เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 201 เวลาที่ใกล้เข้ามา

ตอนที่ 201 เวลาที่ใกล้เข้ามา
เยี่ยจงและพวกต่างก็สบตามองกันคาหนึ่ง ต่างก็มองออกถึงความแตกตื่นภายในดวงตาของอีกฝ่าย ไม่มีจะเป็นมนุษย์ในราชวงศ์ใด ต่างก็เคยผ่านพ้นช่วงเวลาอันลำบากไร้ที่เปรียบมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จจากกระดูกที่เสียสละไปนับหมื่น และเผ่ามนุษย์ที่มาจากกู่กวอ(รัฐโบราณ) ถือได้ว่าเป็นรัฐที่มีการดำรงอยู่ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง อีกทั้งยังอยู่ภายใต้หุบเขาลึกที่น้อยครั้งจะสามารถพบเจอ ถ้าหากมีความสามารถเพียงพอที่จะสามารถค้นหากู่กวอได้แล้วละก็ ? นี้ก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ?

“ ดูเหมือนว่า วาสนาสายหนึ่งอะไรนั้นคงควรค่าแก่การแย่งชิงแล้วละ “ เยี่ยจงทอประกายสายตาออกมาสายหนึ่ง หากเป็นไปตามความคิดของตน ในช่วงเวลาอันสั่นๆนี้ หากว่ามีสิ่งของที่สามารถพอที่จะยกระดับของตนเองขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั่นๆได้แล้วละก็ เช่นนี้คนเองก็มิอาจที่จะผิดพลาดได้อย่างแน่นอน

“ ถึงแม้ว่าจะมีการเกิดออกมาของวาสนาสายหนึ่ง แต่ว่าการเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้ก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเกรงว่าคงจะลำบากมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ด้วย พวกเขาจงเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดี “ ซูเหล่าครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงและพวกต่างก็พยักหน้าเล็กน้อย เพียงแต่ว่าไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าท่ามกลางสมรภูมิฮวงกู่จะมีวาสนาสายหนึ่งอะไรนั้นอยู่ เช่นนั้นไม่ว่าจะอย่างไรตนองก็คงต้องแย่งชิงมาให้ได้

ต่อจากนี้ เยี่ยจงและคณะก็ยังมิได้ออกจากที่พักของกลุ่มราชองค์รักษ์ ร่วมทั้งเยี่ยจงด้วย ผู้คนทั้งหมดต่างก็เก็บตัวอยู่ในห้องพักของตนเองโดยทั้งสิ้น

หลังจากที่ได้เก็บตัวฝึกฝน มีบางครั้งเยี่ยจงก็ได้เข้าไปหาซูเหล่าที่ห้องพัก เพื่อที่จะปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องฝึกยุทธ์ส่วนหนึ่ง รวมไปทั้งโดยเฉพาะเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับสมรภูมิฮวงกู่อีกด้วย
ในขณะที่ได้ปรึกษากับซูเหล่า เยี่ยจงถึงแม้จะมิได้รับประโยชน์อันใดมากมายนัก แต่ว่าซูเหล่าก็พบเจอโลกมามาก เกี่ยวกับเหล่าขุมกำลังของราชวงศ์ต่างๆที่อยู่ภายในดินแดนซีฮวง กู่กวอ ไทกู่หลิงซานรวมไปทั้งสถานการณ์และค่อยชี้แนะ ถึงแม้ว่าเขาจะมิอาจที่จะบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้ แต่ว่าในจุดที่สำคัญก็ต้องถูกเยี่ยจงซักถามออกมาสักหลายรอบ หากกล่าวโดยเยี่ยจง ถือได้ว่าได้รับประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว

ช่วงวันเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ในในนี้ ทั่วทั้งท้องฟ้าของเมืองฮวงกู่ ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏเมฆหมอกสีดำทมิฬขึ้นมาปกคลุมไปทั่ว ภายในเมฆหมอก ก็ได้ก่อเกิดประกายสายหาขึ้นมานับไม่ถ้วน ราวกับว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดวันก็มิปาน

“ ได้เวลาแล้ว “

ประจวบกับที่เยี่ยจงกำลังพูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับขุมกำลังต่างๆของดินแดนซีฮวงกับซูเหล่าทันใดนั้นร่างกายก็ได้สั่นไหวขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้โบกมือคราหนึ่ง แล้วก็ได้เปิดหน้าตาออกไปมอง และจากนั้นร่างกายของซูเหล่าก็ได้หายวาบขึ้นไปยังบนยอดตึก เงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งไปยังท่ามกลางท่องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ

ในตอนนี้เยี่ยจงก็ได้ขยับร่างกายคราหนึ่ง ในตอนที่ซูเหล่ายังคงอยู่ด้านบนยอดตึก ไม่นานนัก ลั่วเฉิงและพวกต่างก็ได้มารวมตัวกัน

นอกเสียจากตอนนี้ ภายในเส้นทางสายน้อยใหญ่ของเมืองฮวงกู่ รวมไปทั้งบนจุดสูงของตึกใหญ่ ก็ได้มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสนาะสนใจและความตื่นเต้นขึ้นมาในเวลาเดียวกันด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

ท่ามกลางอากาศ เมฆหมอกสีดำทมิฬขนาดใหญ่ที่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นชั้นๆราวกับกำลังครอบคลุมทั่วทั้งชั้นฟ้าก็มิปาน ครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณเมืองฮวงกู่ จากนั้นก็ได้ค่อยๆม้วนไปมา การหมุนม้วนวนได้เป็นไปอย่างช้าๆ กลุ่มหมอกควันสีดำทมิฬก็ได้ทอแสงอัสนีคล้ายกับมังกรอัสนีออกมาเป็นสายๆว่ายเวียนไปมาท่ามกลางอากาศ ในเวลาเดียวกัน ความน่าหวาดกลัวสายหนึ่งก็ได้ทำให้ผู้คนทั้งหมดขนลุกชูชันขึ้นมา ราวกับต้องมนต์สะกด ประทับไปยังร่างของทุกผู้คน

เหล่าผู้เยาว์ที่เหมือนดั่งเยี่ยจง ในตอนนี้แต่ละคนต่างก็ขนลุกขึ้นมา ทั่วทั้งร่างกายชา ในส่วนยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งดั่งเช่นซูเหล่าที่มีพลังยุทธ์ในขั้นก่อฟ้า ในตอนนี้แต่ละคนต่างก็เหงื่อไหลเย็นเยียบออกมา เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าอำนาจฟ้าเช่นนี้ พลังของกำลังคนก็กลายเป็นได้แค่มดปลวกเท่านั้น

“ ชิร์ “

ท่ามกลางเมืองรกร้างโบราณ ก็ได้มีเสียงร้องดังชิร์ลอดออกมา จากนั้นก็พบเห็นผู้คนมากมาย มีอยู่ตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โต ทั่วทั้งสรรพร่างเต็มไปด้วยขนสีทองทันใดนั้นก็ได้ใช้ฝ่ามือกระแทกออกไปยังภายในเมืองฮวงกู่ เพียงแต่ว่าทันใดนั้นเอง ก็ได้กลายเป็นพลังขนาดใหญ่สายหนึ่ง จากนั้นก็ได้ฟาดฟันออกไปอย่างรุนแรงไปยังเมฆสีดำทมิฬนั้น

“ ตูมโครม “

ท้องฟ้าขนาดใหญ่ได้กู่ร้องขึ้นมาในตอนนี้ ประกายสายฟ้าได้ทอเสียงดังออกมา ราวกับว่าขณะนั้นเอง ได้เกิดการสั่นไหวไปทั้งฟ้าดินก็มิปาน

ด้านบนเมืองฮวงกู่ เมฆสีดำทมิฬได้ค่อยๆหมุนวนไปมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าระหว่างฟ้าดินมิได้มีกฏเกณฑ์ใดๆมาค่อยขีดกั้น ทำให้ฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่ไร้หนทางที่จะไปถึงยังหมอกสีดำได้
เป็นที่ชัดเจนว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายนั้นห่างกันเพียงส่วนเดียว แต่ทว่าเพียงแค่ส่วนเดียวนี้ ฝ่ามือสีทองนี้นกลับมิอาจที่จะเอื้อมได้ถึง

“ ตูม คลื่น คลื่น “

ประกายสายฟ้าส่งเสียงดังลั่นอย่างรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ จากนั้น ช่วงเวลาหลังจากนั้นที่ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชาเดือดฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่ก็ได้ประทับเข้าสู่หมอกควันสีดำทมิฬนั้น แล้วก็ได้ว่าด้านบนของฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่นั้น ก็ได้เริ่มที่จะเกิดรอยร้าวปรากฏออกมา จนท้ายที่สุด รอยร้าวเหล่านี้ก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่นี้ จากนั้นฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่ก็ได้กลายเป็นเพียงประกายแสงในทันที หายไปภายใต้ระหว่างผืนฟ้าผืนดิน

“ ดูเหมือนว่า วาสนาสายหนึ่งในครั้งนี้นั้น นอกเสียจากว่าจะเป็นสิ่งของที่ยากจะคาดเดาได้แล้วสินะ “ ซูเหล่าจัองเขม็งไปทางด้านท้องฟ้าที่เกิดความเคลื่อนไหวไปมาที่ฉากเบื้องหน้า ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา

“ หมายความว่าอะไรกัน ? “ เยี่ยจงก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ภายในสมรภูมิฮวงกู่แห่งนี้ถึงกับมีกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ที่ทำให้พลังฝีมือของผู้คนกลับมาอยู่ในขั้นก่อเกิดทั้งเก้าขั้น ในข้อนี้แต่ละฝ่ายต่างก็ทราบกันดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังมีคนที่ต้องการจะทดสอบอยู่ดี

“ นั้นมันแม้แต่ปีศาจขนาดใหญ่ไร้ที่เปรียบก็ยังอดไว้ไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าจะถูกกฎเกณฑ์ประหลาดของสมรภูมิฮวงกู่นี้จำกัดพลังเอาไว้ด้วย เพื่อที่จะช่วงชิงหนึ่งหนแห่งวาสนานี้เอาไว้ได้ง่ายขึ้น ทว่าถ้าหากมองในลักษณะนี้แล้วละก็ ในเมื่อมันพ่ายแพ้ไปแล้ว เพียงแต่ว่า ก็เป็นเพียงแค่การพ่ายแพ้เท่านั้น “ ซูเหล่าใช้เสียงที่เบาบางที่มีเพียงเยี่ยจงและพวกทั้งห้าคนเท่านั้นที่ได้ยินกล่าวอธิบาย

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงและพวกต่างก็กรอกตาไปมา ที่แท้วาสนาเช่นนี้ ถึงกับทำให้เหล่าปีศาจไร้ที่เปรียบอดทนเอาไว้ไม่อยู่ คิดที่จะฝืนใจลงมืออย่างแข็งขืน

“ เพียงแต่ว่าเป็นเพียงการทดสอบแบบหนึ่งเท่านั้น ความน่าหวาดกลัวของพลังปีศาจใหญ่ไร้ขอบเขตนั้นคงจะมิอาจที่จะปรากฏขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ว่าตัวของมันเองก็ยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่เข้าร่วมยังสมรภูมิฮวงกู่นี้เช่นเดียวกัน “ ซูเหล่าถอนหายใจ แม้แต่การมีอยู่ความความน่าหวาดกลัวเช่นนี้ก็อดไม่ได้คิดที่จะลงมือด้วยตนเองเช่นเดียวกัน การเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้คงจะยากที่จะคาดเดาเอาไว้ได้แล้ว

“ ลองดูให้ดีก็แล้วกัน นี้ถือเป็นทิวทัศน์ที่ร้อยปีจะพบเจอได้สักครา “ หลังจากนั้น ซูเหล่าก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง จ้องมองไปยังท่ามกลางท้องฟ้าแล้วกล่าวออกมา

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงและพวกก็ได้จ่องมองไปยังท้องฟ้าที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ หรี่ตามองดู

ในตอนนี้ บนท้องฟ้าที่ความจริงปกคลุมไปด้วยประกายอัสนีบาตรก็ได้สูญหายไป หลงเหลือไว้แต่เพียงหมอกควันสีดำทมิฬที่ค่อยๆหมุนวนไปมา ราวกับว่าการหมุนวนนี้ หมอกดำทมิฬก็ยังคงปกคลุมไปทั้งชั้นฟ้าทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านจนมิอาจที่จะออกจากกันได้ จนท้ายที่สุด ก็ลามไปทั่วจนสุดลูกหูลกตา ต่างก็กลายเป็นผืนฟ้าสีดำทมิฬแผ่นหนึ่ง ราวกับว่าทันใดนั้นเอง ก็ได้กลายเป็นยามพลบค่ำก็มิปาน

ประกายแสงสีทองได้สว่างขึ้นมา ทันใดนั้นเมฆหมอกสีดำก่อตัวรวมกันอยู่ภายในจุดศูนย์กลาง ราวกับแม่น้ำสีเงินที่เด่นเป็นสง่าก็มิปาน แล้วก็ได้ตกทอดลงสู่พื้นดินด้านล่างในเวลาต่อมา

“ โครม “

บริเวณใจกลางของเมืองฮวงกู่ ก็ราวกับได้มีตึกอารามใหม่เอี่ยมตั้งขึ้นมาในตอนนี้ทันทีทันใดนั้นเอง ยอดฝีมือที่ในตอนนี้ได้อยู่บริเวณตึกรามบ้านช่องใกล้เคียงแต่ละคนต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที จากนั้นในขณะที่คิดจะขยับกายถอยหนี แต่ว่ากลับมีพลังประหลาดเหนี่ยวรั้งเอาไว้ จนทำให้ร่างกายของพวกเขาต้องสั่นเทาไปมาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่จะส่งเสียงร้องก็มาก็ยังมิอาจกระทำได้ จากนั้นก็ได้กลับกลายเป็นโลหิตสายหนึ่ง

และพวกเขาก็ได้กลายเป็นฝุ่นผงที่ไม่เหลือแม้แต่ซาก อีกทั้งยังได้เข้าสู่ตึกอารามนั้น

เสียงของแรงระเบิดขนาดใหญ่ได้ดังสนั่นไปทั่วทั้งเมืองฮวงกู่ จากนั้นก็พบเห็นตึกบริเวณนั้นได้หายสาบสูญไป หลงเหลือไว้แต่เศษซากสีดำเก่าแก่ขนาดใหญ่ ที่ค่อยๆปรากฏเป็นแท่นบูชาขึ้นมา
แล้วก็ได้ปรากฏแท่นบูชาเก่าแก่มีความสูงราวสามจัง ทั่วทั้งเมืองฮวงกู่นั้นเริ่มที่จะเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ว่าก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดูเก่าแก่ชนิดหนึ่งที่ยากจะอธิบายออกมาได้ชนิดหนึ่ง
แสงสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่ได้ถูกดึงเข้าไปสู่แท่นบูชานั้น หลังจากนั้นเอง ในตอนนี้ก็ได้มีเสียงดังประหลาดขึ้นมาไปทั่วทั้งผืนฟ้า

“ ซวบ “

ทันใดนั้นร่างกายของซูเหล่าได้เปลี่ยนเป็นทอแสงสว่างขึ้นมา แล้วก็ได้เข้าครอบคลุมไปทั่วทั้งเยี่ยจงและพวก จากนั้นเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง กล่าว “ ตำนานที่เล่าขานกันมาของเมืองฮวงกู่ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง “

“ อา “

ระหว่างเสียงที่ซูเหล่าได้ดังลอดออกมา ทั่วทั้งท่ามกลางเมืองฮวงกู่ ทันใดนั้นก็ได้เกิดเสียงร้องอย่างตกใจขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้พบว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ยังมีพลังยุทธ์ไม่ถึงขั้นก่อฟ้ากว่าครึ่งภายในเมือง ในตอนนี้ร่างกายก็ได้ถูกพลังบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ ทันใดนั้นร่างกายก็ได้กลายเป็นประกายแสงสีดำอย่างรุนแรงแล้วก็ได้เข้าไปรวมตัวกันกับหมอกควันสีดำทมิฬนั้น

“ โพล๊ะ “

ราวกับลูกแตงโมที่ลงพื้นแล้วระเบิดแตกออกก็มิปาน ทันใดนั้นเลือดเนื้อก็ได้สาดกระเซ็น อีกทั้งยังมีกลิ่นของโลหิตสดๆลอยออกมา แล้วทันใดนั้นก็ได้มีปรากฏการณ์ที่ดูดซับพลังประกายแสงเหล่านี้เอาไว้ ราวกับว่าช่วงเวลาเพียงครู่เดียว ยอดฝีมือที่ได้คอยขัดขวางเหล่านั้น ต่างก็ไม่ทันแม้แต่จะร่ำร้องออกมาได้ทันควัน ก็ได้กลายเป็นก้อนโลหิตถูกดูดซับออกไปจนเหือดแห้ง

ก่อเกิดเสียงร้องโหยหวนในเมืองฮวงกู่ ทันในนั้นเอง อย่างน้อยๆก็ได้กลืนกินปราณของยอดฝีมือไปแล้วกว่าครึ่ง

ในตอนนี้ เหล่าผู้ที่ยังมีความสามารถต่างก็ยังอยู่กับที่ ไม่มียอดฝีมือรุ่นเยาว์คนใดที่ถูกขัดขวางมิให้เข้าไปแต่อย่างไร โดยส่วนมากแล้วคนเหล่านี้ต่างก็ถูกยอดฝีมือของตระกูลตนเองคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ แต่ก็ยังมีอยู่ส่วนน้อยที่เป็นเช่นนั้น ที่มิได้ถูกขัดขวางจากยอดฝีมือที่จะเข้าไปฝึกฝนแต่อย่างไร อีกทางด้านหนึ่งร่างกายของแต่ละคนก็ได้ทอแสงสว่างขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าราวกับมีสมบัติปราณคอยคุ้มครองร่าง จึงได้ทำให้พวกเขาสามารถรอดพ้นจากด่านนี้ไปได้

ทันใดนั้นเยี่ยจงและพวกเมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้าก็ต้องกรอกตาไปมา ขนลุกขนพอง หรือแม้แต่เยี่ยจงเองที่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ในตอนนี้ก็ยังปากสั่นไปมา เมืองฮวงกู่นี้ยังไม่ทันที่จะเปิดออกอย่างแท้จริง เหล่ายอดฝีมือที่มาจากหุบเขาลึกเหล่านี้ที่เตรียมการที่จะเขาไปก็ได้ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง เหลือไว้เพียงคราบเลือดบนพื้น ชื่อเสียงเรียงนามที่เคยมีมา ร่วมไปทั้งชื่อเสียงที่ยังไม่ทันได้รับ

“ อีกเดียวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต่างก็ต้องอยู่ข้างกายข้าผู้ชราเอาไว้ละ “ ซูเหล่าสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นแล้วก็ค่อยๆเอ่ยปากกล่าวขึ้นมา

เยี่ยจงและพวกถึงแม้ว่าจะไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทว่าในตอนนี้ต่างก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปใกล้ซูเหล่าอยู่หลายส่วน นั้นก็เพราะการเปลี่ยนแปลงที่มากจนเกินไปทางด้านหน้า เยี่ยจงและพวกต่างก็ทราบได้อย่างชัดแจ้งว่า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ ยอดอัจฉริยะ แต่ว่าพวกเขาในตอนนี้ก็ยังไม่เติบโตมากพอ เมื่อได้พบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ต่างก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความมั่นใจไปได้

และยอดฝีมือที่เป็นเหล่าผู้คุ้มกันของเหล่าผู้เยาว์เฉกเช่นซูเหล่า ในตอนนี้แต่ละคนก็ได้เปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเคร่งเครียดและขาวซีดอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นคงจะไม่จบลงเช่นนี้แน่

ในตอนนี้ ไอโลหิตเหล่านั้นต่างก็ได้ถูกดูดซึมไปนับไม่ถ้วน ก่อตัวรวมกันมากมายนับไม่ถ้วนสู่ท่ามกลางแท่นบูชาเก่าแก่ขนาดใหญ่นี้ ราวกับเป็นเหมือนรกเด็กขนาดใหญ่ก็มิปาน ขยับเต้นอย่างช้าๆ ภายใต้แสงประกายสีทองนี้ รกสีแดงก็ได้ทอประกายสีเลือดราวกับหัวใจของปีศาจที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

“ กึก “

รกปีศาจได้ขยับเต้นไปมา จากนั้นก็ได้พบเห็นว่าได้ก่อเกิดบางอย่างออกมาจากรกปีศาจที่เป็นก้อนสีแดงคล้ายหยกโลหิต จากนั้นก็ได้ลอยขึ้นไปท่ามกลางอากาศ ประจวบพอดีต่อจากแท่นบูชาที่สูงจากพื้นสามจัง
.
.
.
.

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset