ตอนที่ 151 ความรับผิดชอบ
“ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ “
เยี่ยจงใช้ออกด้วยมือขวาอย่างไม่ใส่ใจ สายลมพัดออกไปเป็นสาย เพียงแค่ช่วงเวลาผ่านไปแค่หนึ่งลมหายใจ เหล่าผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่แต่ละคนนั้นก็ได้กุมไปที่ข้อแขนที่ถูกตัดออก ล้มลงไปบนพื้นด้วยใบหน้าที่ตื่นตะลึง กระอักโลหิตคำโตออกมา กล่าวได้ว่า ผู้คุ้มกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่อาจที่จะทำอันใดเยี่ยจงได้เลย
“ เป็นไปได้อย่างไรกัน ? “
กลุ่มผู้คนมากมายของกลุ่มคนตระกูลเยี่ยได้แต่มองด้วยสายตาโง่งมในทันที ผู้คุ้มกันเหล่านี้ต่างก็เป็นญาติสนิทของตระกูลเยี่ยเอง พลังฝีมือน่าหวาดกลัวจนถึงที่สุด แต่ว่าผู้คนเหล่านี้ในตอนนี้กลับถูกเชือดเฉือนดั่งเช่นผักปลาก็มิปาน นี้เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
หากมิใช่เห็นภาพทั้งหมดนี้ด้วยตาตนเอง เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเชื่อได้
และในขณะเดียวกัน ผู้คนตระกูลเยี่ยมากมายต่างก็ต้องกรอกตาไปมา ทันทีที่พวกเขามองไปยังร่างของเยี่ยจงที่อยู่ในท่าทีที่มิได้สนใจอันใด มีเพียงสายตาที่จ้องเขม็ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน คราวครั้งนี้ตระกูลเยี่ยได้เหยียบย่างอยู่บนขวากหนามแล้ว
“ เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่ ? เจ้าทราบหรือไม่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นถึงบ้านตระกูลเยี่ยแห่งห้าตระกูลใหญ่ ? เยี่ยถง เจ้าถึงกับสมสู่นำพาผู้ชายเข้ามาทำลายตระกูล ยิ่งมายิ่งบังอาจยิ่งนัก “ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยเจิ้งหยางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ถ้าหากเยี่ยจงจดจำไม่ผิดแล้วละก็ คนที่กำลังพูดอยู่ก็คือเยี่ยหวูเสวียน ที่เป็นรุ่นที่สามของตระกูลเยี่ยอีกทั้งยังเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลอีกด้วย
“ ห้าตระกูลใหญ่งั้นหรือ มันดีนักหนาหรือยังไง ? “ เยี่ยจงกวาดสายตาอย่างรุนแรงไปทางด้านของเยี่ยหวูเสวียน “ เจ้าเยี่ยหวูเสวียนหูหนวกหรืออย่างไร หรือเป็นตัวโง่งมกัน ? ไม่ได้ยินที่เยี่ยถงเรียกข้าว่าพี่ชายงั้นหรือ ? อีกอย่างข้าเยี่ยจง คิดว่าเจ้าก็ยังคงจำได้อยู่นะ ? เพียงแต่เจ้าของไม่กล้าที่จะเชื่อ หรือว่าไม่ต้องการที่จะเชื่อกัน ? “
เจ้า …….. เจ้าก็คือเยี่ยจง ? “ เยี่ยหวูเสวียนร้องเสียงหลงออกมา ผู้คนมากมายในตระกูลเหี้ยที่อยู่ด้านหลังของเขาในตอนนี้สีหน้าของแต่ละคนก็แสดงถึงความยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น นามเยี่ยจงนั้นเป็นตัวบ่งบอกถึงสิ่งใดกัน แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ทราบดี เจ้าขยะชิ้นใหญ่แห่งตระกูลเยี่ย ความอัปยศในรอบพันปี แต่ว่าในตอนนี้ เจ้าเยี่ยจงที่เป็นความอัปยศในรอบพันปี กลับสามารถที่จะบุกเข้ามายังส่วนในของบ้านตระกูลเยี่ยได้ อีกทั้งยังไม่นับที่ใช้เพียงแค่เท้าเดียวในการเตะประตูใหญ่ตระกูลเยี่ยจนกระเด็นในทีเดียว ยังมีเรื่องที่สามารถจัดการเหล่าผู้คุ้มกันนับสิบคนได้ ใช่เรื่องที่เจ้าขยะจะทำได้งั้นหรือ ? ถ้าหากคนผู้นี้ถูกเรียกว่าขยะแล้วละก็ เช่นนั้นเหล่าผู้คนในตระกูลเยี่ยนับเป็นตัวอะไรกัน ? แม้แต่ขยะก็ยังไม่คู่ควร ?
ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเจียงโจวได้ถูกส่งมายังตระกูลเยี่ยแล้วนั้น ผู้คนจำนวนมากของตระกูลเยี่ยต่างก็ไม่คิดที่จะเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าในตอนนี้ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างร้อยก้าวไร้พ่ายเมื่อครั้งก่อนที่เล่าลือกันมานั้นไม่ใช่เรื่องเท็จแต่อย่างไร อีกทั้งยังเกิดขึ้นจริง ตระกูลของพวกเขาที่มีหลานชายที่น่ารังเกียจแห่งตระกูลเยี่ยผู้นี้ ก็นับได้ว่ามีความเข้าใจเพียงน้อยนิดเท่านั้น
เยี่ยเจิ้งหยางในตอนนี้ก็ได้งงงันขึ้นเล็กน้อย ความโกรธที่อยู่บนใบหน้าก็ได้หายไปอย่างช้าๆ เขาขมวดคิ้วขึ้นมองไปทางเยี่ยจง เขาในตอนนี้ได้มองออกแล้วว่า เยี่ยจงมีความเป็นไปได้ที่จะมีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้ว ควรทราบว่า ท่ามกลางเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลเยี่ย ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถก้าวจนมาถึงขั้นนี้ได้ อีกทั้งเยี่ยจงยังได้ใช้เวลาเพียงสั้นไม่กี่ปีที่มิได้พบเจอนี้ ถึงกับมีความสำเร็จได้จนถึงขั้นที่ผู้คนยังต้องตกใจได้
“ เยี่ยจง เยี่ยมมาก เจ้าเยี่ยจงยอดเยี่ยมมาก เจ้าในเมื่อทราบว่าตนเองแซ่เยี่ย และก็ยังเป็นคนของตระกูลเยี่ย ถึงกับยังหาญกล้ามาทำลายประตูบ้านตระกูลเยี่ยอีกงั้นหรือ ? “ เยี่ยเจิ้งหยางกล่าวถามออกไปอย่างเดือดดาน
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วตอบ “ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ข้ากลายเป็นคนของตระกูลเยี่ยของพวกเจ้า นับตั้งแต่วันนี้ เยี่ยถงก็จะมิใช่คนของตระกูลเยี่ยเช่นเดียวกันแล้ว …….. ในเมื่อวันนี้พวกเจ้าก็มากันครบแล้ว เช่นนั้นก็ดี ก่อนหน้านี้มีผู้ใดที่ลงมือต่อเยี่ยถง ก็รีบก้าวออกมาแล้วตัดแขนจนกลายเป็นคนพิการด้วยตนเองซะ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ อย่าหาว่าข้าไม่นึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ฆ่าสังหารพวกเจ้าจนหมดสิ้น “
“ พี่ แล้วกันไปเถอะ “ เยี่ยถงเมื่อเห็นเยี่ยจงเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความเป็นห่วงขึ้นจับใจ กล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ เยี่ยจง กลับวัยเช่นเจ้า ก็สามารถที่จะเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าหาได้ยากแล้ว ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าหลายปีมานี้เจ้าไปพบเจอกับอะไรมา แต่ว่าความผิดของเยี่ยถง ความผิดของนางก็คือขโมยคัมภีร์ทักษะยุทธ์ของตระกูลเยี่ยไป ตระกูลเยี่ยเราในครั้งนี้เกิดการเสียหาย ความเสียหายที่หนักหนายิ่ง ความผิดของนางยังมิอาจที่จะให้อภัย การลงโทษนางเช่นนี้นับได้ว่าสมควรแล้ว “ เยี่ยเจิ้งหยางจ้องเขม็งไปทางเยี่ยจง ตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา เยี่ยจงสามารถที่จะฝึกปรือจนถึงขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด นับเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาทั้งหมด ในตอนนี้เขาก็รู้สึกผิดหวังกับเรื่องที่เคยทำไปก่อนหน้านี้ หากว่าสามารถที่จะรับเยี่ยจงกลับเข้าตระกูลแล้วละก็ เช่นนั้นตระกูลเยี่ยแน่นอนว่าจะสามารถเปลี่ยนสถานะภาพได้ ถึงกับมีผู้เยาว์ที่ฝึกปรือพลังฝีมือได้จนถึงขอบเขตระดับนี้ ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังตระกูลใดๆ ต่างก็นับได้ว่าเป็นที่เชิดชูของตระกูลแล้ว
แต่ว่าด้วยฐานะของเขา แน่นอนว่าไม่อาจที่จะข้อร้องให้เยี่ยจงกลับสู่ตระกูลเยี่ยได้ อีกทั้งถ้ายังพอรู้จักกาลเทศะเพียงสักนิด ขอเพียงเยี่ยจงยอมรับเรื่องที่เยี่ยถงกระทำผิดได้ เช่นนั้นแล้วเขาที่เป็นถึงผู้นำตระกูลเยี่ย ก็จะเมตตาปล่อยเยี่ยจงไปให้ เยี่ยจงมีหรือจะไม่รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณได้ ?
“ อะไรนะ ? พลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด ? “
“什么?锻体第七重!?”
แต่กับความคิดของเยี่ยเจิ้งหยางนั้นไม่เหมือนกัน ผู้คนอื่นๆภายในตระกูลเยี่ยเมื่อได้ยินคำนี้ก็ได้ทอสายตาเป็นประกายมองไปทางด้านเยี่ยจงในทันทีแล้วก็ได้เปลี่ยนเป็นแปลกใจอย่างไร้ที่เปรียบ เยี่ยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถฝึกปรือได้จนถึงระดับนี้ ทั้งหมดนั้นเกินกว่าที่พวกเขาเคยคาดคิดเอาไว้ และก็มีผู้คนในตระกูลเยี่ยไม่น้อยที่ภายในดวงตาทอเป็นประกายฆ่าฟันขึ้นมา เมื่อก่อนที่พวกเขาเคยกดขี่รังแกเยี่ยจงก็เช่นกัน หากว่าเยื่ยจงย้อนกลับมาสนองคืนแล้วละก็ เกรงว่าคนแรกที่จะซวยคงจะหนีไม่พ้นพวกเขากลุ่มนี้ แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่คิดว่า เยี่ยจงจะสามารถที่จะสามารถพูดคุยกันดีๆได้
“ ขโมยวิชาทักษะยุทธ์ ความผิดก็มากมายถึงเพียงนี้เชียว “ เยี่ยจงหัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้มองไปทางด้านเยี่ยถงแล้วกล่าว “ ทักษะยุทธ์เหล่านั้นคืนให้แก่พวกเขาหรือยัง ? “
เยี่ยถงส่ายศีรษะไปมา
เมื่อพบว่าเยี่ยจงยื่นมือมา จากนั้นเยี่ยถงก็ได้นำม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์เหล่านั้นยื่นให้แก่เขา เขาจึงค่อยหัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง ใช้มือขวาโยนออกไป ม้วนคัมภีร์เหล่านี้ก็ได้ดัง “ซวบ ซวบ ซวบ” ออกมา ทันใดนั้นราวกับเป็นกองไม้ที่ถูกเสียบอยู่ก็มิปานเสียบรวมกันอยู่บนพื้นไม้บริเวณทางด้านหน้า
“ ตอนนี้ คัมภีร์ยุทธ์เหล่านี้ก็คืนสู่เจ้าของแล้ว ข้าเยี่ยจงก็นับได้ว่ามีข้อสรุปให้แก่พวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ถึงคราวพวกเจ้าตระกูลเยี่ยจะต้องให้ข้อสรุปแก่ข้าเช่นกัน “ เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา “ ข้าจะให้เวลาแก่พวกเขาเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชาเดือด หากว่าไม่มีผู้ใดออกมาให้ข้อสรุปแก่ข้าแล้วละก็ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าที่ไม่เห็นแก่น้ำใจเก่าก่อนละ “
เยี่ยเจิ้งหยางยืนทื่อเหม่อมองไปที่เยี่ยจงใช้วิธีนี้ในกการจัดการกับปัญหา ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่งพร้อมการตัดสินใจ แน่นอนว่าเขาจดจำม้วนคัมภีร์ยุทธ์เหล่านี้ได้ แต่ว่า เยี่ยจงกลับโยนมันกลับมา อีกทั้งยังสามารถที่จะทำให้ม้วนคัมภีร์เหล่านี้พุ่งเสียบลงสู่พื้นไม้นี้ พลังฝีมือเช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้แล้ว ความสามารถของเยี่ยจงผู้นี้ เกรงว่าจะมิได้ดูเหมือนง่ายดายดั่งเช่นสีหน้าที่แสดงออกมาแล้ว
ในขณะนั้นเอง เมื่อเยี่ยจงกลับตาลปัตรเรื่องเช่นนี้เขาก็เกิดร้อนใจขึ้นมา ท่ามกลางเหล่าผู้เยาว์ตระกูลเยี่ยในตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถลงมือได้เลย หากว่าเยี่ยจงสามารถที่จะกลับมาได้ เช่นนั้นตระกูลเยี่ยของพวกเขาก็จะอยู่สูงเหนือกว่าอีกทั้งสี่ตระกูลแล้ว
เพียงแต่ว่า ในตอนนี้เยี่ยจงกับอยู่ในสภาพที่จองหองอย่างไร้ที่เปรียบ อีกทั้งยังทำให้เยี่ยเจิ้งหยางต้องปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้น เขาก็ได้สาดประกายสายตาเย็นชา เด็กหนุ่มเมื่อมีความสามารถก็จองหองขึ้นมา แน่นอนก็ถือได้ว่าเกินเลยจนเกินไป มีเพียงทำให้เขาทราบถึงความสามารถของตระกูลเยี่ยเท่านั้น จึงจะทำให้เขายอมรับได้
ต่อมาเยี่ยเจิ้งหยางก็ได้จดจ้องไปยังหนึ่งในกลุ่มผู้คนในตระกูลเยี่ยคนหนึ่ง
“ อาการบาดเจ็บบนร่างของเยี่ยถง ข้าก็ได้นับได้ว่ามีส่วน แต่ว่าเจ้าจะทำเช่นไรกับข้าได้กันเล่า ? “ ผู้ที่ออกมาป่าวประกาศก็คือเยี่ยหวูเจีย นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในรุ่นที่สามของตระกูลเยี่ย ในตอนนี้เขาได้หัวเราะเย็นชาจ้องมองไปทางเยี่ยจงแล้วกล่าวออกมา
เยี่ยจงเงยหน้ามองไปยังผู้ที่มีศักดิ์เป็นน้าภายในตระกูลผู้นี้ กล่าวเสียงดังกังวาน “ อ๋องั้นหรือ ? เช่นนั้นเจ้าก็ใช้มือข้างไหนกันละ ? “
“ ทำไม ? ข้าใช้มือข้างขวาตีเอง แต่ว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้กัน ? “ เยี่ยหวูเจียจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง เขาก็เป็นผู้ที่มีพลังฝีมือขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดเช่นเดียวกัน ถึงได้ไม่เชื่อว่าเยี่ยจงเพียงแค่คนเดียวจะสามารถทำอันใดเขาได้
“ ไม่อย่างไรหรอก แต่ว่าเห็นแก่เจ้าที่ออกมายอมรับด้วยตนเอง ข้าจะไม่ทำลายพลังฝีมือเจ้าจนพิการ มือนั้นข้าต้องการข้างเดียว “ ยังไม่ทันที่เยี่ยจงจะกล่าวจบ ร่างกายของเยี่ยหวูเจียก็ได้หายออกไปในทันที ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเขาได้เลย ทันใดนั้นต่อมา มือขวาของเขาก็ได้ถูกใช้ออก ด้วยพลังปราณกระบี่สายหนึ่ง
“ ฉัวะ “
บริเวณแขนขวาของเยี่ยหวูเจียได้มีโลหิตสาดประกายออกมาสายหนึ่ง ในช่วงเวลาที่เขายังไม่ทันจะตอบสนองกลับมา แขนขวาของเขาก็ถึงได้ถูกตัดขาด โลหิตจำนวนไหลหลั่งออกมา หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เยี่ยหวูเจียก็ได้กุมไปที่แขนขวาของตนเอง ร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
การฝึกปรือจนถึงขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด เขาต้องสูญเสียมานานนับสิบปี หลายปีมานี้ เยี่ยหวูเจียคิดว่าตนเองนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งเมืองเยียจิงเลยทีเดียว แต่ก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเจ้าขยะตระกูลเยี่ยแล้ว เขาถึงกับไม่แม้แต่จะสามารถต้านรับแม้เพียงกระบวนท่าเดียว อีกทั้งยังถูกตัดแขนไปหนึ่งข้าง
“ อะไรกัน ? “
“ เป็นไปได้อย่างไร ? “
ผู้คนตระกูลนับไม่ถ้วนได้กรอกตาไปมา ฉากเบื้องหน้าสายตานี้ ได้ทำให้จิตใจของเขาเกิดความเยียบเย็นขึ้น จากนั้นก็มีผู้คนไม่น้อยตัวสั่นเทาขึ้นมา หากนับตามกฎของตระกูลเยี่ย ผู้ที่เป็นปรปักษ์กับตระกูลถือได้ว่าเป็นความผิดสูงสุด พวกเขาทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็นับได้ว่ามีส่วนที่ลงมือ เมื่อคิดจนถึงจุดนี้ คนของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ก็ได้เกิดความเย็นเยียบขึ้นมาในจิตใจ
เยี่ยเจิ้งหยางในตอนนี้ก็ได้เกิดความลังเลขึ้น พลังฝีมือของเยี่ยจงนับได้ว่าเกินความคาดหมายของเขา แต่ว่าถึงกับมีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ยิ่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ นับเป็นครั้งแรก ความคิดที่จะรับเยี่ยจงกลับมานั้น เยี่ยเจิ้งหยางก็เริ่มที่เกิดความลังเลขึ้นมาหลายส่วนแล้ว
“ พวกเจ้ายังมีเวลาอีกครึ่งถ้วยน้ำชาเดือด “ เยี่ยจงตะโกนออกมา ด้วยใบหน้าเย็นชา
เหล่าคนของตระกูลเยี่ยที่ความจริงเกิดความเกรงกลัวอยู่ไม่น้อยแล้ว เยี่ยจงผู้นี้ถึงกับเตรียมที่จะลงมือผู้คนทั้งหมดที่ได้ลงมือต่อเยี่ยถงให้ได้จริงหรือ ?
เพียงแต่ว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว เมื่อได้มองไปยังเยี่ยหวูเจียที่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก็ไม่มีคนของตระกูลกล้าที่เดินออกไป
“ ได้เวลาแล้ว “ หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยจงก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา เขาพลิกมือคราหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่ได้สะบัดยันต์วิญญาณออกมาหลายแผ่นรอบตัวเยี่ยถงจนกลายเป็นค่ายกลยันต์ แล้วเขาก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกไปบริเวณทางด้านหน้า
“ เยี่ยจง มีอะไรก็คุยกันดีๆ ทุกๆคนต่างก็เป็นคนในตระกูลเยี่ยเหมือนกัน พวกเราจะให้ข้อสรุปแก่เจ้าแน่นอน “ เมื่อเห็นว่าเยี่ยจงได้ค่อยๆเดินเข้ามาก็ได้สติกลับมา ผู้คนภายในตระกูลเยี่ยมีไม่น้อยที่ทนทานพลังกดดันเช่นนี้ไม่ไหว ต่อมาก็ได้ส่งเสียงกล่าวออกมา
“ ช้าไปแล้ว “ เยี่ยจงได้ขยับมือขวาคราหนึ่ง กระบี่คงหมิงก็ได้ปรากฏขึ้นในบริเวณใจกลางฝ่ามือ และจากนั้นกระบี่ยาวก็ได้ถูกกวาดออกไป วินาทีนั้น ประกายกระบี่ก็ได้สาดขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งเข้าไปหาบริเวณที่มีเหล่าผู้คนของตระกูลเยี่ยอยู่มากมาย
“ บรึม “
ร้องดังสนั่นขึ้นมาสายหึ่ง ผู้คนทั้งหมดเหล่านี้ก็ได้กระเด็นออกมา แต่ละคนกระอักโลหิตออกมา ท่ามกลางคนเหล่านี้กลับไม่มีการปรากฏตัวของเหล่าผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ของตระกูลเยี่ยไม่เพียงคนเดียว แต่ว่าพวกเขาความจริงก็มิอาจที่จะต้านทานกระบวนท่าของเยี่ยจงได้อยู่แล้ว กล้ามเนื้อภายในร่างกายก็ราวกับเกิดการแตกร้าวขึ้น พวกเขาที่คิดว่าตนเองมีการฝึกฝนที่แข็งแกร่งแล้ว ในตอนนี้กับตีไล่ต้อนเหมือนหมูเหมือนหมาก็มิปาน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่
เยี่ยจงได้ค่อยๆก้าวออกไป กำกระบี่คงหมิงในมือไว้แน่น เขาได้จ้องมองไปบริเวณทางด้านหน้า กล่าวออกมาเสียงดังกังวาน “ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ให้ข้อสรุปแก่น้องสาวของข้า งั้นตัวข้าเองก็คงต้องลงมือเองแล้ว “
.
.
.
.