ตอนที่ 173 ร่างเงามายา
“ ข้าก็ไม่เชื่อว่าเพียงแค่ชนรุ่นเยาว์ของตระกูลเยี่ยเพียงคนเดียว จะสามารถรับเอาไว้ได้ทั้งหมด “
ผู้อาวุโสหน้าดำของตระกูลซูได้ส่งเสียงออกมา จากนั้นก็แปรพลังทั้งสองมืออย่างบ้าคลั่ง เลือดลมภายในร่างของเขาราวกับกลายเป็นว่างเปล่าขึ้นมาก็มิปาน ทำให้ใบหน้าของเขาขาวซีดจนถึงที่สุด
“ ตูม “
พลังเพลิงอัสนีนับหมื่นสายได้แตกกระจายในเวลาเดียวกัน พลังอัสนีนับไม่ถ้วนได้เปลี่ยนจนมีร่างคล้ายกับมังกร เงาร่างมังกรอัสนีโบราณได้ทะยานขึ้นสูงนภา จากนั้นก็ได้พุ่งเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวได้กดทับไปยังทั่วทั้งร่างของเยี่ยจง ทำให้ร่างกายของเขาเผลอถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างไม่ตั้งใจ แต่ว่าเขาก็ยังหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ยื่นทั้งสองมือออกมา ยันต์วิญญาณได้ลอยออมาเป็นสายปรากฏอยู่ด้านหน้าร่างของเขาอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนท่าทีอย่างไม่หยุดยั้ง
ในเวลาเดียวกัน พลังกระบี่หกสุสานภายในกายของเยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวจนถึงระดับสูงสุด รวมทั้งเส้นลมปราณภายในร่างของเขา จุดหน้าท้อง กระดูกต่างก็ไหลเวียนเต็มไปด้วยพลังปราณทั้งมวลออกมา กลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งชนิดหนึ่ง สามารถสร้างพลังกดดันมังกรอัสนีกลับไปได้
“ ฟัน “
ทันใดนั้นต่อมา เยี่ยจงก็ได้ยื่นกระบี่คงหมิงในมือออกไป ตลอดทั้งร่างของเขาได้เกิดการรวมตัวของพลังบริสุทธิ์นับไม่ถ้วน กลายเป็นประกายกระบี่ทะลวงขึ้นสู่ท้องนภา จากนั้นเขาก็ได้โบกมือคราหนึ่ง คมกระบี่ก็ได้ฟาดลงมาจากท้องฟ้า มุ่งหน้าไปทางด้านของมังกรอัสนีด้วยพลังอันหนาแน่นและรุนแรง
“ ฮูม “
การโจมตีอันน่ากลัวทั้งสองสายได้เข้าปะทะกัน วินาทีนั้น ราวกับว่าทะเลอัสนีถูกพลิกกลับไปก็มิปาน พลังเพลิงอัสนีนับไม่ถ้วนได้มุ่งหน้าไปทั้งสี่ทิศแปดด้านกระจายกันออกไป ดูใหญ่โตเหลือคณา
คมกระบี่ได้เข้าปะทะกับมังกรอัสนี ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมา แต่ว่าแรงโหมของความน่าหวาดกลัวก็ยังไม่หยุดที่จะแผ่กระจายออกไป
ไม่ไกลมากนัก ยอดฝีมือมากมายต่างก็อ้าปากตาค้าง ค่ายกลเพลิงอัสนีของตระกูลซูนี้ที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงแม้จะมิได้เหนือความคาดหมายของผู้คนนั้น แต่ว่ากับความแข็งแกร่งของเยี่ยจงที่มีอยู่ถึงขั้นนี้ ? อีกทั้งเขาในครั้งนี้ยังใช้ออกไปด้วยค่ายกลอีกด้วย มิใช่ยิ่งทำให้แข็งแกร่งจนเกินไปหรือไง ?
กับพลังเช่นนี้ เมื่อได้เข้าปะทะกับค่ายกลป้องกันตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงแค่สิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ในขณะนั้นเอง ผู้คนนับไม่ถ้วนก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มจะกลายเป็นบ้าไปแล้ว กับปีศาจเบื้องหน้าเช่นนี้ เหล่าเด็กน้อยที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ของแต่ละขุมกำลังเหล่านั้น แต่ละคนก็เริ่มที่จะหลั่งเหงื่อออกมาอยู่เต็มใบหน้า
“ ตูม “
การปะทะมิได้ดำเนินไปเนินนานมากนัก หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชาเดือด มังกรอัสนีที่อยู่ท่ามกลางอากาศก็ได้กู่ร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา คมกระบี่ขนาดใหญ่ในขณะนี้ได้ประทุออกมาจนเป็นประกายคมกล้านับหมื่นสาย แทงทะลุร่างกายผู้คนออกไป
วินาทีนั้นเอง มังกรอัสนีก็ได้แตกกระจายท่ามกลางอากาศ กลายเป็นประกายสายฟ้านับหมื่นกู่ร้องขึ้นมา บ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ของตระกูลซู
“ เพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่ง “
ผู้คนมากมายจ้องมองจนลืมที่จะหายใจ
ยังมีผู้คนไม่น้อยที่มองออกว่า กระบี่ที่ใช้ออกมานี้สมควรที่จะเป็นทักษะยุทธ์ระดับธรรมดาในระดับต่ำ แต่ว่ากระบี่นี้กลับแฝงไว้ด้วยสำนึกกระบี่และความหมายกระบี่แฝงเอาไว้อยู่ด้วย แน่นอนว่าบุคคลธรรมดาจะไม่สามารถใช้ออกเช่นนี้ออกมาได้
ต้องเป็นร่างที่ผ่านประสบการณ์นับร้อยศึกมาแล้ว อีกทั้งยังต้องมีการฝึกฝนขัดเกลานับร้อยนับพันครั้ง จึงจะค่อยสามารถใช้ออกด้วยกระบี่เช่นนี้ได้ เยี่ยจงผู้นี้อายุยังน้อย เป็นไปได้อย่างไรกันที่มีขีดความสามารถได้จนถึงระดับนี้กัน ?
“ ไสหัวไปให้ข้า “
หนึ่งกระบี่ตัดผ่ามังกรอัสนีไป เยี่ยจงในตอนนี้ได้ปรากฏโลหิตไหลออกมาจากมุมปากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ที่เข้าปะทะ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าดวงตาของเขาในตอนนี้ยังคงทอประกายรังสีฆ่าฟันอย่างหนาแน่น มังกรอัสนีเมื่อครู่นี้มีความน่ากลัวอย่างถึงที่สุด หากว่ามิใช่ว่าในครั้งนี้เขาได้เตรียมยันต์วิญญาณมามากพอแล้วละก็ เกรงว่าคงจะไม่มีพลังฝีมือที่เพียงพอต่อการสังหารมังกรอัสนีนี้ได้ ต่อจากนั้นยิ่งไม่อาจที่จะให้ตระกูลซูเคลื่อนไหวค่ายกลอัสนีเพลิงต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ไม่แน่ว่าคงต้องอันใดขึ้นเป็นแน่
“ ซวบ “
แล้วก็ได้กวาดกระบี่ขึ้นฟ้าอีกครา เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ กระบี่นี้ของเยี่ยจงได้กวาดเข้าไปยังด้านของจุดตั้งของค่ายกลของผู้คนตระกูลซูอยู่ วินาทีนั้นเอง ผู้คนตระกูลซูนับสิบก็ได้ถูกฟาดฟันจนร่างขาดครึ่งในเวลาเดียวกัน
ได้มีผู้อาวุโสหลายคนกระอักโลหิตออกมา แต่ว่าในตอนนี้พวกเขาก็มิอาจที่จะขัดขื่นเยี่ยจงต่อไป เยี่ยจงเพียงแค่ใช้ออกด้วยวิธีเช่นนี้ จึงได้ทำให้พวกเขามิอาจที่จะควบคุมค่ายกลเพลิงอัสนีต่อไปได้
“ เด็กน้อย เจ้าสามหาว “
ผู้เฒ่าหน้าดำได้กระทึบเท้า ชี้หน้าไปที่เยี่ยจงแล้วด่าอย่างอดมิได้ จนสีหน้าบิดเบี้ยว
ใบหน้าของเยี่ยจงทอแววเยือกเย็น แล้วก็ได้แทงกระบี่ไปที่เฒ่าชราหน้าดำ แต่ว่าทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ จ้องมองไปท่ามกลางอากาศอย่างดุดัน
ในตอนนี้ ก็ได้มีประกายสายฟ้าปรากฏรวมตัวกันขึ้นมา รวมตัวอัดแน่นอยู่ท่ามกลางอากาศของบ้านตระกูลซู และความรู้สึกอบอุ่นของประกายสายฟ้าได้แผ่กระจายออกมา
“ นี้มัน ? “
ยอดฝีมือทั่วทั้งสี่ด้านตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าตระกูลซูได้สูญเสียการควบคุมค่ายกลเพลิงอัสนีไปแล้ว แต่ว่าทำไมถึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้กัน ? อีกทั้งค่ายกลเพลิงอัสนีในครั้งนี้ยังมีความเปลี่ยนแปลงไปจากตอนแรก เมื่อเทียบกันแล้วไม่ทราบว่าดูมีพลังกว่าไม่รู้กี่เท่าตัว ในข้อนี้ต่อให้เป็นบุคคลภายนอกเองก็ยังสามารถมองออก
เยี่ยจงกุมกระบี่คงหมิงในมือ สีหน้าได้เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน เขามิได้ลงมือต่อไปแต่อย่างไร อีกทั้งเพียงแหงนหน้าเหม่อมองไปที่ท่ามกลางอากาศ เด็กน้อยที่ควบคุมค่ายกลเพลิงอัสนีในตอนนี้ สามารถทำได้จนถึงขั้นนี้ เกรงว่าคงต้องอยู่ในระดับที่เข้าสู่ขอบเขตเซียนในระดับปฐพีแล้ว ไม่เช่นนั้นคงมิอาจที่จะควบคุมค่ายกลยันต์วิญญาณระดับสองได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ตระกูลซูมีบุคคลที่ร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
และในตอนนี้ แม้แต่เหล่าผู้คนของตระกูลซูต่างก็ได้เงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ใบหน้าปรากฏความสับสน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่ทราบ ผู้ที่มาควบคุมค่ายกลเพลิงอัสนีแทนอย่างกะทันหันนี้ ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่
“ อา ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว “ ผู้เฒ่าหน้าดำก็คิดอันใดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน หัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมา “ ตามคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาของตระกูลซูข้า ท่านบรรพบุรุษที่สร้างค่ายกลนี้เอาไว้ผู้นั้น ได้ฝึกปรือเข้าสู่ขั้นที่ทารกน้อยเช่นเจ้าก็ยังไม่มีทางที่จะทราบถึงได้ กล่าวกันว่า ขอเพียงตระกูลซูเราเกิดการสูญเสียจนถึงขั้นคับขัน ท่านบรรพบุรุษก็จะจุติมาแน่นอน เยี่ยจง เจ้าตายอย่างแน่นอนแล้ว “
“ เพราะข้าที่เป็นเพียงผู้เยาว์เพียงคนเดียว พวกเจ้าตระกูลซูยังถึงกับเกิดการสูญเสียจนถึงขั้นคับขันได้ พวกเจ้าตระกูลซูนี้ก็ไม่ไหวเลยนะ “ เยี่ยจงจดจ้องไปท่ามกลางอากาศ จากนั้นก็ได้ยิ้มอย่างเย็นชา เขาทราบดีว่าต้องไม่มีคนของตระกูลซูที่จะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าตอนนี้เกิดอันใดขึ้น แต่ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้บรรพบุรุษตระกูลซูที่ได้จุติมาผู้นี้ แน่นอนว่าต้องมีขีดจำกัดอยู่แล้ว ตนเองจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอันใด
ผู้คนของตระกูลซูไม่ถ้วนต่างก็ใบหน้าขาวซีดไร้คำพูด มีผู้อาวุโสอยู่หลายคนที่กระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง เยี่ยจงผู้นี้ช่างมีฝีปากที่ร้ายกาจนัก
“ กึง กึง กึง “
หลังจากที่ทั้งคนได้กล่าวแล้ว ท่ามกลางอากาศก็ได้ส่งเสียงประหลาดขึ้นมา แล้วก็ได้พบว่าประกายสายฟ้าได้หมุนวนขึ้นมาอย่างช้าๆ จนกลายเป็นพายุอัสนีขนาดใหญ่สายหนึ่ง จากนั้นก็ได้พบอัสนีบาตราลงมายังใจกลาง ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งอย่างช้าๆ
เงาร่างสายนี้มีร่างกายที่เป็นพลังงานสายฟ้ารวมตัวกันขึ้น ใหญ่โตไร้ที่เปรียบ ราวกับเป็นคนยักษ์ก็มิปาน จ้องมองมายังผู้คน
แล้วเขาก็ได้ค่อยๆเหยียบลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ กวาดสายตาอันเย็นชาไปรอบหนึ่ง แล้วก็ได้บรรจบไปร่างกายของเยี่ยจง
“ ตูม “
เพียงแต่ว่าสายตาที่จ้องมองมา ก็สามารถทำให้เยี่ยจงรู้สึกขนลุกขึ้นมาได้ กับบรรยากาศที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ ร่างกายของเขาก็ได้ถูกกระแทกจนลอยกระเด็นออกไป ตกลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง กระอักโลหิตคำโต ใบหน้าขาดซีด
“ อะไรกัน “ ยอดฝีมือมากมายที่ได้เห็นฉากเบื้องหน้า ก็ได้เปลี่ยนสีหน้าขึ้นมา พลังฝีมือของเยี่ยจงพวกเขาต่างก็พบเห็นมาแล้ว แม้กระทั่งตระกูลซูจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อแข็งขื่นเขา แต่ก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อได้อยู่ต่อหน้าเงาร่างเบื้องหน้าสายตานี้ เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“ ฮา ฮา ฮา ฮา ท่านบรรพบุรุษของเราเป็นเหมือนดั่งเทพเซียน เด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม วันนี้ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝัง “ มีผู้อาวุโสตระกูลซูตะโกนออกมา
“ ฮา ฮา ฮา ตระกูลซูข้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ เมื่อมีท่านบรรพบุรุษคอยปกป้อง วันหน้าจะมีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องตระกูลซูเรากัน “
ช่วงเวลานี้ตระกูลซูราวกับกำลังบ้าคลั่งขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขายังเกือบที่จะถูกฆ่าล้างทั้งตระกูลแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังภูผายังมีสายน้ำ
“ ขอบเขตของพลังยุทธ์ เริ่มต้นจากสิ่งที่ธรรมดา เข้าสู่ก่อฟ้า ไร้ซึ่งการเกิดดับ บรรลุซานเทียน(สามภพ) กลายเป็นมนุษย์สวรรค์ “ เยี่ยจงกุมไปที่หน้าอกแล้วกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ นี้มิใช่พลังฝีมือที่ขอบเขตสามภพพึงมีหรอกหรือ ? “
เยี่ยจงมีสายตาที่คมกล้ากว่ายอดฝีมือมากมายอยู่หลายเท่า เขามีความรอบรู้ถึงพลังยุทธ์อย่างถึงที่สุด ดังนั้นจึงสามารถมองออกถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของเจ้าของเงาร่างนี้ได้
“ ขอบเขตมนุษย์สวรรค์ เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก “ เยี่ยจงหัวเราะเย็นชา เกาะกุมไปที่หน้าอกแล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็นับโอสถรักษาพลังออกมากลืนลงไป
ในดินแดนซีฮ่วง เพียงแค่เป็นผู้ที่มีสามารถมาจนถึงขั้นนี้ได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยแล้ว ยิ่งเล็กน้อยไร้ที่เปรียบ
แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ตาม ในตอนนี้เยี่ยจงกลับมิได้เกิดความกลัวแต่อย่างไร ก็เพราะว่า ภายในดินแดนซีฮ่วงเจี่ย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยากที่รับแรงกดดันอันมหาศาลเช่นนี้ได้ ดังนั้น ร่างที่จุติลงมาในตอนนี้ก็เป็นได้เพียงแค่ร่างเงามายา อีกทั้งยังไม่มีแม้ก็ทั่งเนื้อแท้ของเขา
และเยี่ยจงก็ไม่เชื่อว่า ช่วงเวลาในตอนนี้ อีกทั้งบริเวณโดยรอบ เงามายาร่างนี้จะสามารถทำอันใดตนเองได้ เขาทำได้เพียงแค่สามารถพึ่งพาเพียงแค่พลังกดดันของตนเองเท่านั้น หากว่าเงามายาร่างนี้มีพลังหนึ่งในหมื่นของร่างจริงแล้ ตนเองในวันนี้คงตายไร้ที่กลบฝังอย่างแน่นอน
แต่ว่าเยี่ยจงกลับทราบอย่างกระจ่าง คิดที่จะทะลวงกาลเวลาโดยใช้การจุติของเงามายาเช่นนี้ ยังไงก็ต้องจ่ายออกไปด้วยค่าชดเชยที่มหาศาล
ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่กลัว ขอบเขตมนุษย์สวรรค์แล้วจะอย่างไร ?ในที่แห่งนี้ ก็ยังมีพลังฝีมือที่เทียบไม่ได้แม้แต่ร่างจริงแม้แต่น้อย
“ เป็นเจ้าเอง ที่ทำให้ตระกูลซูข้าอับจนมาจนถึงขั้นนี้ได้ ? “ เงาร่างอัสนีขนาดใหญ่มิได้รีบร้อนลงมือ เขาราวกับไม่เห็นเยี่ยจงอยู่ในสายตา จากนั้นก็กล่าวเสียงทุ่มต่ำ
เสียงนั้นได้ลอยมากับอากาศ ไม่ทราบว่ามาจากบริเวณที่ห่างไกลเพียงใด แต่ว่าก็ชัดเจนอย่างไร้ที่เปรียบ
และภายใต้เสียงนี้เอง ผู้คนของตระกูลซูก็ได้ขยับกายคราหนึ่ง คุกเข่าลงไปโดยทั้งสิ้น
“ ท่านบรรพบุรุษ ท่านบรรพบุรุษ เป็นเจ้าบัดซบผู้นี้ที่มาทำลายตระกูลของเรา ท่านบรรพบุรุษท่านต้องให้ความเป็นธรรมด้วย “ มีผู้คนของตระกูลซูส่วนหนึ่งคืบคลานไปตามพื้นดินอย่างรวดเร็ว กล่าวออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ำ
“ เป็นข้าเอง “ เยี่ยจงนำร่างมหัศจรรย์หมื่นโบราณออกมา เมื่อมีมันที่มีพลังอำนาที่แปลกประหลาดนี้แล้ว วินาทีนั้น ประกายโลหิตก็ได้ครอบคลุมไปทั่วร่างกายเยี่ยจง จนกลายเป็นเกราะโลหิตชิ้นหนึ่ง และในตอนนี้ พลังฝีมือของเขาก็ได้ปะทุสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาสามารถที่จะแผ่กระจายความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมาได้
เงาร่างประกายสายฟ้าจ้องมองไปที่เยี่ยจงอย่างเย็นชา หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงเบาบางกล่าวต่อออกมา “ ตอนนี้ เจ้าสำเร็จตัวเองซะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ ไม่เช่นนั้น เพื่อนของเจ้า ญาติมิตรของเจ้า สำนักของเจ้า ยังมีเหล่าผู้คนที่มีความสัมพันธ์กับเจ้า หรือเกรงว่าแม้แต่ผู้ที่เคยเห็นใบหน้าของเจ้าเพียงครั้งเดียว ต่างก็ต้องตายทั้งสิ้น “
เสียงอันเยียบเย็นนี้ ราวกับกำลังพูดคุยกับเหล่าแมลงก็มิปาน แต่ว่ากลับไร้ซึ่ง
.
.
.
.