ตอนที่ 188 จบพิธี
“ เอาละ จัดการเรียบร้อยไปแล้วหนึ่งคน “
เยี่ยจงหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ความก้าวหน้าในการต่อสู้ทำให้รู้สึกดีอย่างถึงที่สุด พลังฝีมือของขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงขอบเขตรู้แจ้งปราณถือ/ด้ว่าน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เยี่ยจงสามารถที่จะตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่า ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากมายนัก แต่ว่าพลังกล้ามเนื้อภายในกายในตอนนี้ก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า
นี้เป็นความปรับเปลี่ยนชนิดหนึ่ง ควรทราบว่า ยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับแปดจะมีความโดดเด่นในด้านพลังทางกายอยู่แล้ว ถือได้ว่ามีพลังที่เทียบเท่าได้กับยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ขั้นปราณก่อฟ้าแล้ว
เพียงแค่การพึ่งพาพลังทางด้านร่างกาย ก็สามารถเพิ่มพูนพลังปราณต้านทานแล้ว นี้เป็นการบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของขอบเขตนี้
ดูจากลักษณะของเยี่ยจงในตอนนี้ ผู้คนไม่น้อยต่างก็ต้องงุนงง
พวกเขาในตอนนี้ค่อยมีปฏิกิริยากลับมา น่าจะไม่ใช่เพียงเพราะว่าเยี่ยจงผู้นี้กลับสามารถกดดันเยี่ยจงได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็เยี่ยจงถึงกับสามารถลรรลุข้ามไปอีกขั้นขณะอยู่ในการต่อสู้ได้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เส้นทางยุทธ์ที่เยี่ยจงเลือกที่จะเดินนับได้ว่าเป็นยากเย็นอย่างยิ่ง ภายใต้การฝึกยุทธ์ ต่อให้เป็นผู้คนหมื่นแสนล้าน ก็ใช่ว่าจะมีสักคนที่สามารถเลือกเดินในเส้นทางสายนี้
พลังยุทธ์ไร้ที่สิ้นสุด แต่ก็เป็นเส้นทางที่หนักหนายิ่ง
หลังจากที่ได้ย่างกายเข้ามายังเส้นทางสายนี้ ขอเพียงฝึกปรือร่างกายจนถึงขีดสูงสุด หลังจากที่ไปจนถึงขั้นในตำนานอย่างขั้นก่อเกิดขั้นที่เก้า จึงจะพอที่จะสามารถรวมพลังแท้จริงเอาไว้ในร่างกายได้อีกครั้ง
ความยากตามหลักการเช่นนี้ แต่ว่านับตั้งแต่โบราณกาลมา สามารถที่จะเดินมายังเส้นทางสายนี้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีการฝึกฝนอยู่อย่างตลอด ยอดฝีมือที่ไม่มีแววตั้งแต่เริ่มก็ยากที่จะฝึกฝนขึ้นมาได้
การที่สามารถเห็นยอดฝีมือผู้หนึ่งที่ย่างกรายเข้าสู่อีกขั้นในช่วงเวลาคับขันด้วยตาตนเองเช่นนี้ กับผู้คนไม่น้อยกล่าวออกมา ก็นับได้ว่าเป็นความตื่นตาอีกแบบหนึ่ง
“ ยังมีผู้ใดที่คิดจะลงสนามอีกหรือไม่ ? “
บริเวณท่ามกลางสนาม สายตาของเยี่ยจงก็ได้ทอดมองไปยังเหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่ออย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สังหารเสวียนหงส์เมื่อสักครู่ แต่ก็มิได้หมายความว่าเขามีความเกรงกลัวแต่อย่างไร
ใบหน้าของเหล่ายอดฝีมือที่โด่งดังแต่ละคนก็สบตากัน พวกเขากลับยิ่งมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากกว่าผู้อื่น หลังจากที่เยี่ยจงได้เดินเข้ามาเส้นทางสายนี้ แท้จริงแล้วมีรสชาติเช่นไรกัน ?
เหล่าบุคคลที่โด่งดังต่างๆหลายคนที่ยังมิเคยไปมาหาสู่กับเยี่ยจงมาก่อนก็ได้เริ่มที่จะครุ่นคิดขึ้นมา ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะดึงเยี่ยจงเข้าสู่สำนักตนเอง นั้นก็เพราะว่าถ้ามีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์เช่นนี้เติบขึ้นมาสำนัก ก็สามารถเป็นการปกป้องสำนักได้ยาวนาวนับร้อยปีไม่คลาย
อีกทั้งเหล่าผู้ที่มีชื่อเสียงที่มีความใกล้ชิดกับสำนักเสวียนหวิน ในตอนนี้ก็ได้เกิดความหวาดกลัวภายในจิตใจ ราวกับว่าจะโดนร่างแหไปด้วย หากว่าไม่โดนร่างแหไปด้วย ก็มิอาจสมควรที่จะมีไปหาเรื่องด้วยตนเองโดยเด็ดขาด นอกเสียจากว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะสามารถสังหารได้ มิเช่นนั้นก็อย่าได้ลงมือโดยเด็ดขาด เพื่อที่ตนเองจะได้มิต้องมีปัญหากับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ดังนั้นในตอนนี้ ในช่วงเวลานี้ หลังจากที่เยี่ยจงเอ่ยปากกล่าวจบ ท่ามกลางทั่วทั้งบริเวณต่างก็เงีบบงัน สีหน้าของเหล่าเทียนจื่อเจรียวจื่อต่างก็สับสน แต่ว่ากลับไม่มีผู้ใดที่คิดจะออกหน้าแทนเสวียนหงส์เลยแม้แต่คนเดียว
“ ถ้าหากว่าไม่มีผู้ใดคิดลงมาอีกแล้วละก็ เช่นนั้นเรื่องในคราวนี้ก็ได้เวลาสิ้นสุดแล้ว ครั้งหน้าหากยังต้องการให้ข้าลงสนามอีก จะมิใช่เพียงแค่หนึ่งล้านหินปราณก็จะสามารถให้ข้าลงมือได้แล้วนะ “ เยี่ยจงร้องเหอะเสียงเย็นชา จากนั้นก็ได้ก้าวออกจากลานประลอง กลับเข้าไปยังภายในตึกจักรพรรดิทองคำ
ผู้คนมากมายต่างก็ตื่นตะลึง แต่ละคนต่างก็ขยับกลับไปยังตึกจักรพรรดิทองคำตามเขาไป องค์ชายใหญ่ที่เป็นถึงยอดฝีมือแห่งเมืองเยียจิงก็ยังต้องจ้องมองไปที่เยี่ยจง ด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
“ พิธีไม่ดำเนินต่อไปงั้นหรือ ? “ หลังจากที่ได้กลับมายังตึกจักรพรรดิทองคำแล้ว ก็ได้นั่งลงไปยังที่นั่งรับรองของตนเอง ภายในร่างของเยี่ยจงกลับมิได้แผ่พุ่งรังสีใดๆออกมา ราวกับว่าได้เก็บปลายหอกคมกระบี่แล้วก็มิปาน เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ในตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดที่หาญกล้าพอที่จะดูถูกเขาแม้แต่ปลายขน
บริเวณไม่ห่างไกลมากนัก เหล่ายอดฝีมือตระกูลเยี่ยแต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา เหมือนกับว่าพวกเขาได้รับรู้ถึงพลังฝีมือในอีกระดับหนึ่งที่สดใหม่อีกครั้ง บุคคลเช่นนี้ ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้พวกเขายังถึงกับขับไสไล่ส่งออกจากตระกูลเยี่ยของพวกเขาเอง เรื่องที่เกิดขึ้นในตอยนี้เพียงพอที่จะทำให้คนของตระกูลเยี่ยร่ำไห้เพราะความเสียดายสามวันสามคืน
หลังจากที่เข้ามายังงานเลี้ยง เพียงแต่ว่า เมื่อมีฉากเบื้องหลังที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่เพิ่มขึ้นมา ต่อจากนั้นการแสดงต่างๆก็มิได้มีการดำเนินต่อไป ไม่นานนัก สมบัติมีค่าแปลกตาแต่ละชนิดก็ได้ถูกขนเข้าไปยังห้องเก้ามังกรนั้นเอง
องค์ฮ่องเต้ถือได้ว่าใจกว้างไม่น้อย ยังถึงกับมอบโอสถปราณหลากหลายชนิดเป็นรางวัล เพื่อมอบให้แก่เหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหลาย
ไม่นานนัก หลังจากพิธีถวายพระพร ยอดฝีมือของแต่ละขุมกำลังก็ได้ออกอวยพร เริ่มต้นด้วยเหล่าผู้มีชื่อเสียงที่มาจากนอกเหนือทั้งสามรัฐใหญ่อวยพรก่อน อีกทั้งยังส่งมอบของกำนัลร่ำค่ามาให้ หลังจากนั้นก็ได้มาถึงยังเหล่าขุมกำลังของทั้งสามรัฐใหญ่
“ ผู้นี้เป็นตัวแทนจากลัทธิแห่งดวงดาวเพื่อมาถวายพระพร ขอให้องค์ฮ่องเต้อายุมั่นขวัญยื่น “
เยี่ยจงลุกขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ถอดแหวนจักรวาลส่งมอบให้แก่องครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง สิ่งนี้เป็นของขวัญที่ทางลัทธิแห่งดวงดาวเตรียมมอบให้แก่องค์ฮ่องเต้ ต่อให้เป็นเยี่ยจงเองก็ไม่ทราบว่าเป็นอันใด
“ เหอะ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ “ ภายในห้องเก้ามังกร ก็ได้มีเสียงหนักแน่นดังลอดออกมา จนทำให้ทั่งทั่งห้องเกิดคงามแตกตื่นขึ้นมา
“ พี่อันถึงกับส่งมอบสิ่งของเยี่ยงนี้ให้กับข้าฮ่องเต้ ข้าฮ่องเต้ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย อีกทั้งยังให้เจ้าเป็นผู้มาส่งให้เอง ข้าก็เข้าใจในความหมายของพี่อันดี ถ้าหากว่าสนามรบฮวงกู่(ซากปรักสนามรบโบราณ)เปิดขึ้น เยี่ยจง เจ้าจะเป็นบุคคลแรกที่ได้รับเลือก “ องค์ฮ่องเต้กล่าวขึ้นมาอย่างเสียงดังกังวาน กึ่งก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
“ อะไรกัน ? สนามรบฮวงกู่ ? “ เยี่ยจงรู้สึกใจเต้น ในที่สุดก็เข้าใจว่าต้องมีการเกิดเรื่องใหญ่อันใดแน่นอนหลังจบงานพิธี ที่แท้สนามรบฮวงกู่ก็ได้เปิดขึ้นมาแล้วนี้เอง
สนามรบฮวงกู่ ถือได้ว่าเป็นดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง กล่าวกันว่าเมื่อโบราณกาล ดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้เรียกได้ว่าเล่าขานมาอย่างยาวนาน และราวกับว่ามันมีความเป็นเอกเทศในแบบหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้น ท่ามกลางดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ก็ได้ปรากฏความวุ่นวายขึ้น จนทำให้ดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้กลายเป็นไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลือไว้แต่เพียงเหล่าปีศาจนับไม่ถ้วน
อีกทั้ง หลังจากนั้นเอง ในสนามรบอันว่างเปล่าแห่งนี้ก็ได้มีกฎเหล็กอันแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง กล่าวอย่างง่ายๆก็คือ มีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ในระดับขั้นก่อเกิดเท่านั้นที่จะสามาระเข้าไปได้ ส่วนยอดฝีมือที่มีพลังนอกเหนือจากขอบเขตเหล่านี้หากเข้าไป ก็จะถูกทำลายพลังฝีมือในทันที
อีกทั้งหากกล่าวถึงยอดฝีมือระดับขั้นก่อเกิด ท่ามกลางสนามรบฮวงกู่ ถือได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าท่ามกลางสนามรบฮวงกู่ในหลายปีมานี้ได้ก่อรวมจนเกิดพลังปราณอันน่ากวาดกลัวเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือระดับขั้นก่อเกิดยากที่จะต้านทานได้
เพียงแต่ว่า ภายใต้การปิดกั้นของดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีสมบัติอยู่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับถ้ำหงส์หยาเมื่อครั้งก่อนยังถือว่ามีมากกว่าหลายเท่า ก่อนหน้านี้ก็ได้มียอดฝีมือจากดินแดนขนาดเล็กแห่งนี่เล่าขานกันว่ามี คัมภีร์ยุทธ์หลากหลาย โอสถปราณยอดเยี่ยมมากมายนับไม่ถ้วน
ดังนั้นภายใต้ดินแดนซีฮวงแห่งนี้ การเปิดของสนามรบฮวงกู่ในทุกครั้ง ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่า การเปิดสนามรบฮวงกู่ยังจำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษอยู่ อีกทั้งการเปิดสนามรบฮวงกู่ยังจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก ต่อให้เป็นเหล่ายอดฝีมือที่มีความสามารถของสำนักที่โด่งดัง หรือแม้แต่เหล่าราชวงศ์ก็ยังมิอาจที่จะเข้าสู่สนามรบฮวงกู่ได้ด้วยตนเอง จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้คนมากมายจากขุมกำลังต่างๆคอยสนับสนุน หลังจากที่ปรึกษาหารือกันแล้ว จึงค่อยตกลงเพื่อที่จะเปิดการเข้าสู่สนามรบฮวงกู่
อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่า บริเวณที่พื้นที่การเปิดของสนามรบฮวงกู่ในครั้งนี้ ยิ่งอยู่ในบริเวณภายในรัฐต้าโจว ดังนั้นฮ่องเต้รัฐต้าโจวจึงนับได้ว่าเป็นเจ้าถิ่น การที่จะมอบตำแหน่งหนึ่งเพื่อให้เยี่ยจงได้เข้าสู่ทางเข้าสนามรบ จึงไม่นับได้ว่าเป็นอย่างไร
“ ฮ่องเต้ ประตูช่องว่างที่เปิดขึ้นในสนามรบฮวงกู่ครั้งนี้ เป็นพวกข้าที่คอยทำหน้าที่ควบคุม ตำแหน่งแต่ละจุดต่างนั้นต่างก็เป็นผู้ที่มาจากกลุ่มสำนักที่โด่งดัง อีกทั้งต่างก็ได้ลงทุนลงแรงไปจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นคนที่จะเข้าร่วมโดยส่วนมากก็ได้ยืนยันการคัดเลือกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านที่ยินยอมให้ผู้เยาว์เพียงคนเดียวเข้าไป เกรงว่ายากที่จะรับได้ “ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมาออกจากห้องเก้ามังกร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้อาวุโสหวินหลินอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าภายในใจเขามีแต่ความโกรธแค้นอีดแน่นไว้อยู่ ถึงแม้จะเก็บงำอารมณ์ตนเองให้เยือกเย็นเอาไว้ แต่ว่าก็มิอาจที่จะปกปิดความพูดที่เต็มไปด้วยความฆ่าฟันอย่างลึกล้ำ
“ ท่านผู้อาวุโสหวินหลิน สำนักเสวียนหวินของพวกท่าน มิใช่ว่าได้คัดเลือกเอาไว้อยู่สองคนอยู่หรอกหรือ ? ยอมปล่อยไปสักที่จะเป็นไรไป ? “ ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังกังวานขึ้นมา มียอดฝีมือไม่น้อยที่รู้สึกใจสั่นในเวลาเดียวกันขึ้นมาอยู่เต็มภายในจิตใจ เห็นได้ชัดว่า ในตอนนี้องค์ฮ่องเต้นับได้ว่าได้ยืนอยู่ฝั่งเยี่ยจงแล้ว
“ ฮ่องเต้โจว ท่านต้องการที่จะให้ไปกันไม่ได้กับสำนักเสวียนหวินเรางั้นหรือ ? ผู้เยาว์เช่นนี้ถึงกลับกล้าใช้ฝีมืออำมหิต กักตัวนายน้อยทั้งสองของสำนักข้า ในตอนนี้ยังจะเห็นแก่หน้าของพิธีถวายพระพร ไม่ลงมือ แต่ว่าท่านก็อย่าได้ให้ข้ายอมเสียสละตำแหน่งให้ หลังจากสิ้นสุดพิธีถวายพระพร เด็กน้อยผู้นี้ต้องตาย “ ผู้อาวุโสหวินหลิงเอ่ยปากเสียงเย็นชาออกมา
“ สุนัขเฒ่า เจ้าว่าข้ากล้าที่จะจัดการเด็ดหัวเจ้าไร้ประโยชน์สองตัวนี้หรือไม่ แล้วนำศีรษะของพวกเขามาถวายแก่องค์ฮ่องเต้ ? “ เยี่ยจงเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังห้องเก้ามังกรแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ เจ้าบังอาจ “
ทางด้านห้องเก้ามังกรก็ได้สว่างขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ปรากฏเงาร่างผอมบางออกมา เขาจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง รังสีสังหารปรากฏบนร่างราวกับกำลังก่อร่างขึ้นมาก็มิปาน
“ เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าฮ่องเต้ถือเป็นคนกลาง พวกเจ้าสำนักเสวียนหวินถอยออกไปหนึ่งก้าว อีกทั้งเยี่ยจง เจ้าจะปล่อยนายน้อยทั้งสองคนได้หรือไม่ ? “ องค์ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังกังวาน เพื่อพยายามไกล่เกลี่ย
สีหน้าของเยี่ยจงยังคงไม่เปลี่ยน เพียงแต่ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “ องค์ฮ่องเต้โปรดวางพระทัย ตำแหน่งนั้นข้าย่อมต้องรับไว้แน่ แต่ว่าคนข้าก็ไม่ปล่อยไว้อย่างแน่นอน บอกไว้แล้วว่าจะประหารเพื่อเซ่นสังเวย มีหรือจะผิดพลาดไปได้ “
“ สุนัขเฒ่าอย่างเจ้า แม้แต่เจ้ายังคิดที่จะฆ่าข้างั้นหรือ ? ก็แค่ขอบเขตขั้นปราณจักวาล คิดว่าตนเองจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วงั้นหรือ ? ก็เป็นได้แค่เพียงแมลงเม่า “ เยี่ยจงลุกขึ้นยืน จ้องเขม็งไปที่หวินหลิน ถ้าเป็นพลังฝีมือของเขาก่อนหน้านี้ กับจำพวกคนอย่างหวินหลิน ในสายตาของเขาก็เป็นได้แค่แมลงเม่าตัวหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะมีพลังฝีมือไม่เพียงพอ แต่ว่าภายในจิตใจ เขากลับมิได้เห็นยอดฝีมือเช่นนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ได้เข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับมี่แปดซานกวานเทียนทงแล้ว เยี่ยจงยิ่งมีความมั่นใจในไม้ตายของตนเองมากยิ่งขึ้น หากว่าเขาสามารถใช้ออกมาได้อย่างไม่หยุดยั้ง ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตจักวาล ก็ใช่ว่าจะมิมีหนทางในการสังหารได้
“ โจงอ๋อง มิใช่ว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าท่าน เด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกล่าววาจาลบหลู่ข้า ข้าจะต้องจัดการสังหารเขาในวันนี้ “ หวินหลินยิ้มอย่างเย็นชา ก้าวออกไปด้านหน้า
“ หากว่าเป็นเช่นนี้จริง ก็ขึ้นไปยังเวทีเป็นตายเถอะ “ องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นาน ลงความเห็นด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่า ในตอนนี้เขาก็ทราบดีว่า ความขัดแย้งระหว่างเยี่ยจงและสำนักเสวียนหวินได้อยู่ขั้นที่ไร้หนทางแก้ไขแล้ว อีกทั้งเมื่อดูจากลักษณะของเยี่ยจงที่ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่ให้เป็นตัวฮ่องเต้เอง ก็ยังมีความเสนาะสนใจอยู่หลายส่วน ต้องการที่จะทราบว่าพลังฝีมือของเยี่ยจงนั้นเป็นเช่นไร
“ ซวบ “
หลังจากที่ได้สิ้นเสียงแล้ว ทั่วทั้งตึกจักพรรดิทองคำต่างก็ได้ลุกขึ้นมา มุ่งหน้าไปทางด้านเมืองเยียจิง ไม่นานนัก ก็ได้มาถึงยังใจกลางเทือกเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางบริเวณท่ามกลางหุบเขา ท่ามกลางพื้นที่สนามรบขนาดใหญ่ บนสนามรบก็ได้อัดแน่นไปด้วยพลังไอสังหาร ที่สะสมมานานหลายปี อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโลหิต เป็นดั่งพื้นที่แห่งความเป็นตาย เป็นดั่งในตอนนี้ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ โลหิตโรยรินนับไม่ถ้วน เป็นดั่งสถานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยอดฝีมือ
ยอดฝีมือทั้งหมดในตอนนี้ต่างก็เกิดอาการตกใจ ฮ่องเต้ถึงกับมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ในพริบตาที่ได้ลงมือ ก็ถึงกับสามารถส่งทั้งตึกจักพรรดิทองคำออกไปได้นับพันลี้เลยงั้นหรือ ?
.
.
.
.