ตอนที่ 183 กดดันชายหน้าบวม
เปลี่ยนจากใช้ ศาสตราวุธ เป็น สมบัติ เนื่องจาก มีแบ่งเป็นหลายประเภท
เปลี่ยนคำว่า วิญญาณ เป็น ปราณ เพื่อความเหมาะสม เช่น (ขั้นวิญญาณ จะกลายเป็น ขั้นปราณ) (หินวิญญาณ เป็น หินปราณ) เป็นต้น
บนร่างของเทียนจื่อเจวียวจื่อทั้งสามคนนี้ก็ได้ปลดปล่อยพลังชนิดหนึ่งออกมาอย่างดุดัน แต่ว่าพลังความน่ากลัวกลับถูกกดดันเอาไว้ ดั่งน้ำที่ไหลออกมาเพียงน้อยนิด แต่แล้วก็ถูกตีกลับไป ในตอนนี้บรรยากาศก็ได้กลับมาสู่สภาพที่สงบเงียบดั่งเดิมอยู่หลายส่วน ผู้คนทั้งหมดต่างก็อ้าปากตาค้างมองไปยังฉากเบื้องหน้า มีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีการตอบสนองกลับมา เยี่ยจงผู้นี้ถึงกับกล้าที่จะเป็นปรปักกับเหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อจริงหรือ ?
“ พวกเจ้าทั้งสามคนที่จะเข้ามาพร้อมกันหรือเปล่า ? หรือว่าจะเล่นสงครามผลัดผลัดเปลี่ยนกัน ? “ เยี่ยจงกวาดตามองไปยังทั้งสามคนที่กำลังตื่นตกใจในตอนนี้คราหนึ่ง ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ไม่แยแสสนใจเอ่ยปากกล่าวออกมา
หลังจากที่เงียบงัน เหล่าผู้มีพรสวรรค์และมั่งคั่งของเมืองเยียจิงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเยี่ยจง แต่ละคนก็มิอาจหยุดอาการสั่นเทาได้ ราวกับเหมือนดั่งขุนนางน้อยสี่ทิศผู้เลื่องลือ ที่ก่อนหน้านี้ถูกเยี่ยจงเหยียบย้ำ แม้จะทราบถึงความสามารถของเขา แต่ว่าในตอนนี้เมื่อพบเห็นว่าเขากำลังเหยียบย้ำเหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อนี้ พวกเขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“ เยี่ยจงผู้นี้ เขาไม่เกรงกลัวจริงงั้นหรือ ? คนเหล่านั้นเป็นผู้มาจากสำนักที่เต๋าหลิวที่อยู่นอกเหนือจากทั้งสามรัฐใหญ่อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเทียนจื่อเจวียวจื่อ เหตุผลเพียงแค่ขุมกำลังของสำนักเพียงสำนักเดียวแต่กลับมีความน่ากลัวถึงเพียงนี้ “ นายน้อยผู้หนึ่งกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา อีกทั้งยังมีสีหน้าที่ตื่นเต้น
“ เจ้าคิดว่าการที่เขาเพียงคนเดียวก็สามารถลบล้างตระกูลซูได้แล้ว จะเกรงกลัวเด็กน้อยที่ยังไม่หย่านมเพียงไม่กี่คนงั้นหรือ ? อีกทั้ง พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลซูที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือไร้ผู้ต้านในดินแดนแห่งนี้ เขาก็ยังไม่เกรงกลัว ยังต้องเกรงกลัวสำนักเต๋าหลิวเหล่านี้อีกหรือ ? “ มีอีกคนหนึ่งได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา เหม่อมองไปตามสายตาของเยี่ยจงที่กำลังมองไปยังทั้งสามคนอยู่ เห็นได้ชัดว่า นี้จึงเป็นคนที่ชื่นชมเยี่ยจงจากใจจริง จึงไม่คิดว่าเขาจะเกรงว่าเพียงเพราะเรื่องเพียงแค่นี้
และเทียนจื่อเจวียวจื่อทั้งสามคนต่างก็ยังอยู่ในสภาพเงียบงันด้วยอาการตื่นตกใจ ราวกับถูกผู้คนตบไปที่ใบหน้าก็มิปาน จนมิกล้าแม้แต่การสูดลมหายใจเข้าออก จนทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนตัวตลกก็มิปาน
“ เยี่ยจง เจ้าต้องการที่จะประลองกับข้าซักตั้งไหม ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว “ ชายหนุ่มเมื่อถูกเยี่ยจงตบไปที่ใบหน้าถึงสองคราก็ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาขึ้น เขาจ้องมองไปที่เยี่ยจง ด้วยสีหน้าที่อาฆาตแล้วเอ่ยปากกล่าวออกมา
“ คิดจะต่อยตีงั้นหรือ แต่ว่าข้าขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ถ้าถูกทุบตีจนตายหรือบาดเจ็บก็เป็นเพราะพวกเจ้าที่มาหาเรื่องเอง อย่าได้คิดมาหาข้าเพื่อล้างแค้นละ “ เยี่ยจงแสดงสีหน้าหวาดกลัวแล้วเอ่ยปากกล่าว “ ตัวเองมาหาที่ตายเองแต่กลับจะมาคิดบัญชีไว้ที่ข้า คงไม่ดีซักเท่าไหร่หรอกนะ “
“ ดูแคลนกันเกินไปแล้ว “ สีหน้าของชายหนุ่มดูเย็นชา เดินออกไปหนึ่งก้าว แล้วก็ได้ตระเตรียมพร้อมลงมือ
“ ทุกท่าน “ ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะลงมือ องครักษ์วังหลวงผู้หนึ่งก็ได้เดินออกมา กล่าวเสียงดุดัน “ พวกท่านหากคิดที่จะลงมือ ก็ขอเชิญไปยังลานประลองทางด้านข้างของตึกจักรพรรดิทองคำที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ บริเวณนี้เป็นเขตของตึกจักรพรรดิทองคำ ไม่ว่าผู้ใดคิดลงมือในที่แห่งนี้เพื่อที่จะทำลายกฏเกณฑ์ของพิธีถวายพระพร ต่างก็ต้องโทษประหารโดยทั้งสิ้น “
องครักษ์ผู้นี้ใบหน้านิ่งเฉย แต่ว่าบนร่างเขากลับแผ่พุ่งพลังชนิดหนึ่งออกมา แต่ว่าในคำพูดของเขา กลับเป็นเหมือนการตอกกลับความกดดันคืนแก่เหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อเหล่านั้นไปเต็มๆ
เทียนจื่อเจวียวจื่อเกือบที่จะกระอักโลหิตก้อนเก่าออกมา ในขณะที่ตนเองได้ใช้พลังฝีมือจนถึงขั้นสูงที่สุด จากนั้นก็ได้ใช้พลังกดอาการบาดเจ็บของตนเองเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วได้ตระเตรียมทำอันใดกันแน่ จะทำให้เยี่ยจงหายเบื่องั้นหรือ ?
เพียงแต่ว่า ขึ้นชื่อว่าบุคคลที่เลี่ยงลือ เขาก็เข้าใจได้ว่า การที่จะสามารถได้รับการรับรองจากทางราชวงศ์แห่งรัฐหนึ่งให้เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ โดยส่วนมากแล้วจะต้องมีกองกำลังที่น่ากลัวอยู่หลายส่วน ดังนั้น หลังจากที่เขาได้กัดฟันไปมาแล้ว ก็ได้จ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจง กล่าวด้วยน้ำเสียงดึงดัน “ เยี่ยจง เจ้ากล้าประลองหรือไม่ ? “
เยี่ยจงมองไปที่องค์รักษ์ผู้นี้ด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง กล่าวด้วยความสงสัย “ พี่ชายท่านนี้ ก่อนเริ่มงานพิธีเกิดเรื่องเลือดตกยางออก คงไม่ดีมั่ง ? “
“ ในที่นี้คงจะไม่ดีซักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเกิดการนองเลือดบนบริเวณสนามประลองเล่า คงจะไม่เป็นไรกระมั่ง ถือว่าช่วยให้ความร่วมมือกับทางราชสำนักก็แล้วกัน “ องครักษ์ผู้นั้นตอบกลับมา
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าไปมา จากนั้นก็สะบัดมือไปมา เดินตรงดิ่งออกไปอย่างร่าเริง “ เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปทางด้านนอกเพื่อประหารเสวียนเชาเถอะ ไม่เช่นนั้นหากยังเก็บเขาเอาไว้ คงมีแต่คนมาหาเรื่องข้าไม่หยุดหย่อน “
“ เยี่ยจง เจ้ากล้า “
เทียนจื่อเจวียวจื่อทั้งสามคนนั้นก็ได้เตรียมที่จะลงมือด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ในตอนนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องมองไปที่เยี่ยจง ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันแล้วกล่าวออกมา เด็กน้อยผู้นี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
“ มีอันใดไม่กล้ากันเล่า ? แต่ว่ายังคงจัดการเก็บกวาดพวกเจ้าทั้งสามคนก่อนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะมีแต่มาทำลายความสุขของข้า “ เยี่ยจงขมวดคิ้วจ้องมองไปที่พวกเขา จากนั้นก็ขยับกายเดินออกจากตึกจักรพรรดิทองคำ ภายใต้การนำทางขององค์รักษ์วังหลวงไปยังอีกสถานหนึ่ง
ที่แห่งนี้นับเป็นลานประลองที่อยู่ภายในพระราชวังส่วนใน ทั่วทั้งบริเวณได้เต็มไปด้วยรอยแต้มสีเลือดก่อนหน้า ที่ได้เปลี่ยนสีดำเข้ม
ในตอนนี้ ในสนามประลองแห่งนี้ก็ได้มียอดฝีมือส่วนหนึ่งกำลังต่อสู้กัน ต่อยตีเสียงดังโวยวาย ให้ความเร่าร้อนอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าหลังจากที่เยี่ยจงและกลุ่มเทียนจื่อเจวียวจื่อได้เข้ามาอย่างเร่งรีบ ทางด้านฝั่งนั้นก็ไม่มีผู้ใดมองดูแล้ว แต่ทุกผู้คนกลับหันมามองทางด้านนี้โดยทั้งสิ้น
เยี่ยจงเดินไปทางด้านหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะเดินเข้าสู่สนามประลอง ก็ได้หันกลับมาไปจ้องมองเทียนจื่อเจวียวจื่อทั้งสามคนด้วยสายตาเย็นชา
ทั้งสามคนได้สบตากัน แล้วพวกเขาก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเย็นเยียบ และจากนั้นหนึ่งในเทียนจื่อเจวียวจื่อก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกมา ตอบกลับเสียงเย็นชา “ เยี่ยจง เจ้าระวังเอาไว้ให้ดี ถึงพวกเราจะต่อกรกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าพร้อมกัน เจ้าในช่วงนี้ถึงแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังภายในเมืองเยียจิง อีกทั้งยังกลายเป็นยอดยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวไปแล้วว่าก็ว่าได้ ? วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าในสถานที่แห่งนี้เอง เพื่อทำให้เจ้าพวกบ้านนอกเหล่านี้เข้าใจว่า ยอดยุทธ์อันดับหนึ่งอันใดของพวกเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเราสำนักเต๋าหลิว ก็ไม่มีค่าอันใด “
“ ตูม “
ทันใดนั้นต่อมา ก็ได้พบว่าชายหนุ่มหน้าบวมเป่งโบกมือขึ้นมาคราหนึ่ง แล้วก็มีประกายแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะของเขา และจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเดินออกไป หยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของเยี่ยจง
ความเคลื่อนไหวอันน่ากลัวได้แผ่กระจายออกมาในตอนนี้ จนทำให้ทั่วทั้งลานประลองเกิดเสียงดังเสียดหูขึ้น แล้วก็มียอดฝีมือแห่งเมืองเยียจิงไม่น้อยที่ในตอนนี้ได้หน้าเปลี่ยนสีไป ราวกับว่ากำลังจะถูกเข่นฆ่าก็มิปาน
“ สมบัติขั้นเซียนระดับล่าง ? “
เยี่ยจงเหม่อมองวัตถุชิ้นนี้ สีหน้าเย็นชาขึ้นมา
ชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ในตอนนี้ ถึงกับใช้ออกด้วยสมบัติขั้นเซียนอย่างแท้จริงได้ สมบัติปราณยังแบ่งออกเป็นสามระดับสูงกลางต่ำ สมบัติขั้นปราณระดับสูงนั้นแทบจะมิอาจเทียบได้กับสมบัติเสมือนเซียนเลย และสมบัติเสมือนเซียนขึ้นไปเท่านั้นที่จะถือได้ว่าเป็นสมบัติระดับเซียนอย่างได้แท้จริงแล้ว
กล่าวกันว่า ถ้านี้เป็นเพียงสมบัติขั้นเซียนระดับล่างชิ้นหนึ่งก็แล้วไป แต่ว่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่ามีความเก่าแก่ที่น่ากลัวอย่างไร้ที่เปรียบอยู่ ต่อให้เป็นสมบัติปราณประจำราชวงศ์ต้าโจวก็ตาม ก็ไม่มีชิ้นใดเลยที่เป็นถึงสมบัติขั้นเซียนได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว แค่มองในข้อนี้ ก็ทำให้ทราบได้ว่าเหล่าคนที่มาจากสำนักเต๋าหลิวที่เล่าลือกันเหล่านี้ พวกเขาถึงกลับใช้ออกด้วยไม้ตายเช่นนี้ ไพ่ตายเช่นนี้ถือได้แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย
แต่ว่า ต่อให้นี้จะเป็นเพียงสมบัติขั้นเซียนระดับล่าง เยี่ยจงก็มิได้รู้สึกอันใด แค่ความสามารถของคนของสำนักเต๋าหลิวจะทำอันใดได้กัน ในตอนนี้เขาทราบได้นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้วว่า การเร่งรีบจะสังหารตนเองเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า คงเป็นเพราะมีเป้าหมายเช่นนี้ เขาจึงค่อยได้ใช้ออกด้วยสมบัติขั้นเซียนออกมา
หรือกล่าวได้ว่า สิ่งนี้นับเป็นแผนการที่วางเอาไว้อย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาได้รอคอยให้ตนเองก้าวเข้าหากับดัก เพื่อที่จะได้มีเหตุผลสำหรับฆ่าฟันอย่างเปิดเผย
“ สำนักเสวียนหวิน “ เยี่ยจงจ้องมองอย่างเย็นชา ราวกับว่าพวกเขาเตรียมที่จะสนับสนุนผู้ที่คิดจะลงมือต่อตนเองในทันที
หลังจากที่สำนักเสวียนหวินทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลซูไปแล้ว อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับตนเอง ถึงแม้จะมิได้ส่งคนมาลงมือ แต่ก็ได้มอบหมายให้เหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อยั้งความตื่นลึกหนาบางก่อน
“ แต่ว่า คิดหรือว่ามีเพียงแค่เจ้าที่มีสมบัติขั้นเซียนงั้นหรือ ? “
เยี่ยจงหัวเราะเสียงเยียบเย็น ใช้มือซ้ายแปรเป็นสัญลักษณ์ วินาทีนั้นก็ได้พบกับชิ้นส่วนมายาที่ได้ถูกหล่อหลอมจนสำเร็จปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะของเขา ลบล้างพลังกดดันอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนออกทั้งหมด
“ พระเจ้า เยี่ยจงก็ได้ใช้ออกมาด้วยสมบัติขั้นเซียนด้วยงั้นหรือ ? เขาถึงกับครอบครองสมบัติขั้นเซียนเชียวหรือ ? “ มีผู้คนไม่น้อยที่ได้เห็นฉากเบื้องหน้าต่างก็แตกตื่นตกใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่ออกว่าสิ่งของที่เยี่ยจงครอบครองอยู่ในตอนนี้คืออะไร แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายสามารถนำสมบัติขั้นเซียนออกมาต่อกร แน่นอนว่าต้องเป็นสมบัติขั้นเซียนอย่างไม่ผิดพลาดแน่นอน
สีหน้าของชายหนุ่มหน้าบวมในตอนนี้ได้เปลี่ยนไป เป็นปั้นยากขึ้นมา เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า สมบัติขั้นเซียนที่ตนเองใช้ออกไปในเวลานี้ได้ถูกหยุดยั้งเอาไว้ ในข้อนี้ถือเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ นอกเสียจากว่าตัวเยี่ยจงเองจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งเต๋าหลิว ? ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ เขาจะมีสมบัติขั้นเซียนได้อย่างไรกัน ?
ไม่นานนัก ชายหนุ่มหน้าบวมก็ได้เผยให้เห็นสมบัติขั้นเซียนที่อยู่เหนือศีรษะ สมบัติชิ้นนี้เหมือนเป็นตราประทับที่สร้างจากหยก ทอประกายคมกล้าไร้ที่สิ้นสุดขึ้นมา
“ นี้คือตราประทับเย้ยฟ้าแห่งสำนักเสวียนหวิน กล่าวกันว่าตัวของมันเองมีความลับที่ลี้ลับซ่อนเอาไว้อยู่ “ มียอดฝีมือของเมืองเยียจิงที่จดจำวัตถุชิ้นนี้ออก แล้วก็ได้ตะโกนขึ้นมา หมายเตือนสติเยี่ยจง
เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา เขาก็มิได้กล่าววาจาไร้สาระมากมายนัก เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นไปทางด้านหน้า ทันใดนั้นร่างกายก็ได้พุ่งตัวออกไป อีกทั้งชิ้นส่วนมายาที่อยู่ด้านข้างมือของเขาก็ได้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขาอย่างรวดเร็วออกไป ให้พลังความน่ากลัวชนิดหนึ่งออกมา มุ่งหน้าเข้าปะทะไปทางด้านหน้า
“ ตายให้ข้าซะ “
ชายหนุ่มหน้าบวมในตอนนี้ก็ร้องเชอะอย่างเย็นชา เขาไม่เชื่อว่าเยี่ยจงจะสามารถที่จะต้านทานการโจมตีของเขาได้ ต่อมาเขาก็ได้ขยับเคลื่อนไหวตราประทับเย้ยฟ้าในมือ มุ่งเข้าสังหารไปทางด้านบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
“ โครม “
สมบัติขั้นเซียนทั้งสองชิ้นได้เข้าปะทะเข้าหากันท่ามกลางอากาศ ในช่วงวินาทีนั้น ราวกับว่ามีดาวหางสองดวงพุ่งชนกันอยู่บนฟากฟ้า จากนั้นก็ได้เข้าปะทะกันก็ จนได้เคลื่อนไหวที่แผ่กระจายความน่าหวาดกลัวออกมาชนิดหนึ่ง ทำให้สีหน้าผู้คนต้องเปลี่ยนไปในทันที หัวใจเกือบจะหยุดเต้นไปชั่วครู่
“ เป็นไปได้อย่างไร ? เจ้าต้านทานไว้ได้อย่างไรกัน “
“ เป็นไปได้อย่างไร ? เป็นไปได้อย่างไร ? เจ้าทำได้อย่างไรกัน บอกข้ามา เจ้าทำได้อย่างไรกัน “
ชายหนุ่มหน้าบวมมองไปที่ฉากเบื้องหน้า สีหน้าเปลี่ยนไป ฉากเบื้องหน้าสายตานี้เกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ทำให้เขายากที่จะเชื่อได้ สิ่งที่ในมือของเยี่ยจงนี้ นอกเสียจากเป็นสมบัติขั้นเซียนที่แท้จริงเช่นเดียวกันงั้นหรือ ?
“ นี้คือตราประทับเย้ยฟ้า นี้จึงเป็นสมบัติขั้นเซียนอย่างแท้จริงสิ “ ชายหนุ่มหน้าบวมยากที่จะเชื่อ ท่ามกลางสมบัติขั้นเซียนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องใช้พลังในการขับเคลื่อนอย่างมหาศาล ตนเองใช้พลังขับเคลื่อนออกไปแล้วทั้งหมด ก็ยังต้องพ่ายแพ้
“ สมบัติขั้นเซียนที่ไม่เลว น่าเสียดายที่เจ้าอ่อนแอจนเกินไป ไม่อาจที่จะแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ “ เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา เขาจงใจที่จะให้ชิ้นส่วนมายาและตราประทับเย้ยฟ้าปะทะกันกลางเวหา เพื่อเป็นเหมือนการจัดฉากแบบหนึ่ง และเขาเองก็ได้ค่อยๆก้าวขึ้นไปทางด้านหน้า มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ยังชายหนุ่มหน้าบวม
“ โครม “
เยี่ยจงก้าวขึ้นไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง บนพื้นดินเกิดรอยร้าวขึ้น หากว่าเมื่อเทียบกับพลังกายภาพบนร่างกายแล้ว ชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ ต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจงอย่างแน่นอน
“ เจ้า …….. เจ้าต้องการที่จะทำอันใดกัน ? “ เมื่อได้ถูกเยี่ยจงใช้พลังกดดันกลับมา ชายหนุ่มใบหน้าบวมเป่งก็ตัดสินใจที่จะถอยออกไป กล่าวด้วยน้ำเสียงแตกตื่น
“ เจ้ามิใช่คิดที่จะสังหารข้าหรอกหรือ ? ข้าก็เข้ามาข้างหน้าให้เจ้าฆ่าแล้วไง “ เยี่ยจงอมยิ้ม ภายในดวงตาได้ปรากฏรังสีฆ่าฟัน ตราประทับเย้ยฟ้านี้นับว่าน่าหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ หากว่ามิใช่ว่าตนเองยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ทางราชสำนักได้ส่งชิ้นส่วนมายาให้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังหล่อหลอมได้จนสำเร็จ เกรงว่าในวันนี้คงจะต้องไม่ทันระวังถูกชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้สังหารไปแล้ว
ดังนั้น ในตอนนี้เยี่ยจงก็ไม่คิดที่จะยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะสังหารเขา เช่นนั้นเขาก็คงจะลงมือหมายสังหารเช่นเดียวกัน ยังมีอันใดที่ทำไม่ได้กัน
เรื่องราวเช่นนี้ ความจริงแต่ดูว่าผู้ใดมีความสามารถที่สูงกว่า ใครกันที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ ใครกันที่มีทักษะยุทธ์แข็งแกร่งกว่าก็เท่านั้น
.
.
.
.