแล้วงั้นหรือ ?
บุคคลเบื้องหน้าสายตานี้ ใช่พี่ชายเยี่ยจงที่เป็นคนไร้ประโยชน์ผู้นั้นจริงหรือ ?
เยี่ยจงยื่นมือลูบไปที่ศีรษะของเยี่ยถงไปมา เขามิได้กล่าวอันใดมากมาย เพียงแต่ขยับสายตาคราหนึ่ง แล้วก็หยุดอยู่ที่ร่างของซูเหวินตง
“ เยี่ย เยี่ยจง …….. ข้าทราบว่าเจ้านั้นร้ายกาจมาก ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป …….. ข้ายินดีที่จะมอบทักษะยุทธ์ของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ทั้งหมดคืนให้ ยังมีของสิ่งอื่นอีก ขอเพียงท่านสามารถปล่อยข้าไป “ ซูเหวินตงราวกับทราบเรื่องราวของเยี่ยจงเป็นอย่างดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายของเขาขยับสั่นไหว แต่ว่าก็มิได้คิดที่จะลงมือแต่อย่างไร เพียงแต่เหม่อมองดูเยี่ยจง เอ่ยปากด้วยคำถามที่สั่นทอ
“ เจ้าทราบเรื่องของข้ามากนักงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงมองดูซูเหวินตงแล้วกล่าวถาม
“ ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่อารามก่อฟ้าของคุณชายเยี่ยท่าน ยังมีเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นที่ลัทธิแห่งดวงดาว ข้าต่างก็เข้าใจดี …….. แต่ว่าคุณชายเยี่ยโปรดวางใจ ข่าวสารเหล่านี้ข้าพึ่งจะได้รับมาหมาดๆ ยังไม่ทันได้กลับไปรายงานให้แก่ทางตระกูล ขอเพียงคุณชายเยี่ยยั้งมือไว้ไมตรี เช่นนั้นผู้คนภายในเมืองเยียจิงก็จะไม่มีผู้ใดทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้ …….. “ เมื่อได้มองเห็นลักษณะของเยี่ยจง ซูเหวินตงก็ตัดสินใจด้วยอาการสั่นเทา ตอบคำถามกลับไปโดยที่ไม่มีความเท็จแม้แต่น้อย
“ ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ เจ้าก็นับได้ว่าเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับข้าเป็นอย่างดีนิ …….. ทว่าข้าก็แปลกใจอย่างมาก ในเมื่อเจ้าทราบเรื่องราวของข้าดีอยู่แล้ว คนผู้นี้ไม่ทราบว่าอย่างไร ถึงคิดที่จะมาปกป้องชีวิตของข้ากัน ? เขาที่มีเพียงแค่พลังขั้นก่อเกิดระดับที่สี่เนี๊ย ? “ เยี่ยจงกวาดตามองไปยังสีหน้าหวาดหวั่นของเจรียงหยูแล้วเอ่ยปากถาม
เมื่อพบเห็นประกายสายตาของเยี่ยจง นัยน์ตาของซูเหวินตงก็ได้อัดแน่นไปด้วยความเย็นสายหนึ่ง ทันใดนั้นก็พบว่าร่างกายของเขาหายวาบออกไป ใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือฟาดเข้าไปยังด้านหลังของเจรียงหยู
“ เปรี้ยง “
เสียงดังขึ้นสนั่นออกมา ทรวงอกของเจรียงหยูก็ได้ถูกซูเหวินตงแทงเข้าไปจนเป็นรู ทว่าในตอนที่เขาได้ตายลงก็ได้ตอบสนองกลับมาไม่ค่อยได้ เขาคิดที่จะหันหลังไปอย่างยากลำบาก แต่ว่าทันทีที่ทำได้สำเร็จแล้ว ก็ได้ล้มลงไปนอนลงบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ คุณชายเยี่ย เด็กน้อยผู้นี้ชักแม่น้ำทั้งห้ากล่าวออกมา ข้าได้ให้บทลงโทษแก่เขาแล้ว คุณชายเยี่ยโปรดวางใจ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ภายในเมืองเยียจิงจะไม่มีพรรคเงาเพลิงอีกต่อไป “ ซูเหวินตงกล่าววาจาประจบประแจงต่อไป
เยี่ยจงเหม่อมองฉากเบื้องหน้า สีหน้ามิได้เปลี่ยนไปมากมายนัก ซูเหวินตงผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมอำมหิต เพื่อที่จะรักษาชีวิตตนเองไว้ บอกว่าจะลงมือก็ลงมือสังหารในทันที
“ ใช่แล้ว คุณชายเยี่ย นี้คือม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์หลายแขนงของตระกูลเยี่ยพวกท่าน สิ่งของเหล่านี้สมควรที่จะยกให้แก่คุณชายเยี่ยจึงจะถูก “
เมื่อพบเห็นสีหน้าของเยี่ยจงมิได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก ซูเหวินตงก็ได้สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง จากนั้นก็ได้นำกระเป๋าใบหนึ่งออกมาจากแหวนจักรวาลของตนเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ได้วางไว้ด้านบนพื้น เปิดออกมาอย่างระมัดระวัง
เมื่อได้มองดูความเคลื่อนไหวของซูเหวินตง เยี่ยจงก็หัวเราะเย็นชาออกมาคำหนึ่ง เขาก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว เท้าข้างหนึ่งก็ได้พุ่งออกไปยังบริเวณใบหน้าของซูเหวินตง
“ เปรี้ยง “
ความจริงที่ซูเหวินตงยังไม่มีปฏิกิริยากลับมาได้ทัน ร่างกายของเขาก็ได้ถูกซัดจนกระเด็นออกไป ราวกับสุนัขที่ใกล้ตายก็มิปานกำลังคึบคลานอยู่บนพื้น มุมปากมีโลหิตออกมาสายหนึ่ง
และกระเป๋าเป้ในตอนนี้ที่เขายังไม่ทันได้เปิดออกแม้เพียงครึ่งหนึ่ง ภายในกระเป๋าเป้ที่ความจริงมิได้มีม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์ใดๆ ด้านในมีแต่เพียงยันต์ระดับหนึ่งเท่านั้น จากที่ดูในตอนนี้ ก่อนหน้านี้ที่ซูเหวินตงผู้นี้ไม่เพียงแต่เสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น เขายังคิดที่จะหาโอกาสจัดการเยี่ยจงทิ้งอีกด้วย
เพียงแต่ว่า คาดว่าเขาก็คิดไม่ถึง เยี่ยจงความจริงก็แทบจะไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่น้อย
หลังจากที่ได้กวาดตามองดูยันต์วิญญาณเหล่านั้น เยี่ยจงก็ได้จัดการเก็บกวาดยันต์วิญญาณเหล่านี้ขึ้นมา ทันใดนั้นก็ได้เงยหน้าไปมองซูเหวินตงอีกครั้ง
ซูเหวินตงในตอนนี้ได้กระอักโลหิตออกมาคำโต แสดงสีหน้าที่ยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น จากนั้นเขาก็ค่อยกล่าวออกมาเสียงทุ่มต่ำ “ เจ้าทราบได้อย่างไรกัน ? เป็นไปได้อย่างไร เจ้า …….. “
ซูเหวินตงถึงแม้จะทราบว่าเยี่ยจงนั้นร้ายกาจ แต่ว่าเขาเองก็มีพลังถึงขั้นก่อเกิดระดับที่ห้า หลังจากที่ตนเองมีความเชื่อมั่นในการแสดงอย่างเพียงพอแล้ว การที่จะจัดการกับเยี่ยจงก็คงจะไม่ยาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันทีเขาจะได้ลงมือก็ได้ถึงเยี่ยจงเตะเข้าไปหนึ่งทีจนเกือบตาย เยี่ยจงผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง
เมื่อได้เห็นสภาพของซูเหวินตงผู้นี้ เยี่ยจงก็หัวเราะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ประสบการณ์ของเขานั้นมิใช่เรื่องที่คนโดยทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ดังนั้นเพียงแค่มองคราเดียวก็ทราบได้ ซูเหวินตงถึงแม้จะหวาดกลัว แต่ก็แน่นอนว่ายังไม่ถึงขั้นนั้นอย่างแน่นอน แม้แต่เขาในตอนนี้จะอยู่ในสภาพกระอักโลหิตคำโต ก็ยังเป็นเพียงการแสดงออกมา มาจนถึงขั้นนี้ก็ยังเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น จิตใจของซูเหวินตงผู้นี้ก็ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง
“ เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่ฆ่าเจ้าหรอก ดังนั้นไม่ต้องแกล้งทำตัวเช่นนั้น ข้าเห็นแล้วเหนื่อยจริงๆ “ เยี่ยจงเอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างดุดัน
สีหน้าของซูเหวินตงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็เขาทราบดีว่า ในสิ่งที่เยี่ยจงจะสื่อออกมา เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไปแล้ว ต่อมาเขาก็ได้ค่อยๆกัดฟันยืนขึ้นมา แต่ว่าภายใต้การจ้องมองมา อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเตรียมพร้อมอย่างมาก
“ ทักษะยุทธ์เล่า ? “ เยี่ยจงเอ่ยปากถามอย่างไม่สบอารมณ์
ซูเหวินตงในครั้งนี้ไม่กล้าที่จะกล่าวมากความ แล้วก็ได้นำม้วนคัมภีร์หลายชิ้นออกมาทันที ยื่นมือขึ้นเหนือหัวมอบให้แก่เยี่ยจงที่อยู่บริเวณทางด้านหน้า
“ ใช่สิ่งของเหล่านี้หรือไม่ ? “ เยี่ยจงมองดูม้วนคัมภีร์ยุทธ์เหล่านี้ เอ่ยปากถามไปที่เยี่ยถง
เยี่ยถงในตอนนี้รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝันก็มิปาน หลังจากที่ได้ยินเสียงเรียกแล้ว นางค่อยมีการตอบสนองกลับมา จากนั้นนางก็ได้เข้าไปตรวจสอบทักษะยุทธ์เหล่านี้อยู่รอบหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ได้ปกคลุมไปด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
แม้แต่นางเองก็ยังคิดไม่ถึง ม้วนคัมภีร์เหล่านี้ถึงกับสามารถได้กลับมาอยู่ในมือตนเองอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ สิ่งของนั้นมิผิด เป็นของเหล่านี้แหลาะ “ เยี่ยถงหลังจากที่ได้เก็บเหล่าม้วนคัมภีร์ขึ้นมา ก็ได้เอ่ยปากตอบ
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้พยักหน้าไปมา จากนั้นก็มองไปทางด้านซูเหวินตง ยิ้มแล้วถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ เจ้าเรียกว่าซูเหวินตงใช่หรือไม่ เจ้าทราบไหมว่า เพราะอะไรในตอนนี้ข้าถึงยังไม่ฆ่าเจ้า ? “
ซูเหวินตงตะลึงงงงัน จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะส่ายศีรษะไปมา จากที่เขาดูแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรตนเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะมิให้เยี่ยจงฆ่า
เยี่ยจงกล่าวตอบเสียงดังกังวาน “ ก็เพราะว่า ข้าต้องการที่จะให้เจ้านำคำพูดกลับไปบอกต่อตระกูลซู บอกกับคนของตระกูลซูพวกเจ้าว่า ข้าเยี่ยจงกลับมาแล้ว ใช่แล้ว ข้าในครั้งนี้ยังเป็นตัวแทนของลัทธิแห่งดวงดาวเพื่อถวายคำอวยพรให้อ๋องใหญ่อีกด้วย “
ซูเหวินตงที่ได้เงียบงันไร้คำพูดก็ได้สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครา การที่จะสามารถนำสารคำอวยพรถวายแก่ทางราชวงศ์ได้ เยี่ยจงผู้นี้ที่แท้มีสถานะใดภายในลัทธิแห่งดวงดาวกันแน่ ? เขาเหตุใดถึงได้มีความสามารถเช่นนี้ได้กัน
ในตอนนี้ สีหน้าของซูเหวินตงได้เปลี่ยนเป็นปั้นยากอยู่ถึงที่สุด ความจริงเขาได้คิดเอาไว้ว่า จะพึ่งพาพลังของตระกูลซู ขอเพียงแค่ตนเองสามารถมีชีวิตกลับไปได้แล้ว เช่นนั้นก็จะสามารถหาวิธีที่จะจัดการกับเยี่ยจงได้ แต่ว่าจากที่ดูในตอนนี้แล้ว หากว่าตระกูลซูหาญกล้าที่จะลงมือต่อเยี่ยจงจริงๆแล้วละก็ เกรงว่าจะเป็นการจุดไฟพิโรธของลัทธิแห่งดวงดาวแทน และท่ามกลางรัฐต้าโจวหวังเฉานี้ เกรงว่าคงไม่มีขุมกำลังใดที่มีความสามารถที่จะสามารถเผชิญหน้ากับไฟพิโรธของลัทธิแห่งดวงดาวได้
“ อีกอย่าง ฝากบอกต่อเหล่าเฒ่าชราหัวหงอกของตระกูลซูพวกเจ้าด้วย บอกว่า ในช่วงเวลาที่ข้าว่างแล้ว จะไปเคาะประตูเยี่ยมเยียนสักครา ขอให้พวกเขาเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี …….. อีกทั้ง ระหว่างข้าและตระกูลซูของพวกเจ้ายังมีบัญชีหนี้แค้นอยู่ส่วนหนึ่ง ที่ยังรอการสะสางอยู่ มิใช่หรือ ? “ เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา สีหน้าเย็นชา “ เจ้าดู เจ้ามิใช่เพียงแค่ช่วยข้าส่งคำพูดเหล่านี้กลับไปแค่นี้ ถึงกับสามารถรักษาชีวิตน้อยๆของเจาไว้ได้ เจ้าชั่งโชคดีนัก มิใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ ? “
ซูเหวินตงเหม่อมองเยี่ยจงอย่างชาด้าน หลังจากนั้นเขาก็ได้สั่นเทาไปทั้งร่างกาย ตอนนี้เขาก็ได้ทราบกระจ่างในทันทีแล้ว เยี่ยจงไม่เพียงแต่ไม่แม้แต่จะมองตนเองอยู่ในสายตา อีกทั้งยัง ความจริงแล้วเขาได้ทำเหมือนดั่งตนเองเป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่ง ภายในสายตาของเยี่ยจง บุคคลเช่นตนเองนั้นอยากฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้ อาการหลอกหลอนได้ปรากฏอยู่ภายในจิตใจของซูเหวินตง แต่ว่าเขาก็กัดฟันไปมาอย่างตายด้าน มิกล้าที่จะเอ่ยแม้ซักคำ ได้แต่เพียงมองดูเยี่ยจงและเยี่ยถง เดินส่ายอาดๆจากห้องโถงนี้ออกไป ……..
.
.
.
.