ตอนที่ 184 สงครามโลหิต
เยี่ยจงก้าวเดินออกมา เข้าไปใกล้ยังชายหนุ่มหน้าบวม หลังจากนั้นก็ได้กวาดมือออกไป
“ เพียะ “
แล้วก็ได้สะบัดฝ่ามือออกไป ชายหนุ่มหน้าบวมความจริงแทบจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบเลี่ยง ในครั้งนี้เยี่ยจงก็มิได้ยั้งมือไว้ไม้ตรีอีกด้วย ทันใดนั้นก็ได้พบว่าชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ลอยกวาดกระเด็นออกไป ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินในเวลานี้ กระอักโลหิตคำโตออกมา
“ ซวบ “
ทันทีที่ร่างกายได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เยี่ยจงก็ได้ขยับร่างกายก้าวเท้าเข้าไป ประจวบกับได้เหยียบลงบนบริเวณหน้าอกของเขาพอดี
“ โครม “
เสียงกระดูกหักดังออกมา มีผู้คนไม่น้อยที่มองดูแล้วต่างก็ขนลุกขนพองขึ้นมา ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ไม่นับว่าอ่อนด้อย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่เขาได้ขับเคลื่อนสมบัติขั้นเซียนแล้ว แต่ก็ยังต้องถูกเยี่ยจงสวนกลับไปจนพ่ายแพ้
“ ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า “
ชายหนุ่มหน้าบวมกระอักโลหิตออกมา ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดด้วยใบหน้าดุดัน
“ ตอนนี้ ข้าก็รู้สึกว่าอยากจะฆ่าเจ้าขึ้นมาแล้วสิ “
เยี่ยจงอมยิ้ม จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาเตรียมฟาดฟันลงไปยังชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ ในเมื่ออีกฝ่ายคิดที่จะจัดการกับเขา เขาก็มิอาจที่จะยั้งมือไว้ไมตรีได้อีก นี้จึงเป็นวิธีการของเขา
“ ช้าก่อน ท่านเยี่ยจง “ บริเวณไม่ไกลมากนัก ก็ได้มีเสียงลอดออกมา ที่แท้ก็คือองครักษ์ราชวังผู้นั้นที่ยับยั่งเยี่ยจงและคนอื่นๆที่ลงมือกัน “ ทางราชสำนักมีคำสั่ง พวกเจ้าจะลงย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ว่าอย่าให้มีอันใดถึงชีวิตเลย ไม่เช่นนั้นพิธีถวายพระพร คงจะไม่น่าดูแล้ว “
“ หรือกล่าวได้ว่า ไม่ทำให้ตายแล้วละก็ ต่อให้เลือดตกยางออกก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? “ เยี่ยจงหันศีรษะกลับไปมองที่องครักษ์ยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ สมควรเป็นเช่นนั้น “ องครักษ์วังหลวงเอ่ยปากกล่าว สีหน้าไม่ไร้อารมณ์
“ ขอเพียงแค่ไม่ตายก็เพียงพอแล้ว “ เยี่ยจงเงียบงันแล้วพยักหน้า จากนั้นเขาก็ได้ก้าวเท้าเหยียบลงไป ในครั้งนี้ก็ได้ก้าวเดินออกไปเหยียบเข้าที่จุดรวมพลังตันเถียนของชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ วินาทีนั้น ก็ได้มีเสียงแหลมดังเสียดรูหูขึ้นมา ชายหนุ่มหน้าบวมผู้นี้ได้ถูกเหยียบไปที่จุดรวมพลังตันเถียน ชาตินี้คงจะพิการไปทั้งชีวิตแล้ว
“ เยี่ยม จัดการไปแล้วหนึ่งคน ยังเหลืออีกสอง “ เยี่ยจงปรบมือ จ้องมองไปยังชายหนุ่มห้าวหาญผู้นั้นและชายหนุ่มใบหน้าเยียบเย็น จากนั้นก็ได้ยิ้มขึ้นน้อยๆ “ พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาพร้อมกันทีเดียวไม่ดีกว่าหรอกหรือ ? “
“ ขึ้น “
สีหน้าทั้งสองคนเกิดความตื่นตระหนกขึ้น แต่ว่าในช่วงเวลานี้พวกเขากลับไม่สามารถหันกายจากไปได้ ได้แต่เพียงสบสายตากัน แล้วทั้งสองก็ได้พุ่งออกไปในเวลาเดียวกัน
“ เพียะ เพียะ “
เยี่ยจงกวาดฝ่ามือออกไปสองครา แล้วก็ได้ตบไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองจนบวม คลานอยู่กับพื้น หลังจากที่ทำให้พิการแล้ว เขาจึงค่อยส่ายหัว ลุกขึ้นยืนขึ้นมา กล่าวเสียงแห้งผาด “ ผู้คนในตอนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้กันหมด ความสามารถสักนิดก็ไม่มี ก็คิดจะเลียนแบบผู้คนออกมาท้าประลองไปทั่ว หาที่ตายเอง ก็ช่างอ่อนหัดเกินไปแล้ว “
หลังจากที่ได้ส่งเสียงถอนหายใจ เยี่ยจงก็ได้เตะออกไปสามครา จนทั้งสามคนกระเด็นออกไปจากสนามประลอง ในช่วงที่ล้มลงกับพื้น เด็กน้อยทั้งสามคนผู้โชคร้ายก็ได้กระอักเลือดคำโตออกมา แทบจะเป็นลมไปในทันที
เหล่าผู้มั่งมีของเมืองเยียจิงเหล่านี้ต่างก็มองไปด้วยท่าทีอ้าปากตาค้าง เมื่อได้พบเห็นผลลัพธ์ของเด็กน้อยทั้งสามคน อีกทั้งมิได้นึกถึงเรื่องที่เยี่ยจงกระทำตอนที่อยู่ที่งานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่ พวกเขาทั้งหมดสมควรที่จะยินดีแล้ว ที่วันก่อนเยี่ยจงยังอารมณ์ดีอยู่ ลงมือมิได้รุนแรงอะไรมากมาย ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ พวกเขาที่อยู่ในสนามแห่งนี้ทั้งหลาย คงจะต้องพิกลพิการไปแล้ว
“ เอาละ “ เยี่ยจงปรบมือ จ้องมองไปยังสีหน้าที่ปั้นยากอยู่หลายส่วนของเทียนจื่อเจวียนจื่อเหล่านั้น หัวเราะแล้วกล่าวออกมา “ ตอนนี้พวกเจ้ายังมีผู้ใดที่ยังความข้อข้องใจต่อข้าอีกหรือไม่ ? ถ้าหากมีก็รีบลงมือเสียแต่เนิ่นๆไม่ดีกว่าหรือ ? “
หลังจากที่เงียบงัน เทียนจื่อเจวียนจื่อเหล่านั้นต่างก็หันหน้าสบตากัน ในตอนนี้พลังฝีมือของเยี่ยจงก็นับได้ว่าร้ายกาจเพียงพอแล้ว แต่ว่าเขากลับครอบครองไว้ด้วยสมบัติขั้นเซียนที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทราบที่มาที่ไป กลุ่มเทียนจื่อเจวียนจื่อผู้เลื่องชื่อเหล่านี้ แต่ละคนก็มิใช่คนที่โง่เขลาแต่อย่างไร เพียงเพราะว่าเมื่อครู่เด็กน้อยทั้งสามคนแห่งได้ไปล่วงเกินบุคคลที่ไม่สมควรจะล่วงเกินอย่างผู้มีพรสวรรค์ล้นฟ้า ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมไม่จำเป็นต้องคาดเดา
ท่ามกลางสนามที่มีแต่ความสงสัย หลังจากนั้น เยี่ยจงก็ได้ส่ายหน้าไปมา กล่าวเสียงดุดัน “ ในเมื่อไม่มีผู้ใดคิดจะลงมือ เช่นนั้นวันหน้าก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่ให้โอกาสแก่พวกเจ้าก็แล้วกัน ตามที่ตกลงกันไว้ หลังจบงานพิธีถวายพระพร ข้าจะประหารเสวียนหวินเพื่อสังเวยต่อฟ้า เพื่อความมั่งคั่งของราชวงศ์
เมื่อได้กล่าวจบแล้ว เยี่ยจงก็ได้จ้องมองไปยังท่ามกลางอากาศในตอนนี้
ชิ้นส่วนมายาในตอนนี้ยังคงกดดันตราประทับเย้ยฟ้าเอาไว้อยู่ เยี่ยจงหลังจากที่ถอนหายใจออก ก็ได้พลิกทั้งสองมือเป็นสัญลักษณ์คราหนึ่ง แล้วก็เก็บตราประทับเย้ยฟ้ากลับมา ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร ของชิ้นนี้ก็ยังเป็นถึงสมบัติขั้นเซียนระดับล่าง ที่ยากจะเสาะหาได้ในดินแดนแห่งนี้ ในตอนนี้ในเมื่อมาอยู่เบื้องหน้าของตนเองแล้ว เยี่ยจงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจแต่อย่างไร
ยอดฝีมือรอบด้านทั้งหลายต่างก็มองดูจนอ้าปากตาค้าง ยากที่จะเชื่อได้ ตราประทับเย้ยฟ้าชิ้นนี้ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ทราบว่าได้มาจากสำนักเสวียนหวิน ไม่แน่ว่าอาจเป็นถึงหนึ่งในสมบัติประจำสำนักเสวียนหวินเลยก็ได้ แต่ว่าในตอนนี้เยี่ยจงยังถึงกับกล้าทำเช่นนี้อีกงั้นหรือ ?
“ เจ้าหนู มีสิ่งของบางอย่างที่เจ้าก็ไม่สมควรจะแตะต้อง “ ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงจากไหนก็ไม่ทราบได้ดังขึ้นมา อย่างกึ่งก้องไปทั่ว ทำให้มียอดฝีมือไม่น้อยที่มีพลังอ่อนแอถึงกับใบหน้าขาวซีด จากนั้นก็ได้กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
เยี่ยจงได้แสดงสีหน้าสงสัยอยู่เล็กน้อยขึ้นมา แต่ว่าเขาเองก็มิได้รับผลกระทบมากมายนัก เพียงแต่หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ มีแต่เจ้าพวกขยะไร้ประโยชน์เหล่านี้พ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือข้า สมบัติปราณของพวกเขาก็เป็นข้าเองที่ประลองชนะมาได้ มีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้ากัน ? ยังไม่รีบโผล่หางสุนัขออกมาอีก “
“ ไม่รู้จักที่ตายซะแล้ว “ เสียงร้องดังขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ ข้าดูเหมือนพวกไม่รู้จักที่ตายเหมือนเจ้าอย่างงั้นหรือ ? เมื่อมาอยู่ภายใต้กฏของงานพิธีถวายพระพร ยังคิดว่าตนเองอยู่เหนืออีกงั้นหรือ ถึงกับกล้ามาเหยียบหยามชาวต้าโจวเราอีกหรือ ? ภายในราชวังตั้งแต่หัวจรดหาง มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเปิดศึกนองเลือดได้ เป็นเจ้าเองที่มาหาที่ตายเองนะ “ เยี่ยจงยังคงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ เอ่ยปากกล่าวสวนกลับไป ทันใดนั้นก็ได้ยกพระนามของเชื้อพระวงค์ขึ้นมา
ผู้คนทั้งหมดเมื่อได้ยินต่างก็เกิดความลังเลขึ้นมา เรื่องราวเช่นนี้ถึงกับสามารถโยงเข้ากับราชวงศ์ได้ ส่วนเจ้าของเสียงอันเย็นชาผู้นั้น คิดที่จะเปิดศึกนองเลือดกับราชวงศ์จริงงั้นหรือ ?
“ ผีสางน้อย เจ้าจึงเป็นผู้ที่คิดล่วงเกิน “ เสียงที่ได้กล่าวออกมาได้เต็มไปด้วยความเย็นชาและโกรธแค้น พร้อมกับปะทุพลังปราณออกมา จนทำให้ผู้คนไม่น้อยที่พลังฝึกปรือน้อย ต่างก็กระอักโลหิตถอยออกไป
“ ท่ามกลางพิธีถวายพระพร ได้ทำให้แขกเกริกบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ข้าว่าเจ้ามิได้มาเพื่อถวายพระพรแล้วละมั่ง แต่ว่ามาเพื่อก่อความวุ่นวายสินะ ? “ เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา
“ เจ้าหนู เจ้าหาที่ตายแล้ว “
น้ำเสียงเย็นชาที่เต็มเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็พบว่าที่เบื้องบนนั้น ก็ได้มีประกายแสงสีทองสายหนึ่งทอออกมาในทันที มุ่งหน้าไปทางด้านบริเวณที่เยี่ยจงอยู่เสียงดังหวืดหวาด
“ พลังปราณยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขั้นความสำเร็จสูง “
เมื่อได้สัมผัสถึงแสงสว่างที่อัดแน่นด้วยพลังสายนี้ ดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา เขาตัดสินใจโบกมือขึ้นคราหนึ่ง ชิ้นส่วนมายาก็ได้ปลดปล่อยพลังจากตราประทับเย้ยฟ้า แล้วก็กลายเป็นพลังขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วท้องฟ้า เข้าปะทะกับพลังแสงสายนั้นอย่างหนักหน่วง
“ โครม “
เสียงดังกระหึ่มออกมา บริเวณที่ห่างไกลก็ได้มีเสียงร้องดังเชอะขึ้น ร่างของยอดฝีมือจากสำนักเสวียนหวินก็ได้เตรียมที่จะลงมือ
“ ตูม “
ท่ามใดนั้นเอง ท่ามกลางทั่วทั้งราชวังก็ราวกับมีเพลิงบรรลัยกัลป์ก่อเกิดขึ้นมาก็มิปาน ค่ายกลประหลาดสายหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมา ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า รวมไปทั้งราชวังอีกด้วย ในตอนนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองเริ่มที่จะหนักขึ้นมา จนเกือบที่จะคุกเข่านั่งลงกับพื้น
“ ค่ายกลยันต์ปรานประจำราชวงศ์ระดับสามถูกใช้ออกแล้ว “ จิตใจของเยี่ยจงเริ่มสั่นครอน คิดไม่ถึงว่าค่ายกลยันต์ปรานภายในวังหลวงนี้ ถึงกับเป็นค่ายกลยันต์ปรานระดับสาม วิชาค่ายกลเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของสุดยอดภายในดินแดนซีฮวงนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกใช้ในตอนนี้
“ โจวอ๋อง พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ? คิดที่ช่วยเหลือเด็กน้อยที่ไม่จักแม้แต่ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำงั้นหรือ ถึงกับคิดที่จะลงมือกับสำนักเสวียนหวินของพวกเรางั้นหรือ ? “ ได้มีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังออกมาจากที่ห่างไกล ภายใต้เนื้อเสียงได้อัดแน่นไปด้วยเพลิงแค้น เห็นได้ชัดว่า ยอดฝีมือที่มาจากสำนักเสวียนหวินผู้นี้ ในตอนนี้กลับถูกค่ายกลกักขังเอาไว้ ในใจจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
“ ท่านผู้อาวุโสหวินหลิน นี้เป็นค่ายกลยันต์ปราณป้องกันภายในราชวังของพวกเรานี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟัน ก็จะเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเอง ต่อให้เป็นข้าเองก็มิอาจที่จะควบคุมเอาได้ ยังคงหวังว่าท่านผู้อาวุโสหวินหลินอย่าได้กล่าโทษกัน “ ร่างขององค์ชายใหญ่ไม่ทราบว่าได้ปรากฏขึ้นมายังบริวณที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหันหน้าแล้วโค้งคำนับลง เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาเสียงดังกังวาน
“ โจวอ๋อง หากว่าในวันนี้เจ้าไม่ให้เหตุผลกับข้าผู้เฒ่าแล้วละก็ ข้าผู้เฒ่าเกรงว่าเจ้าจะมิอาจจบพิธีถวายพระพรต่อไปได้แล้ว “ เงาร่างผอมบางสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็นท่ามกลางบริเวณสถานที่แห่งนี้ เขาได้แต่จ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจงไปด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น หันกายมองไปทางด้านตึกจักรพรรดิทองคำ กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ ท่านต้องการให้องค์ชายเช่นข้าให้เหตุผลแก่เจ้าหรือ ? หรือว่าท่านจะต้องการเปิดศึกนองเลือดกับราชวงศ์เราจริง ? “ บริเวณทางด้านตึกจักรพรรดิทองคำ ก็ได้มีเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึดใดๆดังออกมา แต่เยียบเย็นไร้ที่เปรียบ อีกทั้งยังมีพลังของเจ้าชีวิตครอบคลุมไว้อยู่
“ ข้าผู้เฒ่าเพียงแต่การเพียงเหตุผลเดียว “ ชายชราผอมแห้งกวาดตามองไปทางเยี่ยจง กล่าวเสียงเย็นชา “ เจ้าหนูจับกุมนายน้อยสำนักข้าไป สังหารผู้คุมกฎของสำนักข้า ในวันนี้ถ้ายังถึงกับแย่งชิงสมบัติประจำสำนักไปอีก ข้าจะฆ่ามัน หรือว่าทางราชวงศ์ยังต้องการที่จะขัดขวางให้ได้กัน ? “
“ เหว่ย สุนัขเฒ่า มิใช่ว่านายน้อยของเจ้านิสัยต่ำชา ผู้คุมกฎของเจ้าไร้ครา เจ้าวางแผนการได้ไม่รัดกุมพอหรอกหรือ เจ้ายังคิดที่จะมาให้ทางราชสำนักให้เหตุผลอันใดกับเจ้ากัน ? หรือว่ากำลังรอคอยให้ข้าสังหารเจ้าไปแล้ว ยังจะมีคนมาให้เหตุผลกับเจ้าอีกกัน “ เหนือศีรษะของเยี่ยจงยังคงมีการปรากฏของชิ้นส่วนมายาอยู่ ทอแสงสว่างปกคลุมทั่วร่างของเขา ในมือของเขาในตอนนี้ก็ได้คว้าจับไปที่ตราประทับเย้ยฟ้า ก้าวเข้าไปทีละก้าวเข้าหาผู้อาวุโสหวินหลิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
ยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าระดับความสำเร็จใหญ่ ถึงแม้จะแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ ภายในทั้งสามรัฐใหญ่นี้ เรียกได้ว่าได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว แต่ว่าเยี่ยจงในตอนนี้กลับมิได้เกรงกลัวมากนัก เขาได้ถือครองร่างมหัศจรรย์หมื่นโบราณ ชิ้นส่วนมายา อีกทั้งยังได้ครอบครองไว้ด้วยค่ายกลยันต์ปราณไร้นาม จึงได้ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
หากว่าผู้อาวุโสหวินหลินคิดที่จะลงมือในตอนนี้ ต่อให้เขาต้องเผยไพ่ตายออกมาทั้งหมด ก็ยังคงคิดจะประชันกับอีกฝ่ายซักตั้งเช่นเดียวกัน
“ เด็กน้อย เจ้าถึงกับกล้าแตะต้องสมบัติประจำสำนักข้างั้นหรือ ? “ หวินหลินกันศีรษะกลับมาในทันที ท่ามกลางดวงตาเผยให้เห็นแสงสว่างวาบ ด้วยสถานะของเขา กลับถูกบุคคลเช่นนี้คุกคาม อีกทั้งยัเป็นชนชั้นคนรุ่นหลังอีกด้วย
เยี่ยจงแทบจะไม่สนใจพลังที่หวินหลินแผ่ออกมากดดัน เขาเพียงกล่าวตอบออกมาอย่างเย็นชา “ ข้ายังได้เตรียมการเพื่อที่จะหล่อหลอมมันอีกด้วย เป็นไร เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ ? นี้เป็นถึงรางวัลแห่งชัยชนะของข้าเชียวนะ “
“ เจ้า “
หวินหลินปะทุความโกรธขึ้น แต่ว่าเด็กน้อยผู้นี้ก็ชั่งหาเรื่องไปหน่อยแล้ว ถึงกับหาญกล้ากล่าวออกมาว่าสมบัติประจำสำนักเป็นรางวัลแห่งชัยชนะ
“ โครม “
ราวกับว่าในช่วงเวลานี้ แขนเสื้อของหวินหลินได้สะบัดออกคราหนึ่ง ประกายสีทองได้กู่ร้องขึ้นมาเป็นสาย มุ่งหน้ากดดันไปทางด้านที่เยี่ยจงอยู่
“ เคร่ง “
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางอากาศก็ได้มีเพลิงก้อนหนึ่งลอยขึ้นมา ขัดขวางแสงสีทองเอาไว้
“ ผู้อาวุโสหวินหลิน ท่านคิดที่จะเปิดศึกนองเลือดกับราชวงศ์ข้าจริงงั้นหรือ ? องค์ชายใหญ่ถอนหายใจออกมา แล้วก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกไป ดวงตาทั้งสองได้เปลี่ยนเป็นทอประกายขึ้นมา
.
.
.
.