เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 189 ลานประลองเป็นตาย

ตอนที่ 189 ลานประลองเป็นตาย

 

 

ท่ามกลางลานประลองอันใหญ่โต ทั่วทั้งผืนดินที่ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นสีขาวด้วยโครงกระดูก ที่ได้กลายเป็นหินไปตั้งแต่แรกแล้ว ยังมีเศษซากอาวุธเกราะอยู่นับไม่ถ้วน ดูแล้วราวกับเป็นดั่งสุสานขนาดใหญ่ก็มิปาน ทรุดโทรมและเต็มไปด้วยพลังหยินอันเข้มข้น

 

ท่ามกลางบริเวณใจกลางของสมรภูมินี้ ก็ได้มีลานประลองสีเลือดอยู่แห่งหนึ่ง ลานประลองดูเก่าแก่ จนไม่สามารถมองออกได้ว่าสร้างมาจากวัสดุสิ่งใด นั้นก็เพราะว่าอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีคราบโลหิตเกาะอยู่อย่างหนาแน่น คราบโลหิตเหล่านี้เมื่อถูกลมพัดจนแห้ง ก็ได้กลายเป็นสีดำทมิฬเชิกเช่นตอนนี้

 

“ ซวบ “

 

ท่ามกลางตึกจักรพรรดิทองคำ ทันใดนั้นเองก็ได้มีเงาร่างสองสายทอแสงสว่างออกมา แบ่งเป็นอยู่คนละด้านของสนามประลองเป็นตาย

 

หลังจากที่เงาร่างทั้งสองได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว ร่างกายของเยี่ยจงและหวินหลินก็ได้แบ่งก็ไปอยู่ตรงหัวมุมคนละด้าน

 

เยี่ยจงหันหน้ากลับมา กวาดตามองไปยังตึกจักรพรรดิทองคำอย่างดุดันคราหนึ่ง ในช่วงเวลาเมื่อครู่ที่ได้ถูกส่งออกมา พลังของตนเองกลับมิอาจที่จะใช้เพื่อขัดขืนได้เลย พลังฝีมือของฮ่องเต้ผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง อีกทั้งยังเป็นความน่าหวาดกลัวที่เกินกว่าจะคาดคิดไว้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ในพลังขั้นก่อฟ้าระดับขอบเขตขั้นสุดท้ายแล้ว ขอบเขตบรรลุเซียน

 

หากว่าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ฮ่องเต้องค์นี้ก็ถือได้ว่ามีความน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง

 

และบริเวณทางด้านฝั่งตรงข้ามของเยี่ยจง ภายในจิตใจของหวินหลินก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความยากที่จะเชื่อ ตลอดมาเขาคิดไว้ว่า พลังฝีมือของฮ่องเต้นั้นแทบจะไม่แตกต่างจากเขามากมายนัก แต่ว่าในตอนนี้กลับพิสูจน์ได้ว่า เขาเทียบไม่ได้กับองค์ฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ได้ทำให้เขาเกิดอาการสั่นเทาขึ้น ควรทราบว่า ความจริงแล้วทั่วทั้งรัฐต้าโจวหวังเฉา รวมทั้งทั้งสามรัฐใหญ่ กับยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงแห่งทั้งสามรัฐใหญ่เหล่านี้ แทบจะไม่อยู่ในสายตาเลย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าองค์ฮ่องเต้ต้าโจว กลับบรรลุความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

 

“ พวกเจ้าต้องการประลอง งั้นก็ประลองซะ ในเมื่อได้ขึ้นสู่ลานประลานเป็นตาย ไม่ถึงคราวเป็นตายก็มิอาจลงจากลานประลองได้ “ ฮ่องเต้ส่งเสียงลุ่มลึกออกมาจากภายในตึกจักรพรรดิทองคำ เงียบงันไร้ที่เปรียบ “ บริเวณแห่งนี้นับได้ว่าเป็นสนามประลองเป็นตายอันเก่าแก่แห่งหนึ่ง ยึดถือกฎความเท่าเทียมเอาไว้ กฎข้อบังคับเหล่านี้ขอให้พวกเจ้ารักษาเอาไว้ ให้พวกเราได้เห็นถึงการประลองที่แท้จริงสักครา “

 

หลังจากที่เงียบงัน ยอดฝีมือที่กำลังจ้องมองดูอยู่จากภายในตึกจักรพรรดิทอดงคำก็ปรากฏสีหน้าตกใจ ความหมายขององค์ฮ่องเต้นั้นคืออันใดกันแน่ ?

 

บนสนามประลองเป็นตาย เยี่ยจงยังคงสีหน้าสงบนิ่ง เขาค่อยๆสูดลมหายใจเข้า แล้วก็ได้นำร่างมหัศจรรย์หมื่นโบราณออกมา แต่ว่าทันใดนั้นเอง ก็ได้เกิดความตกใจขึ้นภายในจิตใจ ร่างมหัศจรรย์หมื่นโบราณเมื่อได้อยู่บนสนามประลองแห่งนี้ กลับราวกับสูญเสียพลังปราณก็มิปาน ถึงกับไม่สามารถใช้ออกมาแม้แต่เพียงครึ่งเดียว

 

ที่แท้ ……..

 

สายตาของเยี่ยจงได้มองไปยังทางด้านร่างของหวินหลิน ก็ได้พบว่าพลังปราณอันน่าหวาดกลัวที่อยู่บนร่างในตอนแรกจู่ๆก็ได้หายสาบสูญไปอย่างรวดเร็วทันทีทันใด ถูกตีกลับเข้าไปยังร่าง และใบหน้าของหวินหลินนั้น ก็ได้เปลี่ยนไปจนกลายเป็นปั้นยากอย่างถึงที่สุดขึ้นมาในทันที

 

“ เขตแดนปราบปราม ? “ หวินหลินจ้องเขม็งไปทางด้านตึกจักรพรรดิทองคำ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น “ โจวฮ่อง ท่านถึงกลับกล้าเล่นตลกกับข้า “

 

“ ข้าฮ่องเต้ได้กล่าวไปแล้ว ว่ายอดฝีมือที่ได้ขึ้นไปยังสนามประลองในครั้งนี้ ในเมื่อพวกเจ้าต้องการที่จะให้มีการประลองเป็นตายในงานพิธีของข้า เช่นนั้นข้าฮ่องเต้ก็ได้ให้โอกาสที่เป็นธรรมแก่พวกเจ้า อยู่ในระดับขอบเขตเดียวกัน ประลองอย่างเป็นตาย นี้มีอันใดไม่ดีกัน ? หรือกล่าวได้ว่าผู้อาวุโสหวินหลินท่านถ้าไม่มีสมบัติก็จะอ่อนแอ ภายใต้ขอบเขตเดียวกัน ถึงกลับหัวหดเลยงั้นหรือ ? “ องค์ฮ่องเต้กล่าวออกมาเสียงดุดัน อีกทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลน อีกทั้งยังให้แรงกดดันอย่างไร้ที่เปรียบ

 

หลังจากที่ได้เงียบงัน ยอดฝีมือท่ามกลางตึกจักรพรรดิทองคำค่อยมีปฏิกิริยากลับมา เวทีเป็นตายถึงกับมีกฏเกณฑ์เช่นนี้ สามารถมีเขตแดนปราบปราม อีกด้วย เพื่อให้ผู้คนต่อสู้กันอย่างทัดเทียม หรือกล่าวได้ว่า ความสามารถและพลังมือของหวินหลินที่ความจริงอยู่ในระดับที่สูง ในตอนนี้กลับมิอาจที่จะใช้ได้เลยแม้แต่เพียงนิดเดียว สามารถที่จะจัดการกับเยี่ยจงผู้นี้หรือไม่ ก็คงต้องดูความสามารถของเขากันแล้ว

 

“ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ …….. “ เยี่ยจงอมยิ้ม ไม่แปลกใจเลยที่ในตอนนี้มิอาจที่จะใช้ร่างมหัศจรรย์หมื่นโบราณได้ นั้นก็เพราะว่าสถานที่แห่งนี้มีกฎเกณฑ์อันพิสดารเช่นนี้ จนกลายเป็น ที่มาของเวทีประลองเป็นตายเช่นนี้

 

ในคำพูดของโจวฮ่องในตอนนี้ เมื่อพลังฝีมือของทั้งสองคนมีความเสมอภาคกัน ก็นับได้ว่าเป็นการประลองที่ทัดเทียมอีกแบบหนึ่ง

 

“ ถ้างั้นก็มาประลองกันเถอะ “

 

ในครั้งนี้ รังสีสังหารของเยี่ยจงก็เริ่มเข้มข้นขึ้น เขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากของหวินหลิน แล้วก็เพียงยิ้มอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง “ สุนัขเฒ่า เมื่อครู่เจ้ากล่าววาจาใหญ่โตว่าจะสังหารข้า อีกเดียวถ้าไม่ระวังไว้แล้วละก็ คงไม่ถึงกับรับมือข้าไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวหรอกนะ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของสำนักเสวียนหวิน ก็คงจะสูญเสียไปไม่มากก็น้อย “

 

“ เจ้าเด็กไร้สัมมาคารวะ ต่อให้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ข้าผู้เฒ่าก็ยังสามารถฆ่าเจ้าได้ “ กระนั้นหวินหลินก็ยังถือเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง สีหน้าของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสงบลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองเยี่ยจงด้วยสีหน้าที่เยียบเย็น นัยน์ตาปรากฏรังสีสังหารเป็นประกาย เพียงแต่ว่าประกายตาในครั้งนี้กลับดูหนักแน่นมากกว่าเดิมอยู่หลายส่วน ถึงแม้เยี่ยจงจะไม่ธรรมดา แต่ภายในใจก็ถือได้ว่ามีการคาดคำนวณเอาไว้แล้ว

 

“ ตูม “

 

ทันใดนั้นต่อมา หวินหลินก็มิได้ชักช้าอีกต่อไป ขอบเขตพลังของเขาในตอนนี้ได้ถูกยับยั้งเอาไว้ ความไม่คุ้นเคยก็ได้เปลี่ยนไปหลายส่วน ช่วงเวลาที่ลงมือ วินาทีนั้นก็ได้พบเห็นประกายดาบออกมาจากนิ้วมือออกมา มุ่งหน้าเข้าปะทะสังหารบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ออกไป

 

เมื่อพลังฝีมือของหวินหลินถูกปิดกั้น อย่างมากก็ใช้ได้แค่ทักษะยุทธ์ระดับปราณขั้นต่ำ หากกล่าวในเชิงของขอบเขต เมื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเยี่ยจง ก็นับได้ว่าเสมอภาค

 

“ เคร่ง “

 

เยี่ยจงยิ้มอย่างเยือกเย็น หวินหลินในตอนนี้แทบจะไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย แม้กระทั่งทักษะยุทธ์ก็คร้านที่จะใช้ออกมา เพียงแต่ดีดบางสิ่งบางอย่างออกมาจากนิ้วมือ ประจวบประทบเข้ากับคมดาบของหวินหลินที่โจมตีเข้ามา วินาทีนั้นเองตัวดาบก็ได้เกิดรอยร้าวขึ้น พร้อมกับมีเสียงดังลอดออกมา

 

“ ภายใต้ขอบเขตระดับเดียวกัน เข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า สุนัขเฒ่า บอกแล้วว่าเจ้าเป็นเพียงแค่เศษขยะก็ไม่เชื่อ “ เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา เบือนสายตาออกจากหวินหลิน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาโดยทั้งสิ้น

 

“ ปากเสีย “

 

หวินหลินร้องเสียงดึงเฮ้อ ทันใดเอง เขากผ้ได้ผนึกฝ่ามือขึ้น วินาทีนั้นเอง ก็ได้มีฝ่ามือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาบริเวณทางด้านหลัง ฝ่ามือนั้นใหญ่โตจนถึงขอบสนาม เต็มไปด้วยพลังสังหารนับไม่ถ้วน

 

“ ฝ่ามือสายหมอก “

 

“ โครม โครม “

 

ด้านบนเวทีเป็นตายในตอนนี้ที่เต็มไปด้วยโลกิตที่เหือดแห้งตามรอยร้าว ก็ได้เผยให้เห็นถึงบนพื้นหินสีแดงเพลิง แตกกระจายพัดผ่านไปตามสายลมทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ในเวลาเดียวกันก็ได้กดทับเข้าไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่

 

สีหน้าของเยี่นจงเย็นเยียบ แต่ก็มิได้เคลื่อนไหวหรือใช้ออกด้วยทักษะยุทธ์แต่อย่างไร เพียงแต่กุมมือขึ้น เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปทางด้านการโจมตีที่กำลังกดทับเข้ามา นี้เป็นดั่งความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง ในระดับขอบเขตเดียวกันนั้น และความแข็งแกร่งของเยี่ยจงในตอนนี้ ต่อให้ไม่ใช้ทักษะยุทธ์ใดๆออกมา ก็ยังสามารถที่จะต้านทานหวินหลินได้

 

เสียงก๊งดังขึ้นมา เพียงแค่พริบตาเดียว พลังฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ได้ครอบคลุมกดทับไปทางด้านสี่ทิศแปดด้านของเยี่ยจง หลังจากนั้นกระทบเข้าด้วยกัน บนใบหน้าของหวินหลินก็ได้ปรากฏเค้าความดุร้าย ราวกับว่าเขาเห็นตนเองได้บดขยี้เยี่ยจงภายในกระบวนท่าเดียว

 

“ เชอะ “

 

ท่ามกลางพลังฝ่ามือขนาดใหญ่ เยี่ยจงก็ได้ยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ได้ยื่นมือขวาตบออกไปบริเวณทางด้านหน้า

 

“ ตูม “

 

พลังลมอันน่าหวาดกลัวกระจายออกมา วินาทีนั้น ก็ได้พบกับฝ่ามือค่ายกลขนาดใหญ่สั่นไหวอยู่ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่ฝ่ามือนี้จะฟาดใส่เยี่ยจง

 

ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในตึกจักรพรรดิทองคำต่างก็สูดหายใจอย่างเร่งร้อน เยี่ยจงที่มีพลังฝีมือในขั้นก่อเกิดระดับที่แปด เนื้อหนังบนร่างถึงกับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช้แม้แต่ทักษะยุทธ์ อีกทั้งยังพึ่งพาเพียงร่างเนื้อ ก็รับมือหวินหลินที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้งั้นหรือ ? ต้องทราบว่า ต่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ว่าหวินหลินก็ยังเป็นถึงผู้อาวุโสสำนักเสวียนหวิน

 

นี้ เป็นเหมือนดั่งการดูแคลนและดูหมิ่นในอีกแบบ นับได้ถือได้ว่าเป็นผู้เยาว์อันดับหนึ่งที่มีความเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้

 

เหล่ายอดฝีมือที่มีชื่อเสียงจากที่ต่างๆเหล่านี้ ในการตอนนี้แต่ละคนต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะกล่าวอันใดดี และเหล่ายอดฝีมือแต่ละคนของสำนักเสวียนหวินต่างก็กำมือเอาไว้จนแน่น เกือบที่จะมีโลหิตไหลออกมา ก่อนหน้านี้เยี่ยจงได้กักขังนายน้อยทั้งสองของพวกเขาไปแล้วยังไม่พอ ในตอนนี้แม้แต่ผู้อาวุโสที่เป็นคนนำทัพพวกเขามาก็ยังไม่อยู่ในสายตา ทำให้ผู้คนรู้สึกอดสูเป็นอย่างยิ่ง

 

“ เด็กน้อย ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ “

 

หวินหลินถึงแม้จะเป็นผู้อาวุโสสำนักเสวียนหวิน หลังจากที่เขาได้เปลี่ยนสีหน้า ก็ได้ประกบมือเป็นสัญลักษณ์อีกครั้ง วินาทีนั้น ก็ได้พบกับพลังฝ่ามือขนาดใหญ่ออกมาปรากฏบริเวณใจกลางลายมือออกมานับไม่ถ้วน ลายมือเหล่านี้ได้รวมตัวเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นสายฝนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทางด้านบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ หากว่ามองดูอย่างระมัดระวังจะเห็นได้ว่า สายฝนเหล่านี้เป็นเหมือนดั่งพายุคะนอง เก็บงับเอาไว้ด้วยพลังจากแรงสังหารอันน่าหวาดกลัว

 

“ นี้คือฝ่ามือค่ายกลสังหารของสำนักเสวียนหวินของเรา ในครั้งนี้เยี่ยจงต้องตายอย่างแน่นอน “ มีศิษย์ของสำนักเสวียนหวินที่อยู่ภายในตึกจักพรรดิทองคำกล่าวออกมาเสียงต่ำ กระบวนท่าในตอนนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าสังหารที่ร้ายกาจของสำนักเสวียนหวิน ต่อให้เป็นพวกเขาที่เป็นคนที่เป็นศิษย์ที่เกี่ยวกับทางสายเลือดของสำนักเสวียนหวินจึงจะสามารถฝึกปรือได้

 

“ โครม “

 

จากนั้น เมื่อเสียงของคนผู้นี้ได้ลอดออกมา ด้านบนเวทีเป็นตาย เยี่ยจงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าภายใต้การโจมตีเช่นนี้ เขาขยับมือปล่อยหมัดขวาออกไปเข้าปะทะในทันที พลังหมัดอันรุนแรงก็ได้พุ่งไปยังทางด้านหน้า

 

วินาทีนั้นเอง ประกายสายฝนที่กลายเป็นพายุคะนองก็ได้เกิดรอยแตกขึ้น กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งนี้ ยังถึงกับมิอาจที่จะต้านทานเยี่ยจงเอาไว้ได้

 

“ ฮวา “

 

หวินหลินเปลี่ยนแปลงสีหน้าอย่างรุนแรง แปรเปลี่ยนพลังฝ่ามืออีกครั้ง ก็ได้พบว่าบริเวณใจกลางพลังฝ่ามือขนาดใหญ่ บนลายมือได้เปลี่ยนแปลงเป็นใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม เหมือนคิดที่จะบดขยี้เยี่ยจงให้จงได้

 

“ เพล้ง “

 

เยี่ยจงส่งเสียงดังขึ้น ในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างกายก็ได้พุ่งออกไป จากนั้นพลังหมัดก็ได้เข้าปะทะเข้ากับใจกลางพลังฝ่ามือนี้เข้าเต็ม

 

“ โครม “

 

หลังจากที่ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือขนาดใหญ่ได้เริ่มที่จะไหลเวียนกันเข้ามานับไม่ถ้วน จนท้ายที่สุดเสียง “เปรี้ยง” ก็ดังขึ้นจนแตกกระจายเป็นระอองแสงมากมายนับไม่ถ้วน แล้วก็หายไปท่ามกลางอากาศ

 

พลังหมัดได้เข้าปะทะกับการโจมตีอันรุนแรงของหวินหลินเมื่อร่างกายของเยี่ยจงถึงพื้น สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เพียงแต่ส่ายศีรษะไปมา แล้วกล่าว “ เจ้า ไม่ไหว “

 

เสียงนั้นมิได้ดังมาก แต่ว่าก็สามารถทำให้สีหน้าของหวินหลินเปลี่ยนเป็นปั้นยากอย่างไร้ที่เปรียบ ในฐานะที่เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักเสวียนหวิน กลับต้องถูกด่าทอเช่นนี้ แม้จะมิใช่การชี้หน้าด่าก็ตาม แต่ว่าก็ทำให้เกิดความโกรธขึ้นภายในจิตใจของหวินหลิน ในทางด้านสถานะของเขา ยังสามารถรับการดูถูกเช่นนี้งั้นหรือ ? เป็นเพียงแค่ผู้เยาว์ถึงกับมีหาญกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

 

“ ตอนนี้ เจ้าลองรับกระบวนท่าของข้าสักกระบวนท่าเป็นไร ? “

 

เยี่ยจงขยับกายคราหนึ่ง วินาทีนั้นก็ได้หายวาบไปอยู่บริเวณทางด้านหน้าของหวินหลิน จากนั้นเขาก็ยกหมัดขึ้นมา และในเวลาเดียวกันก็ได้ใช้หมัดพุ่งเข้าสู่บริเวณทรวงอกที่ปะทะเข้าไปคราหนึ่ง

 

ในครั้งนี้ เยี่ยจงมิได้เคลื่อนไหวโดยใช้ทักษะยุทธ์แต่อย่างไร ได้แต่พึ่งพาพลังกายเป็นหลักเพียงถ่ายเดียว แต่ว่าวินาทีนั้นเอง ท่ามกลางอากาศก็ได้มีเสียงตัดผ่านออกมานับไม่ถ้วน พลังหมัดเช่นนี้ เมื่อเทียบกับกระบวนท่าหมัดของหวินหลินเมื่อครู่ยังถือว่ามีความร้ายกาจกว่าอยู่หลายส่วน

 

“ เยี่ยจงผู้นี้ ฝึกปรือมาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ที่เขาฝึกปรือมา แท้จริงแล้วเป็นเคล็ดวิชากำลังภายในดาราคล้อยของลัทธิแห่งดวงดาวงั้นหรือ ? “ มียอดฝีมือเกิดความสงสัย ภายใตดวงตาเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น แท้จริงแล้ววิชาปราณอยู่ในระดับใดกันแน่ ถึงกับทำให้ผู้ที่อยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่แปด เนื้อหนังบนร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ?

 

“ หรือควรจะกล่าวว่า กล้ามเนื้อบนร่างกายของเยี่ยจงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดเอาไว้มากแล้ว ต่อให้เป็นเหล่าขั้นแนวหน้าที่โด่งดัง ก็พบเจอได้น้อย ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ในระดับเช่นนี้ ? “

.

.

.

.

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset