ตอนที่ 153 หนึ่งต้านรับพัน
“ เคร่ง เคร่ง “
พลังชนิดหนึ่งที่ทำให้มิอาจขยับเท้าเคลื่อนไหวได้แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยจง เยี่ยจงได้ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆทีละก้าว บนพื้นได้ปรากฏรอยแตกแยกออกมาเป็นสาย ราวกับว่าเขาในตอนนี้ เพียงแค่การเตะออกไปก็สามารถถูกผู้คนมากมายได้ก็มิปาน ไร้วัตถุใดๆจะต้านทานไว้ได้
“ ดี ดี ช่างดีเหลือเกิน ”
เยี่ยเจิ้งหยางหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาสั่นเทาคราหนึ่ง พลังปราณได้ลอยแผ่ออกมาเป็นสายจากภายในกาย ผู้นำตระกูลเยี่ยผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้า ร่างกายของเขาในตอนนี้ได้สาดพลังปราณเป็นประกายสีเหลืองแผ่ออกมา ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ต้องมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อฟ้าระดับที่*รอบปราณเต็ม ( จิ่งหยวนหม่าน )
*พลังขอบเขตนี้ขอใช้ชื่อนี้ก่อนครับ จะกลับมาแก้คราวหลัง
“ ในเมื่อเจ้าไม่เห็นตระกูลเยี่ยเราอยู่ในสายตาเช่นนี้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รับทราบทักษะยุทธ์ประจำตระกูลเยี่ยของข้าเอง ”
“ ฟูบ “
เยี่ยเจิ้งหยางแปรเปลี่ยนทั้งสองมือเป็นสัญลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปมา วินาทีนั้น พลังปราณอันลี้ลับใหญ่โตก็ได้ปรากฏขึ้นที่บริเวณด้านหลัง
“ ตูม ตูม ตูม “
พลังหลายสายนับไม่ถ้วนได้กระจายไปตามพื้นที่รอบข้างในตอนนี้ เป็นพลังกดดันที่ให้ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดชนิดหนึ่ง ราวกับเป็นเหมือนดั่งฝูงงูก็มิปาน พลังความบ้าคลั่งได้ม้วนตัวพุ่งเข้าไปหาจุดที่เยี่ยจงอยู่ อีกทั้งยังคิดที่จะหยุดความเคลื่อนไหวเอาไว้
“ ทักษะยุทธ์ประจำตระกูลเยี่ยงั้นหรือ ? น่าขำ “
เยี่ยจงหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ลมปราณกระบี่หกสุสานได้ไหลเวียนอย่างรวดเร็ว พลังลมปราณโจวเทียนนำหมุนวนขึ้นมา พลังลมปราณฟ้าดินที่อยู่รอบๆร่างกายในตอนแรกเหล่านั้นก็ได้ไหลเวียนรวมเข้ากับพลังปราณโจวเทียน จนเกิดเสียงร้องดังกังวานขึ้นมา ให้ความรู้สึกถึงรังสีสังหารอันเย็นเยียบชนิดหนึ่ง
และทันทีหลังจากนั้น เยี่ยจงก็ได้สะบัดแขนเสื้อด้านขวาออก ยันต์วิญญาณนับสิบสายได้ลอยออกมาตามๆกัน ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางอากาศจนก่อรวมกันจนกลายเป็นค่ายกลหนึ่ง ยันต์วิญญาณได้กระจายตัวกันในทันที แสงสีเหลืองทองได้เคลื่อนไหวดั่งคลื่นในมหาสมุทรก็มิปาน มุ่งไปยังบริเวณทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านออกไป จากนั้นก็ได้แผ่กระจายพลังทำลายออกไปราวกับกำลังเก็บกวาดอยู่ก็มิปาน
“ ผัวะ “
เยี่ยเจิ้งหยางร่างกายสั่นเทาคราหนึ่ง กระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่ง สิ่งที่อยู่ทางด้านหลังก็ได้เลือนหายไป และสีหน้าที่ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างไร้ที่เปรียบ พลังฝีมือของเยี่ยจงอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้ว อีกทั้งยังสามารถสลายพลังของทักษะยุทธ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย พลังฝีมือเช่นนี้ต่อให้เขาที่เป็นผู้นำตระกูล ในตอนนี้ก็ยังต้องอ้าปากตาค้าง ตัวสั่นเทาขึ้นมา
“ ผู้ใช้ยันต์ระดับที่……ที่หนึ่งงั้นหรือ ”
หลังจากที่เอ่ยไปได้เพียงครึ่งคำ เยี่ยเจิ้งหยางจึงค่อยได้เอ่ยปากกล่าวออกมาด้วยความตื่นตกใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น อายุเช่นเยี่ยจงนี้ ถึงกับสามารถฝึกปรือได้จนถึงขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่จะหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ว่าเขายังถึงกับเป็นผู้ใช้ยันต์ระดับที่หนึ่งอีกด้วยงั้นหรือ ?
ควรทราบว่า ผู้ฝึกยันต์ในระดับที่หนึ่งหากในมือมียันต์อย่างเพียงพอแล้วละก็ จะสามารถกดดันยอดฝีมือพลังขั้นก่อฟ้าได้อย่างสบายสบายกันเลยทีเดียว
เยี่ยจงผู้นี้ถึงกับเป็นผู้ใช้ยันต์ในระดับที่หนึ่งอีกด้วยงั้นหรือ ? ผู้ใช้ยันต์วิญญาณอันน่าหวาดกลัว ?
พระเจ้าช่วย ที่แท้ตระกูลเยี่ยของพวกเขาได้ขับไล่คนที่มีพลังฝีมือระดับเทพมารเช่นนี้ออกจากตระกูลเยี่ยได้อย่างไรกัน
“ บรึม “
เยี่ยเจิ้งหยางก็ได้กระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่ง แต่ในครั้งนี้มิใช่เป็นเพราะอาการบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะทุกข์ระทม กับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ อีกทั้งยังอายุเพียงเท่านี้ ความจริงสมควรที่จะเป็นผู้ที่ชี้นำตระกูลเยี่ยขึ้นไปยังจุดสูงสุด แต่ว่าบุคคลผู้นี้ที่มากด้วยพรสวรรค์และมาจากตระกูลเยี่ย ถึงกับต้องการที่จะฆ่าฟันคนในตระกูลเยี่ยด้วยกันเองเช่นนี้ จะมิให้เขาเจ็บปวดได้อย่างไรกัน อีกทั้งอาจจะยังต้องโศกเศร้าจนต้องกระอักโลหิตออกมา
“ เยี่ยจง เจ้าไม่คิดที่จะยืนยันความเป็นคนของตระกูลเยี่ยจริงๆงั้นหรือ ? หยุดมือในตอนนี้ เรื่องราวยังพอที่จะแก้ไขได้ทันอยู่นะ “ จากนั้นก็กระอักโลหิตอีกคำ เยี่ยเจิ้งหยางเอ่ยปากกล่าวออกมาด้วยสภาพคล้ายหมดเรี่ยวแรง
“ ข้าบอกไปแล้ว วันนี้ข้าเพียงแค่มาทวงความเป็นธรรมคืนให้แก่เยี่ยถงเท่านั้น มิได้มาเพื่อเรื่องอื่น เฮอะ “
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา ในตอนนี้รู้สึกคันที่ศีรษะอยู่ไม่น้อย จากนั้นเขาก็ได้ก้าวออกไป กระบี่คงหมิงในมือสาดประกายออกมา วินาทีนั้น ไม่เพียงแต่จะมีเสียงร้องยังเจ็บปวดมาสามคนของตระกูลเยี่ย แต่ละคนยังคว้าจับแขนที่ถูกตัดของตนเองอย่างวุ่นวาย
ในตอนนี้ เยี่ยจงหนึ่งก้าวหนึ่งกระบี่ หนึ่งก้าวหนึ่งคน ถึงแม้จะมิได้ฆ่าสังหารคนของตระกูลเยี่ยเหล่านี้ก็ตาม แต่ฉากเบื้องหน้าที่มีแขนขาดลอยออกมาไปมาเป็นสาย ถึงกับทำให้คนของตระกูลเยี่ยที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเหล่านี้ถอยออกไปอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง สีหน้าที่มองมาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนถึงที่สุด
“ เปิดใช้ค่ายกลป้องกันประจำตระกูล จะต้องจัดการเขาให้จงได้ ตระกูลเยี่ยพวกเรามิอาจที่จะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของกบฏคนหนึ่งได้”
ในช่วงเวลานี้ บริเวณทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านได้มีคนของตระกูลเยี่ยเพิ่มขึ้นมา คนของตระกูลเยี่ยได้เร่งรีบกันเข้ามาอย่างลี้ลับ เมื่อได้เหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ก็ได้ส่งสายตากระหายเลือดและร่างกายเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งออกมาให้เห็น ลักษณะของเช่นนี้ของเยี่ยจง หากมิได้ตัดแขนของผู้ที่เคยลงมือต่อเยี่ยถง เขาจะไม่หยุดอย่างแน่นอน
“ ข้าในตอนนี้ยังไม่คิดที่จะเอาชีวิตของพวกเจ้า แต่หากว่าเจ้าเชื้อเชิญข้าเอง ก็อย่าได้โทษข้าลงมือไม่ยั้งมือไว้ไมตรี “ เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นช้า บนร่างของเขาตอนนี้ปกคลุมไปด้วยรังสีสังหาร ความเย็นเยียบได้ถูกกวาดออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ จนทำให้มีผู้คนของตระกูลต้องถอยออกไป เหล่าคนที่ความจริงยังมิได้ลงมือเหล่านั้น หลังจากที่เกิดความลังเลขึ้นชั่วครู่ ก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ถึงแม้จะเป็นยอดคนที่หาได้ยากของตระกูลเยี่ย แต่ว่านอกไปเสียจากการปกป้องตนเองแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดที่จะสำคัญไปกว่านี้แล้ว กลับกันพวกเขาเหล่านี้ที่ถอยไปก็ยังมิได้ลงมือเลย ไม่มีแม้แต่แรงฮึกสู้เลยด้วยซ้ำ
แล้วก็เหล่าพวกที่ยังหลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ในตอนนี้ ต่างก็เป็นผู้ที่ได้ลงมือไปแล้วทั้งสิ้น พวกเขาเกรงกลัวว่าเยี่ยจงจะแก้แค้นเรื่องในอดีต ในตอนนี้มิอาจที่จะไม่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมารออยู่ในที่แห่งนี้ เพื่อที่จะหาโอกาสในการสังหารเยี่ยจงให้ได้
“ ตูม “
ท่ามกลางศาลบรรพบุรุษ ก็ได้มียันต์วิญญาณลอยขึ้นฟ้าสายหนึ่งอย่างกะทันหัน จนกลายเป็นดั่งค่ายกลยันต์ขนาดใหญ่ แล้วก็ได้มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่เยี่ยจงอยู่ เป็นที่ชัดเจนว่า ได้มีคนของตระกูลเยี่ยเข้าไปยังศาลบรรพบุรุษเพื่อเคลื่อนไหวค่ายกลป้องกันตระกูลขนาดใหญ่ เพียงแต่ก็เป็นดั่งการควบคุมของผู้ใช้ก็มิปาน ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลป้องกันตระกูลขนาดนั้นเช่นนี้ดูไปแล้วก็มีข้อบกพร่องอยู่นับร้อย
“ ไสหัวไป “
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา ตราสัญลักษณ์ในมือทั้งสองข้างได้เปลี่ยนแปลงไปมาในทันที วินาทีนั้น ก็พบเห็นพลังปราณสีทองไหลเวียนไปมาอย่างรวดเร็วอยู่ด้านบริเวณบนศีรษะปรากฏคล้ายกับรูปเตาขนาดใหญ่ เยี่ยจงขยับกายคราหนึ่ง ใช้มือจับไปที่ขาของเตาทองคำนี้ ขว้างออกไปราวกับเป็นศาสตราวุธชิ้นหนึ่งก็มิปาน
“ ตูม “
แรงอันมหาศาลจนน่าหวาดกลัว เตาทองคำด้านหน้าส่งเสียงดังหวืด ตำแหน่งที่พึ่งจะก่อตั้งค่ายกลป้องกันตระกูลก็ได้เกิดรอยแยกอย่างไร้สุ่มเสียง พลังบ้าคลั่งอันมหาศาลได้หลั่งไหลออกไปในทันที แรงสั่นสะเทือนเหล่านั้นได้เคลื่อนไหวทำลายค่ายกลขนาดใหญ่จนคนของตระกูลเยี่ยแต่ละคนต้องกระอักโลหิตถอยออกไป
“ พลังหมัดเตามายาทองคำ ทักษะยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับสูง “
ในตอนนี้ก็ได้โยนพลังปราณรูปแบบเตาทองคำในมือไปมา เยี่ยจงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง สะบัดฝ่ามือออกคราหนึ่ง ทันใดนั้นเองเตาทองคำก็ได้พุ่งเข้าปะทะไปยังจุดที่ผู้คนมากมายของตระกูลอยู่
“ ตูม “
“ ลงมือพร้อมกัน ลงมือพร้อมกัน “
เมื่อพบเห็นฉากเบื้องหน้า คนของตระกูลเยี่ยเหล่านั้นก็ได้หลั่งน้ำตาด้วยความเครียดแค้นอยู่บนใบหน้า วินาทีนั้น พลังของทักษะยุทธ์สายหนึ่งได้ถูกใช้ออกจนสว่างขึ้นราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
วินาทีนั้น การปะทะทักษะยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทุขึ้น ท่ามกลางกลุ่มคนตระกูลเยี่ยที่ลงมือเหล่านั้น ลดลงไปราวกับเส้นฟางที่แห้งกร้านจนเกือบครึ่งหนึ่ง จนในที่สุดก็สูญสิ้นพลังในการต่อสู้ไป
เยี่ยจงหัวเราะเสียงเย็นชา กระบี่คงหมิงในมือถูกร่ายรำออกมา คนของตระกูลเยี่ยที่ล้มลงบนพื้นเหล่านั้นแต่ละคนก็ได้รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา แขนข้างหนึ่งถูกเยี่ยจงตัดผ่าลงไป พวกเขาแต่ละคนกดฟันไปมา เจ็บปวดจนลงไปดิ้นบนพื้น แต่ว่าในตอนนี้กลับไม่กล้าที่จะเอ่ยคำพูดดุร้ายแม้เพียงครึ่งคำอีก
เยี่ยจงในตอนนี้ ไร้ผู้คนที่จะต้านทานไว้ได้ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยน มุ่งหน้าก้าวยาวๆไปยังบริเวณที่เป็นเจ้าของเรื่องที่ยังคงยืนอยู่อย่างเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยและเหล่ารุ่นที่สาม เพราะว่าคนเหล่านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือต่อเยี่ยถงแน่นอน
เยี่ยถงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเยี่ยจงในตำแหน่งที่มีค่ายกลยันต์วิญญาณคอยคุ้มครองเอาไว้ นางเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้าราวกับอยู่ในความฝัน หลายปีมานี้ เยี่ยถงทุกวันที่อยู่ในตระกูลเยี่ยก็ไม่มีความสุข นับต้องแต่บิดามารดรของตอนจากไป ชะตาชีวิตของพวกเขาก็ราวกับถูกทำลายลง หากมิใช่เมื่อก่อนนี้ที่บิดามีพี่น้องอยู่ส่วนหนึ่งคอยช่วยเหลือแล้วละก็ เกรงว่าเยี่ยถงก็คงจะกลายเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งส่งมอบให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ทุกๆวันนี้ที่อยู่ภายในตระกูลเยี่ยก็ได้แต่เฝ้ารอคอย หวังว่าพี่ชายของตนเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ช่วยเบิกท้องฟ้าอันสดใสที่ถูกปิดกั้นไว้ให้แก่นาง
แต่ว่า นี้เป็นเรื่องที่ความจริงแล้วแม้แต่นางเองก็ยังคิดว่าเป็นไปได้ สุดท้ายตอนนี้กลับเกิดขึ้นจริงๆ เยี่ยจงในการตอนนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นดั่งเทพสังหาร ราวกับเทพแห่งความตาย ที่มีพละกำลังพึ่งพาได้เพียงหนึ่งเดียว อีกทั้งยังบีบคั้นตระกูลเยี่ยจนแทบจะมิอาจหายใจได้ แต่ว่าจากที่เยี่ยถงมอง จมูกก็ได้เริ่มคันขึ้นมา นางทราบว่า พี่ชายที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ก็ทำเพื่อตนเอง ยังดีที่เขายังมาได้ทัน หากในตอนที่เขามาในช่วงเวลาที่ตนเองได้จากไปแล้ว เกรงว่าตระกูลเยี่ยก็คงต้องถูกเขาลากลงขุมนรกพร้อมกัน
หลังจากที่คิดดูแล้ว เยี่ยถงก็ทั้งมีความสุขแล้วก็รู้สึกลำบากใจ จนน้ำตาไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
“ ลงมือพร้อมกัน ต้องหยุดเขาให้จงได้ “
ผู้คนมากมายของตระกูลเยี่ยที่อยู่ท่ามกลางที่แห่งนี้ต่างมองดูเยี่ยจงก้าวเดินเข้ามา ใบหน้าเปลี่ยนสีแล้วตะโกนออกมา
เยี่ยจงในตอนนี้แทบจะไม่เห็นแก่หน้าของตระกูลเยี่ยเลย เขากระทำเรื่องเช่นนี้เพียงคนเดียวอย่างง่ายดายจนทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้และผู้นำตระกูลยังต้องถูกตัดแขนข้างหนึ่งแล้วละก็ เช่นนั้นความเสียหายที่ได้เกิดกับตระกูลเยี่ยคงจะอยู่ในระดับที่ยากจะคาดคิดเอาไว้ได้
เยี่ยจงผู้นี้ ได้เตรียมที่จะจัดการตระกูลเยี่ยให้จมดินให้ได้แล้ว
“ ท่านประมุข มิอาจที่จะยั้งมือไว้ไมตรีได้อีกแล้ว สังหาร สังหารเขาซะ อย่าได้คิดเรื่องที่เขาจะสามารถกลับมายังตระกูลเยี่ยอีกเลย บุคคลเช่นนี้หากให้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว จะต้องเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเยี่ยแน่นอน “ มีคนผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ด้านข้างเยี่ยเจิ้งหยาง
ร่างกายของเยี่ยเจิ้งหยางสั่นเทาคราหนึ่ง ทันใดนั้นต่อมา เขากผ้ได้ลูบคลำไปที่ยันต์สีหยก หลังจากที่ลังเลชั่วครู่ ก็ค่อยบีบมันด้วยความรุนแรง
“ ซวบ ซวบ ซวบ “
ตามความเคลื่อนไหวของเยี่ยเจิ้งหยาง วินาทีนั้น ก็ได้พบกับเงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมาอย่างไร้สุ่มเสียง เงาร่างเหล่านี้ความจริงแล้วต่างก็เป็นหน่วยเดนตายที่ตระกูลเยี่ยเลี้ยงไว้ หากเทียบกับด้านพลังฝีมือกับยอดฝีมืออื่นๆถือได้ว่าพลังต่อสู้ที่สูงเยี่ยม แต่คิดไม่ถึงกลับต้องนำมาใช้ในการจัดการกับผู้เยาว์ของตระกูลเยี่ยเพียงผู้หนึ่ง ในข้อนี้ เกรงว่ารุ่นก่อนๆคงจะคาดไม่ถึงเช่นกัน
“ เดนตายของตระกูลเยี่ย ? เจ้าพวกไร้น้ำยา “
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นชา พลังอัสนีบนร่างทอแสงขึ้นอย่างเด่นชัด ความเร็วของร่างกายได้เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดอีกครั้ง และในเวลาเดียวกัน กระบี่คงหมิงในมือก็ได้สาดประกายไปทั่ว ฟาดฟันออกไปเป็นสาย
เกี่ยวกับหน่วยเดนตายที่เป็นดั่งหุ่นเชิดเหล่านี้ก็มิปาน เยี่ยจงความจริงแล้วยังคิดจะยั้งไมตรีอยู่บ้างหลายส่วน แต่ว่าเมื่อพบว่าเป็นเช่นนี้ก็พบว่าหนึ่งในนั้นเริ่มที่จะแอบเข้าไปใกล้ยังบริเวณจุดที่เยี่ยถงอยู่ การคิดที่จะทำเช่นนี้ต่อหน้าตนเองแล้วละก็ ภายในดวงตาของเยี่ยจงได้ปะทุรังสีสังหาร วินาทีนั้นพลังที่ใช้ออกด้วยด้วยกระบี่ก็หนักขึ้นนับพันเท่า ทว่าวช่วงเวลาที่ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งถ้วยน้ำชาน้ำเดือด ก็ได้มีเดนตายของตระกูลเยี่ยถูกเข่นฆ่าตายไปนับร้อยในที่แห่งนี้
ครั้งนี้กับการตัดแขนก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน บนพื้นได้เต็มไปด้วยร่างศพจนทำให้เหล่าหน่วยเดนตายต้องขนลุกขึ้นมา เยี่ยจงผู้นี้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ว่าเขาเพียงแค่คนเดียวก็เทียบได้กับกองทหารหนึ่งพันคน กับแค่หน่วยหลักร้อย เป็นที่ชัดเจนว่าตระกูลเยี่ยแทบจะเทียบกันมิได้เลย
พลังฝีมือเช่นนี้ พรสวรรค์เช่นนี้ เกินกว่าคำว่าน่าสะพรึงกลัวจะอธิบายได้แล้ว
.
.
.
.