ตอนที่ 225 การปะทะกันอีกครั้งของยอดอัจฉริยะ
“ ยังดีที่ยังเอามาได้ ตอนนี้มาเริ่มกัน เขาต้องทราบดีอยู่แล้ว คิดที่จะให้เขาตกหลุมพรางอีก คงจะยากเสียยิ่งกว่ายากแล้ว “ น้ำเสียงอันเบาบางของโหยวเหลียน ก็นำพาไปด้วยความสุขอยู่หลายส่วน
“ แต่ก็ไม่ทราบอยู่ดีว่า ในครั้งนี้พวกเราได้รับสิ่งใดมาบ้าง ที่แท้คุ้มค่าหรือไม่กัน “ เยี่ยจงจ้องมองไปยังแผ่นหยกในมือของโหยวเหลียน กล่าวถามออกมาเสียงแผ่วเบา
“ โถ่ เจ้าก็ลองดูก่อนสิ ยังดีเสียกว่าทำเหมือนกับข้าหลอกเจ้า “โหยวเหลียนส่งแผ่นหยกให้แก่เยี่ยจง
เยี่ยจงส่ายศีรษะไปมา จากนั้นก็ได้แต่พกความกลัดกลุ้มมองไปยังแผ่นหยก หลังจากนั้น ร่างกายของเขาก็ได้สั่นเทาขึ้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? ที่แท้ความลับของบ่วงมายาโลหิตก็คือสิ่งนี้งั้นหรือ ?
เมื่อพบเห็นสีหน้าแปลกใจของเยี่ยจง โหยวเหลียนก็รับแผ่นหยกกลับมาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น สีหน้าของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
“ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เพียงแต่ว่า เนตรปราณฟ้าขององค์ชายสิบสามผู้นี้ราวกับธรรมดายิ่ง ดูแล้วเป็นเหมือนสิ่งที่วิเศษ พวกเราก็ยังมิได้มีการเตรียมการ เป็นไปได้ว่าเมื่อตอนที่ไปถึงบ่วงมายาโลหิตแล้ว คงจะสามารถตั้งเป้าหมายในแนวทางของเรื่องในครั้งนี้ได้ “ โหยวเหลียนตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ หากว่าเรื่องนั้นเป็นจริงแล้ว เช่นนั้นตำนานของบ่วงมายาโลหิต เกรงว่าคงจะยากเกินความคาดหมายเล็กน้อยจริงๆแล้ว “ เยี่ยจงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก็ได้ตอบกลับไปช้าๆ
“ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็ต้องรีบกันแล้วละ เหล่าคู่ต่อสู้พวกนั้น สามารถที่จะจัดการก็รีบจัดการเสียแต่เนิ่นๆจะดีกว่า เพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อมในวันข้างหน้า “ นัยน์ตาของโหยวเหลียนสายเป็นประกายสีทมิฬออกมา ถ้าเป็นไปตามแผนการที่นางวางเอาไว้ ยอดฝีมือทั้งหมดที่เป็นปรปักษ์ในสถานที่แห่งนี้ในตอนนี้ ถ้าสามารถจัดการได้ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงจัดการก่อนส่วนหนึ่งจะดีกว่า
เยี่ยจงพยักหน้าอย่างเงียบงัน ร่างกายของทั้งสองคนก็ได้เคลื่อนไหวไปยังท่ามกลางมหาสมุทร มุ่งหน้าออกไปรอบด้าน
ช่วงเวลาต่อจากนี้เป็นต้นไป ทั้งสองคนก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะจัดการกับเหล่าผู้เยาว์ผู้มีพรสวรรค์ไปไม่น้อย มิใช่ทุบตีจนตายก็คงต้องพิการ จนทำให้พวกเขาต้องสูญเสียพลังในการแย่งชิงลงไปอีกไม่น้อย มิอาจที่จะไม่ถอยไปได้
ทว่า เมื่อผ่านเลยช่วงเวลานี้ไปได้ เยี่ยจงก็เริ่มที่จะรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ถูกโหยวเหลียนหลอกเข้าเสียแล้ว นั้นก็เพราะว่าผู้คนมากมายไม่ทราบถึงสถานะของเขา แต่ว่าตนเองเยี่ยจงสองคำนี้กลับเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย ทว่าเยี่ยจงก็มิได้ใส่ใจมากนัก การที่ถูกเหล่าผู้อ่อนแอจดจำ แทบจะไม่ส่งผลหรือแรงกดดันใดๆแก่เขาได้เลย
ช่วงเวลาสามเดือนเพียงสั้นๆก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในสามเดือนมานี้ ยอดฝีมืออย่างน้อยเกือบครึ่งก็ได้ถูกเยี่ยจงต้อนจนถอยหนีจากไป มิอาจที่จะไม่หลบหนีจากท้องทะเลสายนี้ได้ แต่ว่าก็ยังมียอดฝีมืออื่นๆเข้ามาอีก และยอดฝีมือเหล่านี้ก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
เรื่องราวเหตุการณ์เช่นนี้ก็ใช่ว่าใช้เพียงแค่เยี่ยจงและโหยวเหลียนก็ควบคุมเอาไว้ได้ หลังจากนั้นจนท้ายที่สุด ทั้งสองคนก็ได้ยื่นแขนออกมาบิดขี้เกียจ นั้นก็เพราะว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อได้เผชิญหน้าความรู้สึกที่ต้องแบกรับตำนานของสำนักมายาโลหิต ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่พี่งพาฝีมือเพียงสองคนเพื่อต้านทานยอดฝีมือเหล่านี้ได้ แค่เพียงคิดก็ทราบได้ว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ เกรงว่า ความร่วมมือของเจ้าข้าคงจะต้องสิ้นสุดในตอนนี้แล้วละ ระยะเวลาใกล้เข้ามาถึงช่วงการเปิดออกของบ่วงมายาโลหิตแล้ว มีเวลาเพียงแค่สามวัน หากว่าองค์ชายสิบสามเมื่อวันก่อนบอกกล่าวตามตรงถึงสิ่งที่พบเจอแล้วละก็ เช่นนั้นหลังจากที่ได้เข้าสู่บ่วงมายาโลหิต พวกเรามีความเป็นไปได้ที่จะต้องเป็นศัตรูกันแล้ว “ ในวันนี้ ร่างของโหยวเหลียนก็ได้ปรากฏอยู่บนผิวทะเล สีหน้าของนางเกิดความลังเลขึ้นหลายส่วน หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว ก็ได้กวาดตามองดูเยี่ยจงคราหนึ่ง
“ อย่างที่เจ้ากล่าวมา ในตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องจัดการเจ้าก่อนอย่างนั้นหรือ จัดการคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยากที่สุด “ เยี่ยจงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกล่าวออกมา
“ ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้นแล้วละก็ ก็ลงมือเถอะ “ สีหน้าของโหยวเหลียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวออกมาอย่างสบาย
“ มิได้ หากว่าเป็นอย่างที่กล่าวแล้วละก็ ข้าในตอนนี้ก็คงจะลงมือไปแล้ว “ เยี่ยจงถอนหายใจ ตอบกลับไปด้วยความสัตย์ เขากลับไม่มีความคิดที่จะลงมือต่อโหยวเหลียนเลย
โหยวเหลียนมองเยี่ยจงด้วยความมืดมน ถอนหายใจแล้วตอบ “ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็ทำไม่ลงเช่นเดียวกัน ในเมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาข้าและเจ้าก็คงต้องดูความสามารถของตนเองแล้วละ “
หลังจากที่ได้จ้องมองก็เช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนก็ได้หัวเราะให้แก่กัน การร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย ต่อจากนี้เป็นต้นไปคงจะถือได้เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจที่สุด แม้ว่า ไม่ว่าตำนานของบ่วงมายาโลหิตจะเป็นวาสนาเพียงสายเดียวหรือไม่ แน่นอนว่าตางก็มิอาจที่จะยินยอมมอบสิ่งของให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็ได้เพียงแต่ดูความสามารถของแต่ละฝ่ายแล้ว “
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชิญ “ โหยวเหลียนกล่าวได้เพียงครึ่งเดียวอย่างลังเล นางก็ได้โบกมือคราหนึ่ง ร่างกายสั่นไหวคราหนึ่ง แล้วก็ได้หายไปท่ามกลางผิวท้องทะเล
หลังจากที่เยี่ยจงจ้องเขม็งไปทางด้านที่นางหายตัวไป จึงได้เริ่มที่จะขยับร่างกาย ไปยังตึกใหญ่สีโลหิตที่เกาะร้าง ร่างกายก็ได้ยืนอยู่บริเวณบนโขดหินก้อนหนึ่ง ค่อยๆขมวดคิ้วจ้องมองไปทางด้านหน้า
ยังมีเวลาอีกสามวัน กว่าจะถึงวันที่บ่วงมายาโลหิตจะเปิดขึ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องถึงเวลานั้น ต่อให้เป็นตอนนี้ ทั่วทั้งสนามก็ได้เต็มไปด้วยมังพรพยัคคำรนอยู่หลายส่วน เกาะกลุ่มรวมกันอยู่
ทว่าเยี่ยจงกลับมิได้มีอาการใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก เขาเพียงแต่ยืนอยู่ในจุดสูง จ้องเขม็งอย่างเงียบๆไปทางบริเวณทางด้านหน้า
ทว่า ไม่นานนักผู้คนไม่น้อยก็ได้จ้องมองจนพบเจอร่างของเขา จนกระทั่วทั้งสนามไปรงนี้ ในตอนนี้เยี่ยจงถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ถูกหมายหัวที่สุดก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับองค์ชายสิบสามและหมิงหยี่แห่งหุบเขาหยินหยางก็ตามที ชื่อเสียงที่ได้กดดันผู้คนจนตาย แต่ว่าก็สามารถทำให้ผู้คนไม่น้อยเกิดความหวาดกลัวต่อเขา เห็นได้ชัดว่าทราบกันอยู่แล้ว ว่าเขาได้เคยลงมือกับยอดฝีมือลงไปไม่น้อยเลย
“ ที่แท้ก็เป็นเขา ได้ยินมาว่าตลอดเวลามานี้เขาได้ลงมือต่อยอดฝีมือมากมาย ไม่ทราบว่ามีผู้มีพรสวรรค์เท่าไหร่กันที่ถูกเขาไล่ต้อนจนต้องถอยกลับไป ดูเหมือนว่า พวกเราจะดูแคลนเขาเกินไปแล้ว “ กลุ่มผู้คนที่รวมตัวไว้ด้วยผู้มีพรสวรรค์ ที่แท้ก็คือชายหนุ่มผมทองหลิงเหยียนและพวกก่อนหน้านี้นี้เอง ในตอนนี้เขาได้จ้องมองไปที่เยี่ยจง ดวงตาทอประกายความหนักแน่น นั้นก็เพราะว่าในช่วงเวลาอันใกล้นี้ได้มีผู้มีพรสวรรค์ไม่น้อยที่ได้ถูกเขาจัดการไปไม่น้อย และภายในสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยจงก็ยังมิอาจหาญกล้าที่จะปรากฏตัวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างที่กระทำ ไม่ว่าจะคำพูด เขาก็แทบจะมองคนเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
“ พี่หลิงเหยียน คนผู้นี้ก็คือเยี่ยจงอย่างงั้นหรือ ? “ บริเวณข้างกายหลิงเกวียน ก็ได้มีกลุ่มคนที่สวมไว้ด้วยชุดโลหิตรวมตัวกันอยู่ แล้วก็ได้มีชายหนุ่มที่มีสภาพร่างกายอ้อนแอ่นเอยู่หลายส่วนดินออกมา ร่างกายของเขาได้แผ่รังสีกลิ่นคาวเลือดออกมาอย่างเข้มข้น จ้องเขม็งไปที่เยี่ยจงในตอนนี้ ภายในดวงตาก็ได้ทอประกายโลหิตแผ่กระจายออกมา
เห็นได้ชัดว่า คนผู้นี้แน่นอนว่าย่อมต้องมาจากรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา องค์ชายทั้งสองของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาต่างก็ถูกเยี่ยจงจัดการ บุคคลอื่นแน่นอนว่าย่อมมิอาจทำเป็นไม่เห็นความข้อนี้ได้ มิเช่นนี้คงต้องมีปัญหาถึงหน้าบ้านแน่
“ ก็คือคนผู้นี้ เพียงแต่ว่า เขาเมื่อเทียบกับเมื่อเจอกันก่อนหน้านี้ ดูแล้วจะยิ่งแข็งแกร่งกว่ามาก “ หลิงเหยียนเอ่ยปากห้ามปรามไว้ ภายในดวงตาได้สาดประกายความสงสัยขึ้น หากว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่มาจากรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาแล้วต้องการที่จะลงมือแล้วละก็ เขาแน่นอนว่าย่อมมิอาจที่จะดึงรั้งเอาไว้ได้
“ เป็นเจ้า เยี่ยจง “
อีกบริเวณทางด้านหนึ่ง องค์ชายสิบสามแห่งหุบเขาตระกูลถังก็ได้ยืนอยู่หัวเรือทองคำนี้ เขาจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง ภายในดวงตาได้แผ่กระจายรังสีการฆ่าฟันออกมาอย่างเข้มข้น จนทำให้บรรยากาศทั่วทั้งสี่ทิศเคว้งคว้างขึ้นมา
เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เยี่ยจงได้ทำเมื่อสามเดือนก่อน ดวงตาขององค์ชายสิบสามก็ได้ปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ
นอกเสียจากทั้งสองฝ่ายนี้แล้ว ก็ยังมีผู้คนไม่น้อยที่จ้องเขม็งไปทางด้านเยี่ยจง ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนไม่น้อยภายในดวงตาต่างก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาหลายส่วน ไม่คิดที่จะให้เยี่ยจงลงมือในตอนนี้ แต่ว่าก็มีกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ไม่น้อยอีกทางด้านหนึ่ง จ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง คิดเหมือนจะลองดีสักครา
“ ฝีมือของข้า ท่ามกลางพวกเจ้าไม่น้อยต่างก็ทราบว่า หากว่าผู้ใดคิดที่จะลงมือในช่วงเวลานี้ ขอเพียงยอมรับผลกระทบได้แล้วละก็ ก็ขอเชิญมาได้เลย “ เยี่ยจงกวาดสายตาจ้องมงไปยังท่ามกลางสนาม เอ่ยปากกล่าวเสียงดังกังวาน สถานที่แห่งนี้ได้ถูกจำกัดพลังขอบเขตเอาไว้ พลังซานกวานเทียนทงของเขาขอบเขตพสุธาในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ถือว่าไร้ผู้ต้าน แต่ว่าท่ามกลางสนามก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเขาได้ อย่าว่าแต่บุคคลอื่น ในตอนนี้ผู้คนทั้งหมดก็มิได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ายังต้องเข้าแย่งชิงตำนานของสำนักมายาโลหิตและวาสนาเพียงสายเดียว แน่นอนว่าย่อมมิอาจที่จะชักช้าได้
หลังจากที่สิ้นเสียง สายตาของเยี่ยจงก็ได้ทอดลงไปยังตึกใหญ่สีโลหิตทางด้านหน้าอีกครั้ง ราวกับว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“ เด็กน้อยผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ถึงแม้ว่าจะมิอาจเทียบเคียงได้กับองค์ชายสิบสามผู้นั้นเป็นต้นได้ แต่ว่าก็ยังถือได้ว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากว่าให้เขาเข้าสู่บ่วงมายาโลหิตได้ เกรงว่าพวกเราคงจะต้องสูญเสียโอกาสทั้งหมดเป็นแน่
“ หากว่าสามารถที่จะฆ่าสังหารเยี่ยจงในตอนนี้ได้ ข้าว่าโอกาสก็คงจะเพิ่มขึ้นมากโข “
“ เพียงแต่ว่า เรื่องนี้ถือว่าทำได้ยาก พลังฝีมือของเยี่ยจงผู้นี้ กล่าวกับว่าได้ย่างกรายเข้าสู่พลังขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงขอบเขตฟ้าไปแล้ว และตามกฏของสมรภูมิฮวงกู่ที่มีการกดดันขอบเขต นอกเสียจากว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้ที่ฝึกยุทธ์แนวทางสายเดียวกับเขา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หรือต่อให้เมื่ออยู่ดินแดนภายนอกต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตปราณหมุนรอบ ก็เป็นได้แค่ผักปลาจานหนึ่ง
“ นอกเสียว่า ภายในท่ามกลางสนามแห่งนี้ ผู้ที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ก็มีเพียงแค่หยิบมือเดียว “
ยอดฝีมือจำนวนมากกำลังวิพากษ์วิจารย์ แต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าที่จะทดลองลงมือต่อเขาในเวลาเช่นนี้ อีกทั้งเยี่ยจงยังถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับขั้นซานกวานเทียนทงขอบเขตฟ้าอย่างแท้จริง
“ เยี่ยจง เจ้าก็ได้รู้ถึงความลับของบ่วงมายาโหลินไปแล้ว มิใช่หรอกหรือ ? “ ทันใดนั้นองค์ชายสิบสามแห่งหุบเขาตระกูลถังก็ได้ก้าวออกมา จ้องมองไปยังบนร่างกายของเยี่ยจง กล่าวออกมาอย่างดุดัน อีกทั้งเสียงยังดังกึงก้องท่ามกลางสนามอีกด้วย
“ แน่นอนว่าย่อมต้องทราบความลับอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องขอบคุณองค์ชายสิบสามที่แบ่งปัน “ เยี่ยจงหันศีรษะกลับมา จ้องเขม็งไปยังองค์ชายสิบสาม ทราบดีว่าอีกฝ่ายจำต้องอดกลั่นถึงเพียงใด ในตอนนี้ก็เพียงแต่คิดจะหาข้ออ้างเท่านั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนเองก็ย่อมต้องสนองต่อเขา หรือว่าแท้จริงแล้วเขาจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวเขาให้ได้งั้นหรือ ?
“ บังอาจนัก “
องค์ชายสิบสามพยักหน้า และเขาก็ได้ใช้ง้าวไท่หยางกวาดออกไปจากทางด้านหลังไปด้านหน้า ประกายแสงสีทองกระจายราวกับห่าฝน พุ่งเข้าไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่เข้าไป วินาทีนั้นเอง ทั่วทั้งสนามก็ได้มีเสียงของการปะทะขึ้น จนยอดฝีมือของแต่ละขุมกำลังต้องกระจายกันออกไป
“ แข็งแกร่งขึ้นอีกงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงจ้องเขม็งไปยังฉากเบื้องหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น คาดว่าเป็นเหมือนดั่งยอดฝีมือที่แท้จริงอย่างองค์ชายสิบสาม ภายใต้การฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อนที่ผ่านมาของเขา ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้น หากว่าตนเองยังคงอยู่ต่อหน้าสายตาที่สาดเป็นประกายของผู้คนเหล่านี้ ไม่แน่ว่าต่อจากนี้ผู้ที่ต้องพลาดพลั้ง ก็คงจะหนีไปพ้นตนเอง
หลังจากที่ได้คิดคำนึง เยี่ยจงก็ได้หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วน หลังจากที่เขาหันกายไปคราหนึ่ง กระบี่คงหมิงก็ได้ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ แล้วก็ได้ใช้กำลังส่วนแขนกวาดไปเบาๆ ประกายแสงความน่ากลัวของคมกระบี่ก็ได้พุ่งออก มุ่งหน้าพุ่งตรงดิ่งออกไปอีกทางด้านหนึ่ง
“ โครม “
เสียงการปะทะดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว พลังการโจมตีอันน่าหวาดกลัวอย่างสุดขีดของทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะเข้าด้วยกัน วินาทีนั้นก็ได้คลุ้งกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า จนทำให้ยอดฝีมือไม่น้อยจากทั่วทั้งสี่ทิศต้องเปลี่ยนสีหน้า
การปะทะกันของยอดฝีมือระดับซานกวานเทียนทง ความแข็งแกร่งของร่างกายกล้ามเนื้อของแต่ละคนได้เกินกว่าที่ยอดฝีมือปกติธรรมดาจะคาดคิดเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตปราณหมุนรอบ เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ยังถือได้ว่าเป็นความยากที่พลังจะเทียบเคียงได้
ในตอนนี้ เด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ก็ได้ลงมือแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง
.
.
.
.