ตอนที่ 180 สมบัติที่ระลึกพระราชวัง
แก้ไข”พระญาติขุนนางเสื้อแพร เป็นองค์ชายจิ่นยี้โหว”
“ วัตถุชิ้นนี้ถูกเรียกว่าชิ้นส่วนมายา อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสามสมบัติที่ประจำตระกูลซูอีกด้วย “ องค์ชายจิ่นยี้โหวยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ คุณชายเยี่ยยังคงไม่ทราบ เมื่อครั้งที่บรรพบุรุษตระกูลซูจะไปยังอีกภพหนึ่งสำเร็จ อีกทั้งสามรัฐภายในใหญ่ของเราเมื่อก่อนหน้านี้ ยังเป็นถึงบุคคลอันดับหนึ่งแห่งดินแดนซีฮวงเจี่ยนี้ ก่อนที่จะเขาจะจากไป เขาได้หลงเหลือสมบัติประจำตระกูลให้แก่ตระกูลเยี่ยทั้งหมดสามชิ้น ทั้งสองอย่างนั้นคุณชายเยี่ยจงได้พบเจอมาแล้ว แต่ว่าคุณชายเยี่ยคงจะไม่ทราบ สิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงชิ้นเดียว กลับเป็นชิ้นส่วนมายานี้เอง
กล่าวจบ องค์ชายจิ่นยี้โหวก็โบกมือคราหนึ่ง ชิ้นส่วนมายาก็ได้ทอดลงอยู่บริเวณด้านหน้าของเยี่ยจง
เยี่ยจงยื่นมือออกมาลูบคลำไปที่ชิ้นส่วนมายานี้ แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย วัตถุโบราณนี้ก็ได้ส่งกลิ่นประหลาด ออกมาจากตัวชิ้นส่วนโบราณนี้ อีกทั้ง เยี่ยจงยิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ในชิ้นส่วนมายานี้ความจริงแล้วต้องมีความลับบางอย่างแอบซ่อนเอาไว้อยู่ ในตอนนี้กลับได้ถูกหล่อหลอมไปอย่างสะอาดเรียบร้อย หากว่าตนเองยินยอมแล้วละก็ จะสามารถใช้ช่วงเวลาหนึ่งในการหลงเหลือพลังปราณบริสุทธิ์ของตนเองประทับเข้าไปตอนนี้
หลังจากนั้น เยี่ยจงก็ได้วางชิ้นส่วนมายาลง กล่าวเสียงแผ่วเบา “ ข้ายังมีอีกเรื่องที่จะไม่เข้าใจ คาดว่าองค์ชายก็คงจะมองออก วัตถุชิ้นนี้นับได้ว่ามีค่ามากกว่าสมบัติประจำราชสำนักมากแล้ว เพราะเหตุใดถึงได้นำออกมาให้กัน ?”
ในช่วงเวลาที่ได้ลงมือต่อตระกูลซูเมื่อวันก่อน เยี่ยจงกลับมิทราบว่าท่ามกลางตึกใหญ่สีเงินของตระกูลซูนั้นจะเก็บสมบัติประจำตระกูลอีกชิ้นไว้อยู่ และทางราชสำนักไม่เพียงแต่ทราบเท่านั้น อีกทั้งยังนำวัตถุชิ้นนี้มาหล่อหลอมแล้วนำมาส่งมอบเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่อยู่ในมือของตนเอง ในข้อนี้ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
“ คุณชายเยี่ยคิดมากไปแล้ว “ องค์ชายจิ่นยี้โหวฝืนยิ้มออกมา “ ความจริงแล้วสิ่งของชิ้นนี้ เล่าขานกันในราชสำนักว่า ถึงแม้จะมีผู้คนอยู่มากมาย ที่มีจิตใจอยากที่จะลิ้มลองอยู่มาก นั้นก็เพราะว่า สมบัติชิ้นนี้อย่างน้อยๆก็ต้องในระดับเสมือนเซียนแล้วมิใช่หรือ ? อีกทั้งวัตถุระดับนี้ ยังยากที่จะพบเห็นภายในสามรัฐใหญ่แห่งนี้ …….. แต่ว่า เกรงว่าภายในดินแดนแห่งนี้นอกเสียจากคุณชายเนี่ยแล้ว ก็คงมิมีผู้ใดที่หาญกล้าที่จะทดลองหล่อหลอมวัตถุชิ้นนี้แล้ว ? “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงยังคงเหม่อลอยอยู่อีกสักครู่ จึงค่อยมีปฏิกิริยากลับมา และจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มออกมาเสียงหนึ่ง
เป็นอย่างที่องค์ชายจิ่นยี้โหวกล่าวออกมาทั้งหมดก็มิปาน
เมื่อพบว่าการสนับสนุนของตระกูลซูที่มีความน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ทั้งภูมิหลัง ต่อให้เป็นทางราชสำนักก็ยังไม่กล้าที่จะเก็บสมบัติประจำตระกูลซูของพวกเขา ท่ามกลางเมืองเยียจิงนี้ คาดว่าคงมีเพียงแค่ตนเองที่เมื่อกระทำสิ่งใดแล้วไม่เกิดความลังเลเช่นการหล่อหลอมวัตถุชิ้นนี้เพื่อฝึกปรือ ในเมื่อตนเองก็ได้จัดการกับบรรพบุรุษตระกูลซูจนตายไปแล้ว ก็มิได้เพิ่มเรื่องอันใดมากขึ้นแต่อย่างไร อีกอย่างพวกคนอื่นๆ กลับไม่กล้าที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เยี่ยจงก็พลิกมือคราหนึ่ง แล้วก็ได้นำใยแมงมุมลี้ลับที่ได้แย่งชิงจากตระกูลซูออกมา แล้วส่งมอบให้แก่องค์ชายจิ่นยี้โหว
ในเมื่อสิ่งของชิ้นนี้อยู่กับตนเองก็ยังมิอาจมีประโยชน์อันใดในตอนนี้ อีกทั้งทางราชสำนักยังนำชิ้นส่วนมายามาแลกเปลี่ยน เยี่ยจงยังสามารถสร้างบุญคุณแก่ทางราชสำนักอีกด้วย
“ ขอบคุณคุณชายเยี่ยมากแล้ว “ องค์ชายจิ่นยี้โหวเก็บสิ่งของอย่างรีบร้อน แล้วก็ได้นำภาพวาดค่ายกลออกมาวางไว้ด้านหน้าของเยี่ยจง กล่าวเสียงแผ่วเบา “ อีกอย่างภาพวาดค่ายกลนี้ คุณชายเยี่ยคิดเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของข้าผู้นี้ก็ยังดี คิดเสียว่าเป็นสิ่งที่นำมาชดเชยกับสิ่งที่กระทำลงไป เชิญรับไว้เถอะ “
กล่าวจบ หลังจากนั้นก็ได้กระพริบขึ้นอีกครั้ง องค์ชายจิ่นยี้โหวจึงได้ใช้น้ำเสียงที่มีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่ได้ยินกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ อีกอย่างข้าได้รับข่าวคราวมาว่า สำนักเสวียนหวินได้ส่งผู้เยาว์มากพรสวรรค์ผู้หนึ่งออกมา พร้อมกับจะลงมือต่อคุณชายเนี่ย ตามนิสัยการลงมือของสำนักเสวียนหวินแล้ว พวกเขาอย่างน้อยก็คงต้องลงมือในวันที่ถวายพระพรเป็นแน่ ยังคงขอให้คุณชายเยี่ยโปรดเตรียมตัวรับมือเอาไว้แต่เนิ่นๆ “
กล่าวจบ องค์ชายจิ่นยี้โหวก็ได้ลุกขึ้นยืนทำมือคารวะ หลังจากนั้นก็ได้ค่อยๆถอยออกไป
เยี่ยจงเกิดความลังเล จ้องเขม็งไปที่องค์ชายจิ่นยี้โหวที่กำลังเดินถอยออกไป หลังจากนั้นเค้าจึงได้จ้องมองไปยังสิ่งของที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าทั้งสองชิ้น
ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนมายาที่พึ่งจะตกอยู่ในมือของเยี่ยจงในตอนนี้ หรือว่าจะเป็นภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณ เห็นได้ชัดว่าต่างก็มิได้เป็นสิ่งของที่ธรรมดาสามัญแต่อย่างไร เมื่อได้รับสิ่งของทั้งสองอย่างนี้มาแล้ว เยี่ยจงก็ยิ่งที่จะทำให้ตนเองสามารถเพิ่มระดับพลังฝีมือของตนเองปะทุขึ้นไปอีกขั้น เพิ่มพลังในการต่อสู้ขึ้น
และในช่วงเวลาที่คับขันเช่นตอนนี้ ทางราชสำนักยังถึงกับส่งองค์ชายจิ่นยี้โหวเพื่อที่จะส่งมอบสิ่งของทั้งสองสิ่งนี้มาให้ เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติประจำราชสำนักเพียงชิ้นเดียว เรื่องในครั้งนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม ก็นับได้ว่าตนเองได้กำไรมากมายกายกองแล้ว
แต่ว่า เรื่องราวกลับไม่สมควรที่จะง่ายดายเช่นนี้ ?
เยี่ยจงหรี่ตามองดู หลังจากนั้นก็ได้สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง ไม่ว่าทางราชสำนักที่แท้จะมีเป้าหมายอันใด ในตอนนี้ในเมื่อตนเองก้าวมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงมิอาจที่จะหันหลังถอยไปได้แล้ว
ต่อมา เยี่ยจงก็มิได้คิดมากอีกต่อไป แล้วก็หลังจากที่ได้จ้องเขม็งไปที่ชิ้นส่วนมายาแล้ว ก็ได้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวพลังกระบี่หกสุสานขึ้น หล่อหลอมชิ้นส่วนมายานี้อย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้เริ่มจ้องมองไปอย่างดุดัน ดวงตาได้ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา
แน่นอนว่าชิ้นส่วนมายานี้ต้องมิได้อยู่ในระดับขั้นเสมือนเซียนอย่างแน่นอน ภายใต้ขั้นตอนในการหล่อหลอม เยี่ยจงก็สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน ชิ้นส่วนมายาชิ้นนี้ได้มีกลิ่นอายของพลังเซียนที่อัดแน่นอยู่ในตัวของมันอยู่หลายส่วน นี้เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเข้าใกล้เกินกว่าขอบเขตระดับเซียนไปแล้ว น่าจะเป็นสมบัติที่อยู่ที่อยู่ในระดับราชันเท่านั้นถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ และเมื่อมาจนถึงขั้นนี้แล้ว สมบัติชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงพลังปราณได้ก็มิปาน มีพลังเซียนเฉพาะเป็นของตัวเอง หากสามารถฝึกปรือแล้วละก็ คงจะแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ
ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนมายาจะมีพลังอยู่เพียงเท่านี้ในตอนนี้ แต่ว่าก็บ่งบอกได้ว่าวัตถุชิ้นนี้มีความแข็งแกร่งที่มากมายและมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
แต่ว่าหลังจากที่คิด เยี่ยจงก็ยังคงคิดไม่ออกว่า เพราะเหตุใดซูจื่อหวินจึงมิได้ใช้ออกด้วยชิ้นส่วนมายานี้ สมบัติที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ หากว่าเขาใช้ออกมา ตนเองคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะสวนกลับไปได้
“ นอกเสียจากว่ามีคำบอกเล่าบางอย่างอยู่ ดังนั้นตระกูลซูจึงทำเหมือนวัตถุชิ้นนี้เป็นเหมือนดั่งสมบัติวิญญาณที่มีความพิเศษเฉพาะตัว อย่างเช่นจำพวกแหวนจักรวาน แต่กลับมิได้ทราบถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุชิ้นนี้อยู่ในจุดใด ? “
เยี่ยจงยังคงคาดเดา แต่ว่าตระกูลซูในตอนนี้กลับถูกเขาฆ่าล้างจนไม่เหลือซาก ต่อให้เขาต้องการที่จะตามหาคนมีสอบถาม ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว เยี่ยจงก็มิได้คิดต่อไปอีก เพียงแต่พลิกภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณโบราณออกมา วิเคราะห์ดูอย่างระมัดระวัง
ภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณชิ้นนี้กลับไม่มีชื่อ การสร้างก็นับได้ว่าง่ายดายอย่างถึงที่สุด แต่ว่าภายใต้ความง่ายดายเช่นนี้ ราวกับมีความเปลี่ยนแปลงมากมายไม่รู้จบ ภายในใจของเยี่ยจงได้เกิดความเครียดขึ้น ตัดสินใจอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งหากว่าไม่มีวิธีที่จะวิเคราะห์ภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณได้อย่างละเอียดว่ามีความเปลี่ยนแปลงใดแล้วละก็ เช่นนั้นต่อให้เป็นเยี่ยจงเองก็มิกล้าที่จะใช้ค่ายกลออกโดยสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ช่วงเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้ผ่านไปสามวัน เยี่ยจงจึงได้ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภายในดวงตาได้ปรากฏประกายขึ้นมาสายหนึ่ง
หลังจากได้ที่จินตนาการมาถึงสามวัน เยี่ยจงค่อยค้นพบว่า ตนเองเพียงทราบได้เพียงแค่ส่วนเล็กส่วนน้อยของภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณไร้นามชิ้นนี้ อีกทั้งจากความง่ายดายเหล่านี้กลับเป็นความแปรเปลี่ยนอย่างซับซ้อนอย่างถึงที่สุด เขาก็มิได้เป็นแค่ผู้ที่อย่างรู้อยากเห็นอันใดนัก
ทว่ายังดีที่มีประสบการณ์ที่ผ่านมาคอยช่วยเหลือ ในเวลาเดียวกันเขาก็สามารถใช้ออกด้วยขบวนยันต์เซียนมู่เถาได้ เขาจึงพอที่จะสามารถสัมผัสได้ว่ามีเส้นขนบางๆอยู่
หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใช้ยันต์วิญญาณระดับหนึ่งปกติธรรมดา เกรงว่าคงต้องเสียเวลาไปนานนับหลายเดือน จึงจะสามารถมีข้อสรุปใดๆออกมาได้
“ ช่างน่าเสียดาย หากว่าพลังฝีมือของวิชายันต์มีความก้าวหน้าอีกหน่อยแล้วละก็ คาดว่าคงจะต้องจ่ายออกไปสิ่งของที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยังถือได้ว่าเพียงพอแล้ว
เยี่ยจงพูดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้เก็บภาพวาดค่ายกลยันต์วิญญาณไร้นามไป แล้วก็ได้ค่อยๆลุกขึ้นมา ผ่านไปได้สามวัน ช่วงระยะเวลาของการเข้าร่วมพิธีอวยพรก็เหลือเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ในตอนนี้เขาต้องทำให้พลังของตนเองฟื้นคืนจนถึงจุดสูงสุด ยังดีที่มีคนของอ๋องใหญ่มาเช่น ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาที่มายังเมืองเยียจิงในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของลัทธิแห่งดวงดาวเพื่อมาถวายคำอวยพรแก่องค์ฮ่องเต้
ช่วงวันเวลาหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในวันถัดไป เยี่ยจงก็ได้ฟื้นคืนกลับสู่สภาพสูงสุดแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับข่าวสารที่ถูกส่งมาจากลัทธิแห่งดวงดาว เยี่ยจงในตอนนี้ได้ถูกส่งไปยังลัทธิแห่งดวงดาวอย่างปลอดภัยแล้ว และทางลัทธิแห่งดวงดาวก็ยังเห็นแก่หน้าของเยี่ยจง ดังนั้นในตอนนี้จึงรับเยี่ยถงเข้าไปเป็นศิษย์สาขานอกของลัทธิแห่งดวงดาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีทั้งหลิงเยวี่ย ซูหยี่และพวกคอยปกป้องคุ้มครอง เยี่ยจงก็วางใจได้เต็มสิบส่วน
“ เช่นนั้นต่อจากนี้ไป ก็สมควรที่จะออกเดินทางแล้วสินะ ? “
เยี่ยจงได้ถอนลมหายใจออกมาเบาๆคราหนึ่ง จากนั้นก็มีศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวสาขานอกหลายคนล่าถอยออกมา และจากนั้นเขาก็ได้ก้าวออกไปจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังบริเวณทางด้านใจกลางของเมืองที่เป็นที่ตั้งทางวังส่วนในของทางราชวัง
ราชวังที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง ทั้งมีความเจริญ โบราณ งดงาม เห็นได้ชัดว่าได้แผ่กระจายกลิ่นอายโบราณอย่างไร้ที่เปรียบออกมาให้เห็นแต่ไกลๆ ก็จะสามารถที่จะพบกับเหล่าพลังปราณที่อัดแน่นกันจนเหมือนมีรูปร่างดั่งมังกรอยู่บริเวณท่ามกลางเมืองหลวง ค่อยๆลอยไปมา
“ ปราณราชันมังกร “
กับบรรยากาศเช่นนี้เยี่ยจงก็มีความเข้าใจอยู่หลายส่วน ท่ามกลางดินแดนซานเชียนเซินเจี่ย ภายในหนึ่งรัฐหากว่าราชวงศ์ใดสามารถมีปราณราชันมังกรแล้ว ก็เรียกได้ว่าสามารถที่จะบ่งบอกได้ถึงพลังขอบเขตของการต่อสู้ได้ ดังนั้นท่ามกลางดินแดนซานเชียนเซินเจี่ย ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงรัฐที่มีความเก่าแก่ พลังฝีมือแน่นอนว่าย่อมมีความแข็งแกร่งที่บรรพบุรุษหลงเหลือเอาไว้ให้
เพียงแต่ว่า ที่แห่งนี้เป็นเพียงดินแดนซีฮวงเจี่ยเท่านั้น มิใช่เป็นดินแดนซานเชียนเซินเจี่ย ดังนั้น ในตอนนี้ทางราชวงศ์ถึงแม้จะมีการปรากฏปราณราชันมังกรออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้มีอันใดที่พิเศษมากนัก
เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ราชวงศ์ต้าโจวจะมีความแข็งแกร่งที่มากพอ แต่ว่าเมื่อเทียบกับราชวงศ์โบราณแห่งดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยแล้วก็เรียกได้ว่าต่างกันดั่งฟ้ากับดินเลยทีเดียว
“ ไม่ทราบว่าคนของราชวงศ์ต้าโจวจะมีพลังฝีมือเช่นไรกัน สมควรที่จะไม่อยู่ในขอบเขตก่อฟ้าแล้ว อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตก่อฟ้าระดับจักรวานแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะมียอดฝีมือที่เข้าสู่ขั้นก่อเกิดเซียนแล้วก็เป็นได้ “
เยี่ยจงได้กล่าวกับตนเอง ที่ได้คาดเดาเรื่องราวนับไม่ถ้วน แต่ว่าไม่ว่าคนของราชวงศ์ต้าโจวจะมาจากดินแดนใด ถ้าให้เยี่ยจงกล่าวออกมา ก็ยากจะหาวิธีคาดเดาอย่างถูกต้องได้ในเวลาเช่นนี้
เมื่อได้ค่อยๆก้าวเดินไปทางด้านด้านหน้าของวังหลวง ในตอนนี้ก็ได้มีกองทัพประจำวังหลวงออกมา หลังจากที่ได้พบว่าเยี่ยจงได้ควักป้ายเช่นทองคำออกมาแล้ว เยี่ยจงก็ได้ถูกเชื้อเชิญอย่างเกรงอกเกรงใจเข้าสู่ภายในวังหลวง เมื่อได้มายังห้องรับแขกหลังหนึ่งที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่เพื่อใช้ไว้พักผ่อนในเวลานี้
ในตอนที่เยี่ยจงกำลังรอคอยอยู่นั้น นับตั้งแต่เริ่มต้นก็ได้มียอดฝีมือจากขุมกำลังมามายที่ได้ถูกเช่นเข้ามายังห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ยอดฝีมือเหล่านี้ได้ออกมาจากทางด้านหนึ่ง อีกทั้งยังมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นเจ้าสำนักขุมกำลังใหญ่มากมาย อีกทั้งยังมีเหล่าบุคคลที่เป็นของขุนนางมาอีกทางด้านหนึ่ง สามารถกล่าวได้ว่า รัฐต้าโจวหวังเฉาในตอนนี้ได้รวมตัวกันด้วยยอดฝีมือที่แท้จริงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้แล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือที่มาจากทางด้านอีกทั้งสองรัฐใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงเกิดความประหลาดขึ้นมาหลายส่วน
เยี่ยจงยืนอยู่บริเวณมุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้า ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน มีผู้คนปรากฏตัวอยู่มากมายเช่นนี้ แต่ว่ากลับมีผู้คนไม่น้อยเลยที่แสดงออกถึงความแปลกใจอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่า พิธีอวยพรนี้ สมควรที่จะต้องเกิดเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดาขึ้นส่วนหนึ่ง
“ ต้าโจว ที่แท้แล้วต้องการที่จะแสดงอันใดกัน ? “ เยี่ยจงขมวดคิ้ว เพียงแต่มองเห็นว่าทางลัทธิแห่งดวงดาวส่งเขามาเพียงแค่คนเดียว ก็ทราบว่าเรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา อีกทั้งอย่างน้อยลัทธิแห่งดวงดาวก็ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ แต่ว่าในเวลานี้เยี่ยจงก็ยังคงคิดไม่ออกอยู่ดีว่า เป็นเพราะเหตุใดกันจึงได้ทำให้ลัทธิแห่งดวงดาวถึงกับมีความเกรงกลัวเรื่องนี้อยู่หลายส่วน
“ หลังจากที่ได้อวยพรแล้ว เรื่องที่จะต้องทำก็คือถอยจากไป “ หลังจากที่ได้ขมวดคิ้ว เยี่ยจงก็ครุ่นคิดอยู่ภายในจิตใจ
.
.
.
.