เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 182 เทียนจื่อเจวียวจื่อ

ตอนที่ 182 เทียนจื่อเจวียวจื่อ

 

 

ทางด้านหลังของตระกูลเยี่ย ก็ได้มีขุมกำลังใหญ่แห่งเมืองเยียจิงออกมาทีละกลุ่ม รวมทั้งขุนนางน้อยสี่ทิศ จ้านหวังน้อยโจวฉีซือ คุณหนูใหญ่เหร่ยทิงเหอแห่งตระกูลเหร่ยหรั่งไหลกันเข้ามาปรากฏให้เห็นในตอนนี้

 

แต่ว่าหลังจากที่มีการปรากฏตัวของบุคคลเหล่านี้ ต่างก็กล่าวทักทายกับเยี่ยจงด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่า บุคคลเหล่านี้ได้เริ่มที่จะตัดสินใจสานสัมพันธ์กับเยี่ยจงให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าเยี่ยจงจะฆ่าล้างตระกูลซูอย่างโหดร้ายเช่นไร แต่ว่าอย่างน้อยก็เป็นการบ่งบอกได้อย่างหนึ่ง ขอเพียงเขายังยืนอยู่ในที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็เป็นการบอกถึงความสำเร็จของเขา อีกทั้งกับบุคคลเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดที่คิดจะมาหาเรื่องเขาอย่างแน่นอน

 

ทั่วทั้งสี่ทิศมียอดฝีมือไม่น้อยที่จ้องมองมายังเหล่าผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ เยี่ยจงผู้นี้ที่ได้ถล่มสองในห้าตระกูลใหญ่ไปแล้วผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะมิได้รับผลกระทบใดๆ กลับกันยังทำให้เหล่าผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองเยียจิงต่างก็ชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย เพียงแค่นี้ก็เกินกว่าที่จะคาดคิดเอาไว้แล้ว

 

และในตอนที่ได้สนทนากับเหล่าขุนนางน้อยแล้วเสร็จ เยี่ยจงและพวกต่างที่สนทนากันอย่างออกรส ช่วงเวลานั้น เยี่ยจงก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง คิดที่จะสอบถามถึงข่าวคราวของการถวายคำอวยพรราชวงศ์ในครั้งนี้จะมีอันใดเกิดขึ้น ในสถานการณ์ระดับนี้ ยังไงเสียก็ยังต้องมีข้อมูลอยู่บ้างส่วนหนึ่ง

 

“ ที่พวกเจ้าว่ามา นอกจากสำนักมากมายที่มาจากทั้งสามรัฐใหญ่แล้ว ในครั้งนี้ต่างก็ได้ส่งศิษย์ของสำนักพวกเขามาเพื่อถวายคำอวยพรด้วยงั้นหรือ ? “

 

เยี่ยจงหรี่ตาลง กล่าวตอบออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ แน่นอนว่าในตอนนี้ อีกทั้งยังมิได้เกิดเรื่องราวใดขึ้นมา ควรทราบว่า การปรากฏตัวของเหล่าสำนักเหล่านี้ที่มีชื่อเสียงเข้ามาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดก็ตาม ในด้านกำลังพลต่างก็ถือได้ว่าเหนือกว่ารัฐต้าโจวหวังเฉาของพวกเรา หากรวมทั้งสามรัฐใหญ่เข้าด้วยกัน ก็ใช่ว่าจะสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ แต่ว่า ในครั้งนี้พวกเขากลับเดินทางมาถวายคำอวยพรด้วยตนเอง ในข้อนี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่เข้าใจมากนัก “องค์ชายจิ่นยี้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ เหอะ คนกลุ่มนั้นแหลาะ คุณชายเยี่ยโปรดถนอมตัวไว้ด้วย กับพวกสำนักที่มาจากนอกเหนือจากทั้งสามรัฐใหญ่นั้น ต่างก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันอยู่หลายส่วน “ ขุนนางน้อยสี่ทิศก็ได้เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา จดจ้องไปทางด้านร่างของกลุ่มชายหนุ่มที่เดินเข้ามายังตึกจักรพรรดิทองคำ

 

บนร่างของเหล่าชายหนุ่มได้สวมใส่ไว้ด้วยชุดที่เรียบง่ายอย่างที่สุด แต่ว่าก็ได้แผ่กลิ่นอายที่ดูลี้ลับโบราณชนิดหนึ่ง มีผู้คนส่วนหนึ่งที่มีสายตาคมกล้าถึงจะมองออกได้ ชายหนุ่มเหล่านี้ที่ได้สวมไว้ด้วยชุดที่คล้ายกับเกราะศึกสีดำเอาไว้ ที่ข้างเอวก็ได้แขวนได้ด้วยป้ายหยกธรรมดาชิ้นหนึ่ง ราวกับว่าเป็นสมบัติระดับปราณที่มีความไม่ธรรมดาอยู่

 

อีกทั้งผู้คนกลุ่มนี้ ชายหนุ่มมีความห้าวหาญ หญิงสาวก็มีงดงาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมิได้มีความตั้งใจจะกระทำเรื่องอันใด แต่ว่าทันทีที่ได้ปรากฏตัว ก็ได้ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องจ้องมองไปทางด้านของพวกเขา

 

พวกเขาในตอนนี้ เป็นเหมือนดั่งบุตรที่มาจากสวรรค์ก็มิปาน ราวกับเพียงแค่ยืนอยู่ในที่แห่งนั้น ก็ได้แผ่พลังออกมาจากทางร่างกาย แต่เมื่อเทียบกับคนของทางราชวงศ์ พวกเขาก็ยังถือว่าด้อยกว่าอยู่หลายส่วน

 

เยี่ยจงจ้องมองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็ได้หดดวงตามองออกไปด้วยประกายคมกล้าเล็กน้อย คนเหล่านี้สมควรที่จะเป็นเหล่าผู้คนที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย หากว่าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแล้วละก็ เกรงว่าภายภาคหน้าคงต้องเป็นชนชั้นผู้นำสั่งการผู้อื่นภายในของดินแดนซีฮวงนี้ได้ เพียงแค่พลิกมือก็สามารถเกิดฝนฟ้าคะนองศึก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถชี้นำความเป็นไปของรัฐรัฐหนึ่ง ก็มิใช่เรื่องยากเย็นอันใด

 

ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของเยี่ยจงก็มิปาน กลุ่มคนชายหนุ่มเหล่านี้ก็ได้จ้องมองกลับไปยังร่างของเยี่ยจงในเวลาเดียวกัน

 

อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนอกเหนือจากทั้งสามรัฐใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์พลิกฟ้าทลายดินของเมืองเยียจิง ราวกับว่าวินาทีนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้กลุ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นสองฝ่ายไว้อย่างชัดเจน

 

ท่ามกลางเมืองเยียจิงที่มีผู้มั่งคั่งในตอนนี้ก็รู้สึกอับอายอยู่หลายส่วน เมื่อได้มองดูคนอื่นและตนเองแล้ว คนอื่นนั้นที่นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวาสนา มีฐานะ แล้วก็ได้กลับมามองยังเกราะสีทองของตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นการแสดงออกที่แปลกอยู่บ้างก็มิปาน กล่าวอย่างง่ายดายก็คือพวกโอ่อวด

 

แน่นอนว่า ยังมีเหล่าบุคคลจำพวกองค์ชายเสื้อแพร จ้านหวังน้อยโจวฉีซือมีเป็นบุคคลมีชื่อเสียง พวกเขาจ้องเขม็งไปที่กลุ่มชายหนุ่มเบื้องหน้า แต่ก็มิได้เปลี่ยนแปลงสีหน้าใดๆ

 

“ เหอะ คาดว่าคงจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเมืองเยียจิงในหลายวันมานี้ ล้ำลือกันว่ามีนามโด่งดังว่าท่านเยี่ยจงใช่หรือไม่ ? เหตุใดเมื่อพบเห็นพวกเราแล้ว กลับไม่มาทักทายกันสักหน่อยเล่า ? “ หนึ่งในกลุ่มผู้คนตรงข้ามนั้น ก็ได้มีชายหนุ่มที่มีใบหน้าขาดซีดสนิท กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกล่าวออกมา

 

“ มีอันใดกัน ? “ เยี่ยจงตอบกลับเสียงดุดัน ราวกับว่ามิได้ใส่ใจผู้อื่นก็มิปาน แทบจะไม่เหลียวแลกลุ่มคนของเทียนจื่อเจวียวจื่อ(หยิ่งผยองล้นฟ้า)อยู่ในสายตาเลย

 

เมื่อพบว่าบุคคลเช่นเยี่ยจงที่ไม่แม้แต่แสดงอารมณ์ใดๆ เทียนจื่อเจวียวจื่อกลุ่มนี้ก็มีอยู่หลายคนที่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พวกเขานับได้ว่ามีฐานะเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งแห่งสำนักหนึ่ง ได้รับความรักถะนุถนอมตั้งแต่เกิดมา ปกติโลดแล่นอยู่ภายนอก ราวกับว่าบนร่างกายต้องส่องสว่างจนทำให้เหล่าขุมกำลังใหญ่ต่างก็ต้องยกยอปอปั้นพวกเขาด้วยอยู่เสมอ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงเพียงแค่คนเดียว ถึงกับกล้าที่จะหาญกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ต่อพวกเขา ทำให้ภายในจิตใจของพวกเขารู้สึกต่างก็รู้สึกไม่ยินดี

 

ชายหนุ่มที่เอ่ยปากขึ้นมาเป็นคนแรกก็ได้แสดงสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาในทันที เขาจ้องมองไปที่เยี่ยจง กล่าวเสียงเย็นชา “ พวกเราพูดคุยกับเจ้า เป็นเจ้าที่ไม่จักที่ต่ำที่สูง เจ้าที่ไร้สัมมาคารวะ พวกข้าเป็นถึงแขกผู้มีเกียรติแห่งรัฐต้าโจวเชียวนะ ? “

 

เยี่ยจงกวาดสายตามองไปยังผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้คราหนึ่ง ตอบกลับด้วยความแปลกใจ “ ข้ารู้จักกับพวกเจ้างั้นหรือ ? หรือว่าเป็นเจ้าหมาน้อยเจ้าแมวน้อยที่ข้าเคยทักทายโอบอุ้มขึ้นมาตามรายทาง ข้ายังคงต้องเกรงอกเกรงใจเชิญเขามานั่ง จากนั้นก็รินน้ำชาให้ นี้จึงเรียกว่าแขกผู้มีเกียรติงั้นหรือ ? อีกทั้งในตอนนี้เจ้ากลับคิดที่จะสั่งสอนข้างั้นหรือ ? เช่นนี้ก็ยังทำให้พวกเจ้าเสื่อมเสียหน้าด้วยงั้นหรือ ? “

 

หลังจากที่เงียบงัน กลุ่มเทียนจื่อเจวียวจื่อก็ได้แปรเปลี่ยนสีหน้าไป หรือแม้แต่องค์ชายเสื้อแพรเป็นต้นก็ยังต้องหน้าถอดสี และเหร่ยทิงเหอที่มีความคุ้นเคยกับสภาพการเช่นนี้ก็ยังต้องยื่นมือออกมาลูบคลำที่ใบหน้า ไม่อาจที่จะมองดูต่อไปได้

 

ในตอนนี้ เยี่ยจงและกลุ่มคนเทียนจื่อเจวียวจื่อนี้ ที่ตกเป็นเป้าสายตานับตั้งแต่เข้ามายังตึกจักรพรรดิทองคำนี้ มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่ทอดตามองไปยังพวกเขา เมื่อพบเห็นคำพูดเหล่านี้ของเยี่ยจง กลุ่มเทียนจื่อเจวียวจื่อนี้ก็เริ่มลุกฮือขึ้น มีอยู่หลายคนที่ใบหน้าเริ่มเย็นชา เยี่ยจงผู้นี้ที่แท้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเสียเลย ถึงกับหาญกล้าที่จะมาหาเรื่องกับกลุ่มเทียนจื่อเจวียวจื่อ

 

“ เจ้าบังอาจ “

 

ชายหนุ่มเอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นชาด้วยใบหน้าขาวซีด

 

“ เพียะ “

 

เยี่ยจงสะบัดมืออตบออกไปคราหนึ่ง ฝ่ามือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่ม จนทำให้ใบหน้าของเขาเกิดรอยประทับฝ่ามือขึ้นมา

 

หลังจากที่ได้พลิกฝ่ามือตบเข้าไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้สะบัดมือไปมา สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง กล่าวเสียงโอดโอ๊ย “ คนอะไรกันเนี๊ย หนังหน้าถึงได้หนาถึงเพียงนี้ ตีจะข้ามือเจ็บไปหมดแล้ว “

 

กล่าวจบ เยี่ยจงก็ได้ส่ายศีรษะไปมา แล้วก็ได้เตรียมที่จะหันกายเดินจากไป

 

ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มที่ได้ถูกตบไปหนึ่งฝ่ามือผู้นั้น แล้วก็ถูกจงใจกล่าวให้เหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อเหล่านั้นที่อยู่ทางด้านหลังให้ได้ยิน แต่ละก็ได้ค่อยมีปฏิกิริยากลับมา โดยปกติมักจะเป็นพวกเขาที่คอยกระทำผู้อื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในวันนี้กลับมาคนที่กล้าตบหน้า ? ที่แท้เกิดเรื่องอันใดกันแน่ ?

 

ที่แท้เด็กน้อยเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ แท้จริงแล้วกลับมิทราบว่าพวกเขานั้นอยู่ในสถานะงั้นหรือ ?

 

“ เยี่ยจง เจ้าคุกเข่าลงเดียวนี้ ตัดแขนทั้งสองข้าง ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ “ หลังจากที่ได้ตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มแล้ว ก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นไปที่เยี่ยจง

 

“ เพียะ “

 

แล้วเยี่ยจงก็ได้ใช้มือตบออกไปอีกหนึ่งครั้ง ในครั้งนี้ชายหนุ่มผู้นั้นก็ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังมิอาจที่จะหลบพ้น ได้แต่เพียงเบิ่งตามองดูฝ่ามือของเยี่ยจงนั้นตบเข้าไปที่ใบหน้าของอีกคนหนึ่งทางด้านข้าง

 

“ เมื่อครู่เจ้ากล่าวออกมา ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน หากมีครั้งต่อไป อย่าได้โทษว่าข้าไม่เกรงใจ “ เยี่ยจงสะบัดมือไปมา กล่าวออกมาเสียงเยียบเย็น

 

คำพูดคุกคามจากทั้งสองฝ่ายได้ให้กลิ่นอายลักษณะเป็นเอกลักษณ์มาก แต่ว่าเยี่ยจงที่ได้ใช้ออกไปด้วยทั้งสองฝ่ามือนี้ เห็นได้ชัดว่าได้เพิ่มความรุนแรงไว้ เมื่อเทียบกันแล้ว เทียนจื่อเจวียวจื่อผู้นี้ก็ได้ถูกตบจนลอยออกไปตามสายลมอย่างเห็นได้ชัด

 

ในตอนนี้เขารู้สึกอับอายขายหน้า จนแทบจะหมุดหัวจากไป ยังดีที่เขายังสามารถสงบกลับมาได้ ทราบว่าต่อให้ตนเองมีการเตรียมความพร้อมป้องกันไว้แล้ว เยี่ยจงผู้นี้ยังสามารถที่จะตบเข้ามาที่ตนเองได้อีก นั้นก็เป็นการบ่งบอกว่าเขานั้นมีความสามารถมากกว่าตนเองแล้ว

 

“ ท่านเยี่ยจง ท่านก็กระทำเกินเลยไปแล้วกระมั่ง ? พวกเราเพียงแค่ต้องการจะมาทักทายกับท่านเท่านั้นเอง “ มีเทียนจื่อเจวียวจื่อผู้หนึ่งก้าวออกมา ชายหนุ่มผู้นี้มีเค้าโครงห้าวหาญเต็มสิบส่วน มือที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาก็ได้ยิ้มตรงไปที่เยี่ยจงแล้วยกมือขึ้นคารวะ โยกไปตามแรงลมเบาๆ

 

“ เพื่อมาทักทายกับข้า หรือว่ามาหาเรื่องข้ากันแน่ ? “ เยี่ยจงกล่าวออกมาเสียงดุดัน “ หากว่าเป็นการทักทายแล้วละก็ เช่นนี้ในตอนนี้ก็ถือว่าทักทายกันไปแล้วกระมั่ง ? ไม่ส่งแล้ว “

 

“ เหอะเหอะ ท่านเยี่ยจงเหตุใดถึงต้องปฏิเสธผู้คนที่มาไกลนับพันลี้เช่นนี้กัน ? “ ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่น หลังจากนั้นก็ได้โบกมือคราหนึ่ง ก็พบว่าทางด้านหลังของเขาได้มีคนเพิ่มขึ้นมาหลายคน ในมือกำไว้ด้วยกล่องหยกใบหนึ่ง

 

ภายในกล่องหยกนี้ ได้ถูกวางไว้ด้วยม้วนคัมภีร์ สมบัติระดับปราณเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีถูกจัดทำอย่างประณีต จนทำให้ผู้คนทราบว่าสิ่งของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด

 

“ ท่านเยี่ยจง การมาของพวกเราในครั้งนี้ นอกเสียจากจะมาทำความรู้จักกับท่านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดที่จะขอให้ท่าเยี่ยจงเห็นแก่น้ำใจของข้าผู้นี้สักครา “ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็ได้เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาก้าวออกมา ยกมือคราวะไปทางด้านเยี่ยจงแล้วกล่าว

 

“ นายน้อยเสวียนเชาไม่ทราบความ กลับมาหาเรื่องท่าน นี้เป็นเพราะเขาหาที่ตายเอง ความจริงแล้วเรื่องนี้พวกเราไม่สมควรที่จะยุ่งเกี่ยว แต่ว่าพวกเราและเขาอย่างน้อยก็ได้รู้จักกันมาหลายปี ก็คงมิอาจที่จะมองดูเขาเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ มิใช่หรือ ? “ ชายหนุ่มผู้นี้แผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย “ สิ่งของเหล่านี้ถือซะว่าเป็นพวกข้ามอบให้เป็นการขอขมา ยังคงหวังว่าท่านจะปล่อยปละเสวียนเชา ให้โอกาสแก่เขาสักครั้ง ดีหรือไม่ ? “

 

“ ที่แท้ก็มาเพื่อร้องขอไมตรีเพื่อเจ้าขยะไร้ประโยชน์ผู้นั้นสินะ ? “ สีหน้าของเยี่ยจงดุดันขึ้น “ บอกมาเสียแต่เนิ่นๆว่าพวกเจ้าและเขาเป็นพวกเดียวกันก็พอแล้ว ข้าและพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลามากล่าวคำพูดไร้สาระเช่นนี้ ? “

 

“ เก็บสิ่งของกลับไปซะ เสวียนเชาผู้นั้นเป็นของขวัญที่ข้าจะมอบให้แก่ราชสำนัก หลังจากที่จบพิธีถวายพระพร ข้าจะสังหารเขาเพื่อเซ่นสังเวยต่อฟ้า “

 

“ เจ้า “

 

หลังจากที่เงียบงัน สีหน้าของชายหนุ่มหลายคนนี้ก็ได้เย็นเยียบขึ้นมา และเหล่าหญิงสาวทางด้านข้างก็ได้สีหน้าเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คงคิดไม่ถึงว่า เยี่ยจงถึงกับไม่เห็นแก่หน้าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาที่เป็นดั่งบุคคลมีชื่อปรากฏตัวขึ้น กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว เขาสมควรที่จะส่งมอบเสวียนเชาออกมาอย่างว่าง่ายจึงจะถูกต้อง

 

คิดไม่ถึงว่าเจ้าในตอนนี้จะลักษณะเช่นนี้ได้

 

มีชายหนุ่มหญิงสาวที่ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา

 

แต่ว่าทั้งสามคนนับตั้งแต่เริ่มเอ่ยขึ้นมา ในตอนนี้ใบหน้าของทั้งสามคนก็ได้เกิดความเย็นเยียบขึ้นมา ราวกับว่าในเวลาเดียวกันก่อนหน้า อีกทั้งหากว่าพวกเขาได้แผ่กระจายพลังออกมา เห็นได้ชัดว่ามีอยู่หลายส่วนที่ทำให้ผู้คนตกใจได้

 

“เสวียนเชาปี้นั้นถือเป็นสหายของพวกข้า หากว่าท่านเยี่ยจงไม่คิดที่จะปลดปล่อยผู้คนแล้วละก็ เกรงว่าข้าก็คงต้องใช้การบังคับแล้วละ “

 

“ งั้นหรือ ? “ สีหน้าเยี่ยจงยังคงสงบนิ่ง “ พวกเจ้าคิดที่จะลงมือตั้งแตกแรกแล้ว แต่ว่ากลับหาเหตุผลที่จะลงมือมิได้มิใช่หรือ ? จะต้องยุ่งยากไปทำไม พวกเจ้าหากว่าคิดที่จะร่วมมือกับพวกเขา เมื่อถึงเวลาก็เข้ามาทั้งหมดก็แล้วกัน ตนเองจะมั่วอ้ำอึงไปทำไมกัน เรื่องราวเช่นนี้ มิต้องมาสร้างความปวดหัวให้กับข้าจะดีกว่า ? “

 

“ บังอาจ “

 

สีหน้าของเทียนจื่อเจวียวจื่อทั้งสามคนต่างชาด้าน อยู่ในอารมณ์เย็นเยียบอย่างถึงที่สุด เยี่ยจงผู้นี้ถึงกลับไม่เห็นพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสายตาเลย ช่างดูแคลนผู้คนจนเกินไปแล้ว

.

.

.

.

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset