ตอนที่ 213 ประเด็น
แท่นหินตรงใต้เท้า ไม่ทราบว่าได้ผ่านช่วงเวลาความเป็นอมตะนิรันดร์กาลภานใต้วันเดือนปีมามากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังยากที่จะทำลาย ต่อให้แม้แต่ขวานที่ตัดได้นับหมื่นสรรพสิ่งก็ใช่ว่าจะตัดได้
ใบหน้าของเสวี่ยซินในตอนนี้ได้แนบอยู่บนหิน วินาทีนั้นก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นใบหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นน่าเกียจขึ้นมา
เยี่ยจงเมื่อได้ลงมืออีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมไม่เกรงใจ ร่างกายของเขาได้ลงสู่พื้น ยื่นมือออกคว้าไปยังเท้าซ้ายของเสวี่ยซิน จากนั้นก็โยนออกไป ก็ได้นำร่างของเสวี่ยซินไหลออกไปตามพื้นอย่างมิอาจที่จะหยุดได้ นับตั้งแต่เริ่มไถล เสวี่ยซินก็ได้กู่ร้องด้วยเสียงอันเจ็บปวดดังลอดออกมา เมื่อถึงตอนท้าย แม้แต่เสียงร้องก็ได้ขาดหายไป หลงเหลือไว้แต่เพียงเลือดเนื้อที่ติดอยู่ตามซอกหินจนเกิดเสียง”กุกกุก”ขึ้นมา
ในเวลาต่อมา ไม่แม้แต่เพียงแค่เหยียนหยู่และพวกเท่านั้นที่อ้าปากตาค้าง แม้แต่เหล่าอัจฉริยะที่มาจากภายนอกที่อยู่ในที่ห่างไกลแต่ละคนก็อ้าปากจนเห็นลิ้นไก่ ถึงแม้จะกล่าวว่าในสถานที่แห่งนี้ ชีวิตคนนั้นมิได้มีค่าอันใด แต่เมื่อพบเจอกับการลงมืออันเผ็ดร้อนของเยี่ยจงแล้ว อีกทั้งยังน้อยครั้งที่จะได้พบเห็น จนทำให้ผู้ที่มองดูรู้สึกขนลุกขนพอง
“ ตูม “
ในการโยนครั้งสุดท้าย เสวี่ยซินมีแต่ผ่อนลมหายใจออกมาไร้หนทางสูดเข้า เยี่ยจงจ้องมองไปยังร่างกายของเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็เตรียมใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไป หมายจะจบชีวิตของเขา
“ ท่านเยี่ยจง ยังคงยั้งมือไว้ไมตรีเถอะ “ เหยียนหยูขมวดคิ้วขี้นมากระทันหัน กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
“ เป็นไร เจ้าจะออกหน้าให้เขางั้นหรือ ? “ เยี่ยจงตอบกลับแล้วมองไปยังเด็กหนุ่มผมทองเหยียนหยูคราหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ มิได้ “ เหยียนหยูทอแววเย็นเยียบ “ เพียงแต่ว่าเสวี่ยซินนั้นมาจากรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา รัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาและบ่วงมายาโลหิตเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเรื่องราวที่เขาทราบย่อมต้องมากกว่าพวกเรา ต่อให้ท่านเยี่ยจงต้องการที่จะสังหาร ก็ขอให้ข้าได้เค้นถามเรื่องราวก่อน แล้วค่อยสังหารก็ยังไม่สาย “
เยี่ยจงจ้องเขม็งไปยังเหยียนหยู ทันใดนั้นก็ได้หัวเราออกมาแล้วตอบ “ ในเมื่อพี่เหยียนหยูก็ได้เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นก็มอบเขาให้ท่านจัดการก็แล้วกัน จะฆ่าไม่ฆ่าก็แล้วแต่ท่าน ทว่าต่อให้ไม่ฆ่าทิ้ง ข้าคิดว่าต่อให้เขาอยู่ภายในบ่วงมายาโลหิตนี้ ก็ใช่ว่าจะสามารถมีประโยชน์อันใดได้ “
กล่าวจบ เยี่ยจงก็ได้ก้าวเท้าออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงพูดเพียงครึ่งคำและเสวี่ยซินที่ถูกโยนไปยังแทบเท้าเหยียนหยู
เหยียนหยูขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ทว่าเขาก็ได้ยกมือขึ้นคราวะไปทางด้านของเยี่ยจง หลังจากที่เขาได้คารวะแล้ว แล้วก็ได้หันกายถอนออกไปอย่างรวดเร็ว นำเอาโอสถปราณเพื่อรักษาช่วยชีวิตเสวี่ยซิน
เยี่ยจงจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าอย่างเย็นเยียบ แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากมาย
“ ต่อจากนี่เยี่ยจงตัดสินใจที่จะทำเช่นไร จะร่วมทางไปกับพวกเราด้วยหรือไม่ ? “ เด็กหนุ่มผมเงินไป่ยู่ก้าวขึ้นมาด้านหน้า เขาจ้องมองไปที่เยี่ยจง กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
เยี่ยจงส่ายหน้าอย่างรุนแรง ตอบ “ ยังคงไม่จะดีเสียกว่า ความจริงแล้วพวกเรานั้นมิได้มีความสัมพันธ์ในการร่วมมืออันใดนัก มิใช่หรือ ? “
เมื่อกล่าวไปแล้ว เขาก็ได้มองไปที่เหยียนหยูคราสหึ่ง กล่าวตอบเสียงดังกังวาน “ เหยียนหยูมีสิ่งใดจะชี้แนะ ขอโปรดรีบกระทำ ในครั้งนี้เพื่อเห็นแก่หน้าของท่าน ครั้งต่อไปเมื่อพบกันอีก เสวี่ยซินต้องตายสถานเดียว “
กล่าวจบ เยี่ยจงก็หันกายจากไป แล้วก็ได้มุ่งหน้าไปยังช่องที่อยู่บนก้อนหินเข้าไป
เหยียนหยูและพวกต่างก็มองตามไป หลังจากนั้น ก็ได้มีคนผู้หนึ่งโบกมือคราหนึ่ง จากนั้นก็ได้เข้าไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตหรือเหล่าผู้มีพรสวรรค์ที่ความจริงได้มองดูฉากเบื้องหน้านี้ ในตอนนี้สีหน้าของแต่ละคนก็ได้ทอแววประหลาดใจขึ้นมา หลังจากนั้นเอง ผู้คนเหล่านี้ในอนนี้ก็ราวกับว่าพึ่งได้สติกลับมาก็สิปาน แต่ละคนก็ได้เข้าไปยังทางเข้าอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ว่า ในตอนนี้ผู้คนเหล่านี้ต่างกันตัดสินใจที่จะรักษาระยะห่างจากเยี่ยจงเอาไว้ช่วงหนึ่งอย่างแน่นอน ในที่สุดเยี่ยจงก็ได้แสดงพลังการสู้รบออกมาให้พวกเขาได้เข้าใจ นอกเสียจากว่าจะอยู่ในช่วงเวลาคับขัน ไม่เช่นนั้นก็ยังคงอย่าได้ไปรบกวนเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นดีที่สุดแล้ว
ตลอดรายทางมานี้ ต่างก็มีสิ่งมีชีวิตหลายประเภทจำนวนมาก เดินเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ และในตอนนี้ก็มิได้ลงมือต่อกันแล้ว หากว่าต้องการที่จะลงมือจริงก็คงจะลงมือกันตั้งแต่แรกแล้ว ที่หลงเหลือไว้ก็มีแต่เพียงอดกลั่นเอาไว้ ในช่วงก่อนหน้าที่ยังมิได้เข้าสู่บ่วงมายาโลหิต คงจะไม่กระทำการวู่วามอันใดอย่างแน่นอน
ตลอดการเดินทางหุบเขาหินตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนมานี้ ก็ได้มาจนถึงสุดขอบของหุบเขาแล้ว เยี่ยจงได้ย่างกรายลงบนแผ่นหินชิ้นสุดท้าย จ้องมองไปยังบริเวณสถานที่เบื้องหน้า ด้วยดวงตาที่แปลกประหลาด
บริเวณนี้ สมควรที่จะเรียกได้เป็นเกาะน้อยที่อยู่บนสถานที่เรียกว่าบ่วงมายาโลหิตนี้ เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้เข้ามายังส่วนลึกของเกาะกลางทะเลก็ได้ปรากฏแสงสีนวลๆขึ้นมา แต่กลับไม่พบเจอกับสิ่งมีชีวิตใดๆ
อีกทั้งยังมียอดฝีมือไม่น้อยที่ได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่แรก ทว่าในตอนนี้ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างก็เป็นเหมือนเยี่ยจงก็มิปาน แต่ละคนต่างก็ยืนอยู่กับที่ จ้องมองไปทางด้านหน้าอย่างไม่ละสายตา
ความจริงแล้วทุกผู้คนต่างก็คิดไว้ว่า หลังจากที่ได้เข้ามายังภายในแล้วก็คงจะไม่พบกับตึกรามอันใด อย่างน้อยก็คงจะต้องมีศาลาริมน้ำบางอย่าง เพื่อที่จะให้ผู้คนต่างก็ได้ตักตวงผลประโยชน์ต่างๆ แต่ว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงแสงสว่างสีนวลสายหนึ่ง อย่าว่าแต่สมบัติเลย แม้แต่หินแม้แต่เพียงก้อนเดียวก็ยังมิอายที่จะสามารถหาได้พบ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างจากความคาดเดาของทุกผู้คนโดยทั้งสิ้น
เยี่ยจงขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปสักพักเขาจึงได้ค่อยนำยันต์ปราณออกมาหลายแผ่น แล้วก็ดีดออกไป วินาทีนั้นยันต์ปราณยังไม่ทันจะเข้าสู่ท่ามกลางอากาศ ทันใดนั้นก็ได้เกิดการสั่นไหวขึ้นท่ามกลางอากาศ ยันต์ปราณกลับไร้ซึ่งแรงลมคอยหนุนเสริม
“ สถานที่แห่งนี้ได้ถูกผู้คนจัดวางค่ายกลยันต์ปราณขนาดใหญ่เอาไว้แล้ว บ่วงมายาโลหิตที่แท้จริงนี้ คงจะไม่ง่ายดายอย่างที่คาดคิดเอาไว้แน่นอน “ เยี่ยจงเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา
มียอดฝีมืออยู่หลายคนที่อยู่ใกล้กับเขาต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่เห็นด้วย ในความข้อนี้ถือได้ว่ามีคนอยู่มากมายที่ได้คาดเดาเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดที่คิดจะพิสูจน์ความแน่ชัด
ไม่นานนัก คณะของเหยียนหยูก็ได้เข้ามายังบริเวณสถานที่แห่งนี้ ในขณะนั้นเพียงแค่อึดใจเดียวหลังจากนั้น ก็ได้พบกับหวินฉีเดินออกมา นางขยับมือทั้งสองช้าๆ ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่แค่ควบคุมเจดีย์ทลายค่ายกลเท่านั้น แต่กลับพบเห็นว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่สายหนึ่งท่ามกลางอากาศ และหลังจากนั้นก็ได้พบว่าค่ายกลขนาดใหญ่ได้ปรากฏอยู่บริเวณของเยอดเขา
“ ภายในนั้นที่แท้ก็มีค่ายกลยันต์ปราณอยู่ “
มีผู้คนแสดงความตื่นตกใจขึ้นมา เมื่อได้พบเห็นกับการปรากฏของค่ายกลยันต์ปราณโบราณนี้ปรากฏออกมา บริเวณใจกลางของค่ายกลยันต์ปราณ ทันใดนั้นเองก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวท่ามกลางอากาศขึ้น
“ ข้ารู้แล้ว เมื่อก่อนหน้านี้สำนักมายาโลหิตถือได้ว่าเป็นขุมกำลังใหญ่แห่งหนึ่งในดินแดนฮวงกู่ เป็นไปได้ยังไงที่จะสามารถค้นพบสาขาหลักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ อย่างมากสถานที่แห่งนี้ก็คงจะเป็นเพียงแค่มิติที่ยอดฝีมือสร้างขึ้นมา และบ่วงมายาโลหิตนี้แม้จริงแล้วก็คงจะอยู่ภายในเช่นเดียวกัน “ ได้มียอดฝีมือเอ่ยปากกล่าวขึ้นเสียงแผ่วเบา ถึฃแม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่ว่าสิ่งที่กล่าวออกมานั้นก็ถือได้ว่าเป็นเสียงของคนโดยส่วนมากเช่นเดียวกัน
“ กล่าวกันว่าท่านบรรพบุรุษของสำนักมายาโลหิตได้มีความสำเร็จในหลากหลายแขนง เช่นนั้นการเปิดของมิตินี้ก็ถือได้ว่าเป็นสนามของสาขาหลักก็ว่าได้ นับได้ว่าสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง “
ต่อมา ก็ได้มีสิ่งมีชีวิตทีเริ่มที่จะอดทนเอาไว้ไม่ไหวจนต้องเคลื่อนไหว ร่างกายของเขาก็ได้ทะลวงออกไป แล้วก็ได้ตรงไปจนถึงบริเวณใจกลางของค่ายกลยันต์ วินาทีนั้นเอง ก็ได้พบว่าค่ายกลยันต์ปราณเกิดการสั่นไหวไปมาเล็กน้อย มีร่างกายของคนหลายคนที่หายวับไป
เมื่อได้พบเห็นฉากเบื้องหน้า ทุกผู้คนต่างก็อดใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องลงมือ เยี่ยจงก็ได้เคลื่อนไหวขึ้นคราหนึ่ง ภายใต้สายตาที่ยากจะเชื่อของยอดฝีมือจำนวนมาก ก็ได้มุ่งหน้าเข้าไปยังเขตแดนของค่ายกลยันต์ปราณ
“ ซวบ “
ภายในอากาศได้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ร่างกายของผู้คนจำนวนมากต่างก็ได้ขยับเล็กน้อย แล้วก็ได้เข้าสู่ท่ามกลางอากาศ ในช่วงเวลาที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กลับเป็นการปรากฏตัวอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยแห่งหนึ่ง
เมื่อได้เหม่อมองไปยังเกาะเล็กเกาะน้อยนี้ เยี่ยจงก็ได้ตื่นตะลึง ชายหาดนี้เป็นเหมือนดั่งเกาะหลิงเต่าที่เขาได้ย่างกรายเข้าไปก่อนหน้านี้ก็มิปาน ทั่วทั้งบริเวณได้เต็มเปี่ยมไปด้วยตึกรามบ้านช่อง มีโอสถไม่น้อยที่ถือได้ว่าอยู่ในอายุอานามที่เก่าแก่เอาการ กระจัดกระจายตกอยู่ตามพื้นทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ยอดฝีมือมากมายต่างก็ตื่นตกใจ ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีคนอยากลุ่มหนึ่งเกิดร่ำร้องออกมาเป็นสาย ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ลงมือในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะแย่งชิงโอสถปราณเหล่านี้ และมีอีกส่วนหนึ่งที่ได้เข้าไปยังภายในตึกอาราม แล้วก็ได้เริ่มที่จะรื้อค้นตู้หีบจนกระจัดกระจาย เพื่อที่จะเสาะหาสมบัติ
เยื่ยจงถอนหายใจออกมาแรงๆคำหนึ่ง เขามิได้เกิดความบ้าคลั่งเหมือนดั่งเช่นคนเหล่านี้ นั้นก็เพราะเขาทราบว่า สถานที่แห่งนี้ย่อมต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
“ อา “
จนกระทั่ง หลังจากที่ผ่านไปแล้ว ก็ได้ก่อเกิดเสียงกรีดร้องอย่างตกใจออกมา เหล่าผู้คนที่ค่อยเก็บโอสถปราณตามทางยังดีอยู่หน่อย ที่มิได้รับผลกระทบมากนัก แต่ว่าเหล่ายอดฝีมือที่ได้เข้ามายังท่ามกลางตึกอารามต่างก็ถูกปิดตาย มีอยู่ไม่น้อยที่ถูกสังหารอยู่ภายใน ส่วนพวกที่พอจะยังถอยหนีจากมาได้นั้น หลังจากที่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่ละคนต่างก็ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า การปิดกั้นภายในท่ามกลางตึกอารามเหล่านี้ถือได้ว่าน่าตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เยี่ยจงกวาดสายตามองไปยังพวกเขาอย่างเยือกเย็น แล้วก็ได้เดินทางไปจนถึงอีกบริเวณมุมหนึ่งของเกาะ เหม่อมองไปยังทั่วทั้งสี่ทิศออกไป
เมื่อพบว่าบริเวณในที่แห่งนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่มีเกาะอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งบนเกาะเหล่านี้ยังได้จัดตั้งตึกอารามและโอสถปราณ และเหล่ายอดฝีมือที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ต่างก็ถูกส่งกระจัดกระจายอยู่ตามเกาะเหล่านี้
เมื่อได้เหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็ได้ขมวดคิ้วไปมา นอกเสียจากว่า สิ่งมีชีวิตท่ามกลางทะเลมายาโลหิตเหล่านี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็มิปาน ? หากว่าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องกลายเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนตกใจได้เลยทีเดียว
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ เยี่ยจงก็ได้ตัดสินใจที่จะเก็บความงำโลภเอาไว้ และไม่แตะต้องสิ่งของใดก็ตามที่อยู่ภายในเกาะน้อยเหล่านี้ เกาะน้อยเหล่านี้และภายนอกของเกาะหลิงเต่าเกรงว่าจะมีความสัมพันธ์ในแบบเดียวกันแล้วละก็ เช่นนั้นก็แปลกเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังง่ายต่อการจับต้อง
หลังจากที่ครุ่นคิด เยี่ยจงใช้สายตากวาดหาไปยังบนผิวของทะเล ในครั้งนี้มิต้องใช้เวลานานนัก เขาก็ได้ค้นพบบ่วงมายาโลหิตแท้จริงแล้ว
ที่ตรงนั้นเป็นจุดที่มีกลุ่มหินโสโครกสีเลือด บนหินโสโครกนั้นเอง ก็ได้จัดตั้งไว้ด้วยอารามขนาดใหญ่สีโลหิตแห่งหนึ่ง ทั่วทั้งตึกอารามดูเก่าแก่ไร้ที่เปรียบ ราวกับเบิกฟ้าสะท้อนดินเข้ามายังที่แห่งนี้ก็มิปาน ราวกับว่าได้ถูกแกะสลักหินขนาดใหญ่ทั้งชิ้นจนคล้ายกับวีรบุรุษก็มิปาน ทำให้ผู้คนที่มองเข้าไปแล้วสัมผัสได้รู้สึกถึงความเกินจริงกว่าที่คาดคิดเอาไว้ชนิดหนึ่ง
ตามความเป็นจริง ในตอนนี้ก็มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยที่ได้เข้ามายังที่แห่งนี้ต่างก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา พวกเขาต่างก็ข้ามผ่านทะเลสายนี้มา มุ่งหน้าพุ่งเข้ามายังบริเวณทางด้านหน้าเข้าไป คิดความแรกก็คือคิดที่จะเข้าไปยังตึกขนาดใหญ่สีเลือดแห่งนี้
น่าเสียดาย ในครั้งที่เข้ามายังหินโสโครกสายนี้นั้นง่ายดาย แต่ว่าเมื่อต้องเข้ามาไปยังตึกขนาดใหญ่กลับยากยิ่งกว่า ยังมีโลหิตชนิดหนึ่งที่ได้แผ่กระจายออกมาไม่หยุด เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้ได้เข้าไปยังภายใน ในเวลาเดียวกัน ยอดฝีมือไม่น้อยจากทั่วทั้งสี่ทิศต่างก็ได้ลงมือ ฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสิ่งนี้เป็นของตนเอง ทว่าก็ได้มีศพคนตายอยู่ทุกหนทุกแห่งในที่แห่งนี้อยู่แล้ว ดูแล้วน่าอนาจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าทันทีที่ได้เข้ามายังแท่นหินแห่งนี้ก็ได้เกิดฉากซ้อนทับจากก่อนหน้านี้อีกครั้งก็มิปาน
“ ตรงนี้มีเรือน้อยลำหนึ่ง ไปเร็ว “
ทันใดนั้น ก็ได้มีคนตะโกนเรียกเสียงเบาๆออกมา “
เยี่ยจงจ้องมองไปเป็นทาง แล้วก็ได้หยุดลงซ่อนตัวอยู่ตรงบริเวณอ่าวของเกาะน้อยแห่งหนึ่ง ทว่าเขากลับมิได้เข้าไปเพื่อแย่งชิงเรือน้อยเหล่านี้ และหลังจากที่ครุ่นคิดไปแล้ว ก็ได้เขย่าชิ้นส่วนมายาเบาๆ วินาทีนั้นก็ได้พบกับเงาร่างขององค์หญิงหกและพรรคพวกปรากฏขึ้นมายังสถานที่แห่งนี้
“ ที่นี้คือ ? “ องค์หญิงหกตัวสั่นเทา ใบหน้าน้อยๆได้ปรากฏความสงสัยขึ้น พวเขาได้ถูกเยี่ยจงกักเก็บไว้เป็นเวลานานจนเกินไป จึงมิทราบว่าที่แท้ที่แห่งนี้ได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ บริเวณสถานที่แห่งนี้สมควรที่จะเรียกว่าเป็นส่วนลึกของสำนักมายาโลหิต ทว่า อาคารเหล่านี้เข้าไปได้ง่ายดายอย่างยิ่ง นอกเสียจากว่าจะหลุดพ้นจากข้อห้ามเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้หวังจะเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ต่อจากนี้ข้าต้องไปแย่งชิงตำนานของสำนักมายาโลหิต พวกเจ้าดูแลตัวเองก็แล้วกัน “ กล่าวถึงตรงนี้ หลังจากที่เยี่ยจงเกิดความลังเล ก็ได้เอ่ยกล่าวต่อ “ พวกเจ้าหากว่าต้องการที่เข้าแย่งชิง ข้าก็จะไม่ขัดขวาง เพียงแต่ว่า ในครั้งนี้แม้แต่ข้าเองก็ใช่ว่าจะสามารถปกป้องตัวเองได้ ดังนั้น พวกเจ้าจัดการกันเอาเองก็แล้วกัน “
.
.
.
.