ตอนที่ 156 เส้นทางสู่งานเลี้ยง
ภายในโรงเตี๊ยมที่เป็นจุดส่งข่าวของลัทธิแห่งดวงดาว เยี่ยจงก็ได้ถึงแหวนออกมาวงหนึ่งมองให้แก่เยี่ยถง แล้วก็ได้นำสมุดทองคำของคัมภีร์ก่อฟ้าล้างไขกระดูกออกมา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ หลังจากที่ไปถึงลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว เจ้าก็ตั้งใจฝึกปรือกับศิษย์พี่หลิงเยวี่ย วิชาของเหล่านั้นของตระกูลเยี่ยที่เจ้าฝึกก็จงปล่อยวางเสีย วิชาก่อฟ้าล้างไขกระดูกนี้ มาจากอารามก่อฟ้าในตำนาน สามารถเพิ่มโอกาสให้เจ้าเข้าสู่เข้าสู่ขั้นก่อฟ้าได้สูงยิ่งขึ้น “
“ นอกจากนั้น โอสถปรานหลายเม็ดนี้ ยังทั้งช่วยให้เจ้าก้าวขึ้นอีกขอบเขตได้ ยังมีที่ไว้ใช้รักษาบาดแผล ด้านในข้าได้เขียนวิธีใช้และสรรพคุณไว้อย่างละเอียดแล้ว หากมีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจ เจ้าสามารถสอบถามศิษย์พี่หลิงเยวี่ย ศิษย์พี่ซูหยี่และพรรคพวก ต่างก็เป็นคนที่ข้าให้ความไว้ใจได้ภายในลัทธิแห่งดวงดาว หากเจ้าไม่ชมชอบฝึกปรือกับศิษย์พี่หลิงเยวี่ยแล้วละก็ ก็ไปอยู่ยังที่พักของข้าที่เป็นสถานที่ฝึกฝนของข้าเองได้ เป็นเด็กดีละ เข้าใจไหม ? “
เมื่อได้เหม่อมองเยี่ยจงนำสิ่งของมาให้ เยี่ยถงก็ได้แต่อ้าปากตาค้าง แม้แต่คัมภีร์ลมปราณที่ล้ำลือกันอย่างอารามก่อฟ้าก็ยังตกอยู่ในมือของพี่ใหญ่ของตนเองผู้นี้ สิ่งนี้ก็ช่างอยู่สูงเกินเอื้อมไปแล้วกระมั่ง ? “
“ พี่เยี่ยจง เพราะเหตุใดข้าถึงไม่อาจที่จะสามารถรอท่านอยู่ที่นี้แล้วจากไปพร้อมกัน ? “ เยี่ยถงยังคงยอมรับไม่ได้อยู่หลายส่วน ยังคงต้องการที่จะอยู่เป็นพี่ชายของตนต่อ
หลังจากที่เยี่ยจงลังเลชั่วครู่ ค่อยกล่าวเสียงแผ่วเบา “ เป้าหมายของการที่มาเมืองเยียจิงในครั้งนี้ก็คือมาอวยพรวันก่อตั้งราชวงศ์ แต่ว่าข้ากลับรู้สึกว่ากลับมีบางเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจจะต้องดำดิ่งเข้าไปลึกจนมองไม่เห็นแม้แต่ปลายทาง ต่อให้แม้แต่ข้าจะมีพละกำลังที่เพียงพอ มีลัทธิแห่งดวงดาวคอยหนุนหลัง ก็ใช่ว่าจะสามารถถอยออกร่างกายครบทุกส่วน ดังนั้น เจ้ายังอยู่ที่แห่งนี้แล้วละก็ ข้ามีแต่จะกังวล “
หลังจากที่เงียบงัน หลังจากที่เยี่ยถงเกิดความลังเล ก็ค่อยพยักหน้าไปมา นางมิใช่คนที่ไม่ทราบถึงเรื่องบางเรื่อง ทั้งยังทราบดีแก่ใจ หากว่าให้นางอยู่ต่อในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยอันใดเยี่ยจงไม่ได้ ยังอาจจะนำอันตรายมาให้เยี่ยจงอีกด้วย
“ ได้ พี่เยี่ยจง ข้าจะเชื่อฟังท่าน ข้าจะเร่งไปยังลัทธิแห่งดวงดาว “ เยี่ยถงเอ่ยปากกล่าว
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง เพื่อเรียกให้ศิษย์สาขานอกของลัทธิแห่งดวงดาวผู้หนึ่ง เรียกระดมพล
หลังจากที่ศิษย์สาขานอกได้พยักหน้าอยู่หลายครา ทันใดนั้นก็ได้มีศิษย์สายานอกของลัทธิแห่งดวงดาวสิบกว่าคนออกมา บุคคลเหล่านี้มีหน้าที่ส่งเยี่ยถงกลับไปลัทธิแห่งดวงดาว
กับสถานะของเยี่ยจงในเวลานี้วันนี้ภายในลัทธิแห่งดวงดาว อีกทั้งยังเป็นถึงศิษย์สาขาใน บวกกับได้รับคำสั่งจากเบื้องสูงของลัทธิแห่งดวงดาวให้มาทำภารกิจจึงทำให้มีอำนาจต่อศิษย์สาขานอกที่อยู่ในเมืองเยียจิง ดังนั้นการร้องขอของเขาในคราวนี้ ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวก็มิอาจที่จะไม่ปฏิเสธได้
และทางด้านลัทธิแห่งดวงดาวนี้ ยังไงเสียก็ยังต้องเห็นแก่หน้าของเยี่ยจงอยู่หลายส่วน ต่อให้มิอาจที่จะรับเยี่ยถงเข้าสู่ลัทธิได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับขับไสไล่ส่งออกไป เพิ่มเติมด้วยยังมีการดูแลของหลิงเยวี่ยอีก เยี่ยถงอยู่ภายในลัทธิแห่งดวงดาว เยี่ยจงก็วางใจได้อย่างเต็มที่
มอบหมายให้ศิษย์สาขานอกของลัทธิแห่งดวงดาวสิบกว่าคนแล้ว หลังจากที่คอยคุ้มครองส่งเยี่ยถงจากไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้สูดลมหายใจยาวๆเข้าไปคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้นำโอสถรักษาเม็ดหนึ่งกลืนลงไป เริ่มต้นที่จะฟื้นฟูกลับคืนมา
ศึกบ้านตระกูลเยี่ยในครั้งนี้ ถือได้ว่าเยี่ยจงก็เกิดความสูญเสียไปไม่น้อย ภายในเมืองเยียจิงนี้ เขามิอาจฟื้นฟูพลังอย่างเชื่องช้า จึงได้แต่เพียงกลืนโอสถ
ทว่าก่อนศึกในครั้งนี้ถึงแม้จะสูญเสียไปมาก แต่ว่าเยี่ยจงกลับมิได้รับบาดเจ็บที่สาหัญแต่อย่างไร ในทางกลับกันในตอนนี้ตนเองกลับยิ่งมีความคุ้นเคยกับพลังที่ฝึกฝนมาใหม่เหล่านี้ก็มิปาน ทำให้ร่างกายของเยี่ยจงมีความคุ้นเคยกับวิชาใหม่ๆเหล่านี้ได้ทั้งหมด
ภายใต้สภาวะปกตินี้ ภายในพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด สมควรเรียกได้ว่าคงกระพันแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือปกติระดับปราณก่อฟ้า ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจงเลย และหากเขาเปิดไพ่ตายทั้งหมดที่มี กับแค่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อเกิดก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อันใด
ภายใต้สถานการณ์นี้เอง หลังจากที่ได้พักฟื้นแล้วหนึ่งวัน ในบริเวณที่เยี่ยจงพัก ก็ได้มีทหารองค์รักษ์สองคนมาขอพบ
“ ท่านแขกผู้มีเกียรติ ข้าพเจ้าเป็นองค์รักษ์ประจำตัวองค์ชายใหญ่ “ องค์รักษ์ทั้งสองแสดงความเคารพอย่างให้เกียรติที่สุด “ คืนนี้ที่บ้านพักวังชั้นนอกของนายพวกข้าได้ส่งคำเชิญมา ขอเรียนเชิญท่านมาร่วมงานเลี้ยงด้วย “
หลังกล่าวจบ ทั้งสองคนก็ได้ทำท่าทางคารวะแล้วนำบัตรเชิญทองคำออกมาหนึ่งแผ่น ทันใดนั้นก็ได้โค้งคำนับแล้วคารวะถอยจากไป
เยี่ยจงหยิบบัตรเชิญทองคำมา หลังจากนั้นก็หรี่นัยน์ตามองมา งานเลี้ยงในครั้งนี้ สมควรที่จะเป็นเรื่องที่องค์ชายใหญ่เคยกล่าวไว้เมื่อวันก่อนที่ชุมนุมงานค้า จากที่ดูสถานที่จัดงานเลี้ยง ยังถึงกับอยู่ภายในวังชั้นนอกของราชวัง
หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วน ถึงการที่องค์ชายใหญ่จัดงานเลี้ยงอยู่ภายในบ้าน ผู้ที่ถูกเชิญก็สมควรที่จะเป็นเหล่าขุมกำลังต่างๆ รวมทั้งเหล่าเครือญาติมิตรสหายที่มีความใกล้ชิด ต่างก็เป็นเหล่าบุคคลที่อาจจะเข้าร่วมกับพิธีอวยพรวันครบรอบก่อตั้ง เป็นเหมือนดั่งการนัดหมายเล็กน้อยก่อนครั้งหนึ่ง
และการนัดหมายในครั้งนี้ ตนเองถึงแม้จะมาเพื่อที่จะเข้าร่วมพิธีอวยพรวันครบรอบก่อตั้ง ต่อให้มิมีผู้ใดเชื้อเชิญ ตนเองก็ต้องไปก่อนอยู่ดี ยังต้องมีผู้คนเชื้อเชิญอีกงั้นหรือ ?
หลังจากที่ได้ครุ่นคิดแล้ว เยี่ยจงก็ได้เก็บบัตรเชิญทองคำลง จากนั้นก็ได้เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็ได้พักฟื้นอีกครึ่งวัน จึงค่อยออกจากโรงเตี๊ยมไป
ภายในส่วนในของเมืองเยียจงมีผู้คนมากมายอย่างหนาแน่น ภายในเมืองมีตรอกซอยเส้นทางทะลุถึงกัน บนพื้นถูกก่อสร้างด้วยหินอ่อนอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกที่อลังการสวยงาม
สามัญชนธรรมดาที่อยู่ส่วนในของเมืองก็มิอาจออกมาเดินได้ ตามเส้นทางบนท้องถนน มีคนขี่สิ่งที่เรียกว่าสัตว์ประหลาดใหญ่โตอยู่ หรือไม่ก็มีคนที่นั่งอยู่บนรถม้าคันโตอย่างรวดเร็ว เป็นดั่งบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา และที่นั่งอยู่บนสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยผู้มั่งมี
ค่ำคืนนี้แน่นอนว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้กล้าน้อยเหล่านี้ไม่ว่าจะนั่งอยู่บนรถม้าหรือสิ่งประหลาดอันใดก็ตาม แต่ละคนก็ได้มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางด้านวังชั้นนอก เห็นได้ชัดว่าเพื่อไปยังงานเลี้ยง
ตลอดรายทางมานี้ ความจริงแล้วก็ยังมีเหล่าเด็กหนุ่มไม่น้อยที่ไม่ถูกหน้ากันตระโกนด่าทอกัน อาจจะมีบ้างที่เกิดการต่อสู้ขึ้นในระหว่างเส้นทาง โลหิตกระเซ็นตามรายทาง และทั่วทั้งสี่ทิศมีเพียงเสียงหัวเราะมองเข้าไป ไม่มีผู้ใดที่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เยี่ยจงค่อยค่อยก้าวเดินไปตามทางสายหนึ่ง เขานั้นไม่ได้มีความรีบร้อนแต่อย่างไร เพียงแต่มีความเสนาะสนใจที่จะเหม่อมองฉากที่อยู่ตามรายทางไปทีละฉาก
เขาก็ได้พบเห็นคนที่กำลังขี่หอยทากยักษ์ขนาดใหญ่ผ่านหนทางสายนี้ไปอย่างรวดเร็ว มีผู้คนไม่น้อยที่มองไปอย่างอ้าปากคาค้าง เห็นได้ชัดว่าหอยทากตัวนี้น่าจากมาจากการใช้บางสิ่งทำให้เปลี่ยนไป มิเช่นนั้นก็คงจะไม่อาจที่จะมีขนาดที่ใหญ่โตได้เช่นนี้
เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่เยี่ยจงได้มองดูแล้ว ก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาแล้วก็ไม่สนใจ เขามิชื่นชอบงานเลี้ยงเจ้าพวกนี้ตั้งแต่เมื่อก่อนอยู่แล้ว แต่ก็ถือได้ว่าเคยเข้าร่วมอยู่หลายครั้งหลายครา ยังไงเสียก็คงจะไม่ตระหนกต่อสิ่งเหล่านี้
เมื่อได้เดินเข้ามาจนถึงบริเวณเส้นทางของวังชั้นนอกแล้ว ทั่วทั้งสี่ด้านของรายทางก็ได้เปลี่ยนจากคึกครืนเป็นเงียบงันขึ้นมา ทั่วทั้งสี่ทิศต่างก็มีรถมาขนาดใหญ่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากที่ค่อยๆเดินมาตามเส้นทางสายนี้ก็เริ่มรู้สึกที่จะไม่คุ้นตาขึ้นมา
“ น้องชายท่านนี้ เจ้าอาจจะเดินผิดทางเสียแล้ว ? ส่วนลึกของทางด้านนี้เป็นวังชั้นนอกของพระราชวัง มิให้บุคคลธรรมดาย่างกราย มิเช่นนั้นจะถูกตัดศีรษะเอาได้ “ คนผู้หนึ่งที่ขี่ม้าพวงพีด้วยตัวคนเดียวมองไปเยี่ยจงแล้วก็พบเห็นเยี่ยจงกำลังเดินอยู่บนทางสายนี้ เขาจึงได้หยุดลง กล่าวเตือนออกมา
“ ขอบคุณพี่ชายที่เตือนสติ แต่ว่าข้าก็ไปงานเลี้ยงที่วังชั้นนอกเหมือนกัน “ เยี่ยจงกล่าวตอบ
หลังจากที่เงียบงัน หลังจากที่ชายหนุ่มที่ผ่านทางมาผู้นี้ก็ได้งงงันครู่หนึ่ง ค่อยทำมือคารวะออกไปแล้วกล่าว “ น้องชาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้างั้นพวกเราก็ค่อยเจอกันที่วังชั้นนอกก็แล้วกัน “
ในระหว่างที่กล่าว เขาก็ได้ส่ายศีรษะไปมาลงแส้ไปที่ม้าแล้วจากไป เหล่าคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ที่ได้มายังงานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่ กล่าวไปเป็นแค่งานเลี้ยง เพียงแต่แค่นับตั้งแต่เริ่ม ก็มีผู้คนไม่น้อยที่เอามาเปรียบเทียบกันแล้ว รวมทั้งบรรดาพวกที่ขี่ม้าและนั่งรถม้าด้วย ก็นับเป็นอีกชนชั้นหนึ่ง
และเมื่อพบว่าเยี่ยจงได้เดินทางคนเดียวไปงานเลี้ยงในตอนนี้ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสมควรแล้วหรือไม่ ยังนับได้ว่าเป็นความสามารถแท้จริงอยู่หลายส่วน
เกี่ยวกับในส่วนนี้ เยี่ยจงกลับมิได้รู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย ยอดฝีมือที่แท้จริง จะแข็งแกร่งก็อยู่ที่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพาหนะหรือศาสตราวุธ ก็เป็นได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ยอดฝีมือที่แท้จริง ขอเพียงแค่เอ่ยนาม ก็สามารถที่จะทำให้คู่ต่อสู้เกรงกลัวจนถอยหนีไปได้แล้ว แต่มิใช่เอาแต่พึ่งพาสิ่งภายนอกใดๆมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
ตามรายทางต่อจากนี้ ก็ได้มีผู้คนไม่น้อยที่ผ่านเยี่ยจงไป พวกเขาต่างก็เหม่อมองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างประหลาดใจ
“ ไม่ทราบว่าเป็นผีสางที่มาจากบ้านนอกเขาลูกใด ถึงกับคิดที่จะเลียนแบบผู้อื่นเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่ นี้มิใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ ? “
“ เหอะเหอะเหอะ เขาคงจะมิใช่คิดว่า งานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็สามารถเข้าร่วมได้หรอกนะ ? หากว่าไม่มีบัตรเชิญ คาดว่าแม้แต่ประตูใหญ่ก็ยังไม่มีสิทธ์ที่จะเข้า “
“ เฮอะเฮอะ เป็นเพียงแค่สามัญชนผู้หนึ่ง กลับส่งผลภาพลักษณ์ผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างพวกเรา “
ท่ามกลางเหล่าลูกหลานของขุนนางเมืองเยียจิง คุณชายน้อยเหล่านี้เป็นต้นต่างก็ได้ผ่านเยี่ยจงไป จิตใจของพวกเขาเหล่านี้ไม่ถือว่ามีความล้ำลึกแต่อย่างไร และก็มิได้คิดใคร่ครวญมากมายอันใด ต่อมาก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
กับเหล่าบุคคลเหล่านี้เยี่ยจงก็ได้เงยหน้าขึ้นมาอยู่หลายครา แต่ก็มิได้เก็บเอามาคิดแต่อย่างไร ภายในสายตาของเขา คนเหล่านี้ก็ไม่ต่างอันใดจากแมลงวันเท่านั้น
“ เหอะเหอะ เป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดาคนหนึ่ง ถึงกับกล้าใช้สายตาเช่นนี้มองมาที่เหล่าพี่ชายของข้า หาที่ตายแล้ว “ มีลูกคุณนางคนหนึ่งที่พบเห็นว่าเยี่ยจงใช้สายตาอันเย็นเยียบมองเข้ามา ต่อจากนั้นก็ได้หยุดรถมาสีเงินขนาดใหญ่ นั่งอยู่บริเวณทางด้านหน้าต่าง มองไปทางด้านเยี่ยจงด้วยสายตาเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน
“ เจ้าสามัญชน ในตอนนี้เจ้ารีบคุกเข่าลงอ้อนวอน พวกเราก็จะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้นแล้วละก็ ในวันนี้เจ้าก็มิต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว พวกเราจะส่งเข้ากลับบ้านเก่าเอง ดีหรือไม่ ? “ ภายในรถม้าได้นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มหลายคน แล้วก็มีเสียงหัวเราะฮาฮาออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา วินาทีนั้นทั่วทั้งสี่ทิศทั้งม้าและรถม้าต่างก็หยุดลง เพื่อที่จะมองเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ฉากเบื้องหน้า ผู้คนมากมายต่างก็อยากที่จะดูมีเหตุการณ์ต่อมาจะเป็นเช่นไร
เยี่ยจงเงยหน้าจ้องมองไปยังบุคคลที่กำลังเอ่ยปากคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้ถอนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง เหล่าลูกศิษย์ลูกหาของผู้มั่งมีภายในเมืองเยียจิงแห่งนี้ ก็ช่างไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ หรือไม่ก็ ถ้าพวกเขาทราบว่าตนเองเป็นผู้ใด ยังจะมาหาเรื่องกับตนเองหรือไม่ ?
“ เจ้าจะคุกเข่าหรือไม่ ? ถ้าไม่คุกเข่าแล้วละก็ ก็อย่าได้มาเสียเวล่ำเวลาของคุณชายน้อยหลายท่าน ยอมให้พวกเราจัดการก็เป็นพอแล้ว “ ชายหนุ่มที่เอ่ยปากกล้าวก่อนหน้านี้ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นแล้วก็จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง จ้องมองราวกับมองเห็นคนตายแล้วก็มิปาน
ชายหนุ่มอีกหลายคนก็ได้หัวเราะด้วยเป็นสาย ในสายตาของพวกเขา เยี่ยจงก็ไม่ต่างอันใดจากหนูน้อยก็มิปาน ยังไงเสียก็ต้องเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ
“ ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสกับพวกเจ้าอีกครั้ง คุกเข่าลง ตบปากร้อยครั้ง ข้าก็จะไม่สังหารพวกเจ้า “ หลังจากที่สูดลมหายใจแล้ว เยี่ยจงก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา ถึงแม้เขาจะอยากที่จะอยู่ในความสงบ ไม่คิดที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับผู้คนใดๆ แต่ว่าคนเหล่านี้กลับมาหาที่ตายเสียเอง แน่นอนว่าเขาก็ต้องไม่เกรงใจแน่นอน
“ เจ้า — เจ้า …… ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ? ให้พวกข้าคุกเข่างั้นหรือ ? พวก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ “
“ เปรี้ยง “
เยี่ยจงโบกมือคราหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปคราหนึ่ง เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ความจริงแล้วยังมีปฏิกิริยากลับมาไม่ทัน ศีรษะก็ได้แตกระเบิดออกราวกับลูกแตงโมก็มิปาน หลงเหลือไว้แต่เพียงศพที่ไร้หัวล้มลงบนพื้น
สถานที่แห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบในทันที
.
.
.
.