เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 240 ตราผนึกนภา

ตอนที่ 240 ตราผนึกนภา

 

วันเวลาได้ไหลผ่านเลยไป หลังจากที่ผ่านไปได้สามวัน ท้องทะเลที่รวมตัวไว้ด้วยยอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บนชายหาดก็ไม่พบเงาผู้คน หลงเหลือไว้แต่เพียงซากศพที่เต็มไปหมด อีกทั้งยังบ่งบอกได้ว่าหลายปีมานี้ของสมรภูมิฮวงกู่ที่ได้เปิดขึ้นมาหลายครั้ง ก็จะมียอดฝีมือรุ่นหลังมายังสถานที่แห่งนี้ คาดเดาได้ว่าก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้

 

บริเวณหัวมุมของชายหาดแห่งหนึ่ง เยี่ยจงก็ได้เงยหน้าจ้องเขม็งไปทางด้านประตูเหล็กอ่อน แล้วก็ยังมีประตูอีกสามบานที่จมอยู่ทางด้านล่าง ผ่านไปเนิ่นนานไม่ได้กล่าวอันใด ผืนทะเลสายนี้ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความลี้ลับ ต่อให้ตำนานของสำนักมายาโลหิตเปิดเผยออกมา คาดว่าก็เป็นเพียงความลี้ลับส่วนหนึ่งที่อยู่ภายในผืนทะเลสายนี้ เพียงแต่ว่า ความลับอื่นๆนั้น ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ตนเองมีความสามารถที่เพียงพอ แน่นอนว่าคงไม่อาจที่จะดำดิ่งลึกไปกว่านี้ อีกทั้ง สมรภูมิฮวงกู่กลับมีกฎเกณฑ์ประหลาดอยู่ นั้นก็คือเป็นเขตแดนจำกัดนั้นเอง

 

ความรู้สึกที่ขัดกันเช่นนี้ ยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เก้ากลับยังไม่อาจที่จะเปิดความลับนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมือที่หาทางที่จะเข้าไปยังไม่ได้เลย

 

เยี่ยจงจ้องมองไปยังประตูเหล็กอ่อนทั้งสามบานอยู่นาน จากนั้นเขาก็ได้ค่อยๆที่จะถอยไปจนถึงอีกทางด้านหนึ่งของชายหาด บริเวณที่เคยมีบ่วงมายาโลหิตอยู่ แต่ว่าในตอนนี้ทางเข้าได้จมลงสู่ใต้ทะเล แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น บรรยากาศในตอนนี้ก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินจำนวนมาก เหมาะแก่การฝึกปรือเป็นอย่างยิ่ง

 

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักนัก เยี่ยจงก็ได้ชักกระบี่คงหมิงออกมา ชี้ไปยังใต้ผืนทะเลที่มีถ้ำลี้ลับอยู่ออกไป เพื่อที่จะซ่อนตัวเอาไว้

 

หลังจากนั้นก็ได้นั่งสมาธิอยู่ด้านใน เยี่ยจงกลับมิได้รีบร้อนที่จะฝึกปรือ เพียงแต่นับม้วนคัมภีร์ที่ได้รับมาจากโหยวเหลียนออกมา ค่อยๆเปิดดู

 

“ ตูม “

 

ทันทีที่เปิดม้วนคัมภีร์โบราณออก ก็ได้มีบรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสายหนึ่ง แรงกดดันขนาดใหญ่ก็ได้กดทับไปยังรอบด้าน จนทำให้บนพื้นเกิดรอยแยกออกมาสายหนึ่ง และในเวลาเดียวกัน ร่างกายเยี่ยจงก็ได้สั่นเทาขึ้นมา กระดูกภายในร่างกายเริ่มที่จะเกรงขึ้นมา จนทำให้เลือดลมภายในร่างของเขาเดือดขึ้น

 

“ ที่แท้ก็เป็นของดี “

 

เมื่อได้มองไปฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็ได้สูดลมหายใจไปมา ใบหน้าปรากฏความยินดี เมื่อเวลาที่ได้นำวัตถุมาอยู่ในมือ เยี่ยจงก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุชิ้นนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อครู่ที่เปิดออกมา จากถึงกับมีความไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ จนทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตกใจ

 

ทันใดนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้นำเอาโอสถปราณขึ้นมาทานลงไป ไหลเวียนพลังกระบี่หกสุสานภายในร่าง จึงค่อยได้แข็งขืนฝืนใจกดดันแรงกดดันอันน่ากลัวนี้กลับไปได้ จากนั้นก็ได้คลีม้วนคัมภีร์โบราณออกมาได้ส่วนหนึ่ง

 

“ ชิร์ “

 

ประกายแสงคมกล้าสาดส่องออกมาอย่างสดใส ราวกับพระอาทิตย์ก็มิปาน จากนั้นก็ได้พบว่าท่ามกลางม้วนคัมภีร์ได้แผ่กระจายแสงสีทองล้อมรอบเอาไว้อยู่

 

ท่ามกลางดวงอาทิตย์ ราวกับว่าสามารถพบได้ในความแข็งแกร่งของปราณแท้ของยอดฝีมือ ภายในปราณแท้นี้ก็ได้มีตราสัญลักษณ์ประหลาดของทั้งสองมือยู่ มือหนึ่งชี้ไปที่ฟ้า มือหนึ่งชี้ไปที่พสุธา กลายเป็นแรงกดดันอันมหาศาลชนิดหนึ่ง ทำให้ฟ้าดินราวกับเกิดรอยแยกออกมาได้

 

“ นี้ไม่น่าจะเป็นทักษะยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะเป็นทักษะยุทธ์เซียนระดับสูงในตำนานก็ว่าได้ ไม่ น่าจะอยู่ในขั้นเสมือนมนต์ตราเทพแล้ว “

 

มนต์ตราเทพ เป็นระดับทักษะยุทธ์ที่อยู่สูงขึ้นจากทักษะระดับเซียน ลี้ลับไร้ที่เปรียบ น่ากลัวสุดเปรียบปาน เป็นระดับที่อยู่ในจุดที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับตำนาน เยี่ยจงคิดไม่ถึงว่า โหยวเหลียนผู้นั้นถึงกับใจกว้างถึงขั้นนี้ ควรทราบว่า เมื่อได้ใช้มนต์ตราเช่นนี้ออกไป แน่นอนว่าสามารถสั่นสะเทือนไปทั้งรัฐโบราณทั้งได้เลย

 

“ อาจจะ เป็นเพราะว่าทักษะยุทธ์นี้มีพลังหยางอยู่มากจนเกินไป ดังนั้นโหยวเหลียนจึงไม่เคยที่เปิดออกมา นางจึงไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของทักษะยุทธ์นี้ แต่ก็ถือว่าข้าได้กำไรสินะ ? “ เยี่ยจงครุ่นคิด ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้เก็บความคิดนี้เอาไว้ภายในใจ ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร เมื่อได้ทักษะยุทธ์มาแล้ว การเดินทางสู่ทะเลมายาโลหิตในครั้งนี้ของตนเอง ก็ถือได้ว่ามีความสามารถเพียงพอแล้ว

 

“ เพียงแต่ว่า เหตุใดไม่มีวิธีการฝึกปรือกัน ? “

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงก็ได้คุ้นเคยกับแรงกดดันที่ทักษะยุทธ์เทพอันน่ากลัวนี้จนได้ จากนั้นเขาก็ได้หรี่ตามอง จ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์สีเหลืองทองนั้น ภายในดวงตาได้ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมา

 

หลังจากนั้น เยี่ยจงก็ได้ขยับทั้งสองมือในเวลาเดียวกัน แล้วก็ได้เคลื่อนไหวพลังปราณแท้ที่มีอยู่ มือหนึ่งชี้ไปบนฟ้า อีกมือชี้ลงพสุธา

 

“ บรึม “ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในทันทีที่เยี่ยจงได้รวมพลังจากสัญลักษณ์เอาไว้ ทันใดนั้นเอง พลังปราณแท้อันน่ากลัวก็ได้กลายเป็นตัวอักขระขึ้น ทันใดนั้นก็ได้เกิดรอยแยกขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางอากาศถูกตัดออกจนเปลี่ยนสภาพ จากนั้นก็ได้รวมกลับเข้ามา และในครั้งนี้ ประกายสีทองนี้ก็เพียงแต่กลายเป็นสีขาวดำทั้งหมดสองสี จากนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมาท่ามกลางอากาศอย่างน่ากลัว ดัชนีตราประทับนี้สั่นไหวไปมา ราวกับใช้นิ้วขีดเขียนดั่งปากกา และหลังจากที่มือหนึ่งชี้ไปบนฟ้า มือหนึ่งชี้ไปที่พสุธา จนเกิดพลังอันน่ากลัวขึ้น

 

และในตราสัญลักษณ์มือนี้ กลับเหมือนกับมีชีวิตขึ้นก็มิปาน เหมือนความภาคภูมิจากโบราณกาล ผนึกสวรรค์พสุธา จนมีพลังจนถึงขั้นนี้

 

“ นี้มัน ……. ตราผนึกนภา ? “

 

และในเวลาเดียวกัน เสียงโบราณชนิดหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาท่ามกลางห้วงสมองของเยี่ยจง จนทำให้เขาทราบถึงนามนี้

 

“ ตราผนึกนภา ตราผนึกนภา ? หรือว่า นี้จะเป็นสถานที่ภายในซานเชียนเซินเจี่ย กล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในสิบมนต์ตราโบราณกัน ? “

 

เยี่ยจงตื่นตกใจ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะเชื่อได้ หากว่าเป็นกระบวนท่ามนต์ตราเทพที่เป็นดั่งตำนานในดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยนั้นจริงแล้วละก็ ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะไม่อาจที่จะตกมาอยู่ในมือของตนเองเช่นนี้ได้

 

“ โหยวเหลียนนั้น ที่แท้มีที่มาอย่างไรกัน เหตุใดถึงสามารถใช้ออกด้วยมนต์ตราเช่นนี้ ? หากว่าเป็นมนต์ตราของจริง …….. ความลับในความพูดของนางทั้งหมด นั้นเป็นสถานที่ใดกันแน่ ? “

 

ทันใดนั้นบนศีรษะของเยี่ยจงก็มีเหงื่อเย็นชุ่ม หากว่าตราผนึกนภาเป็นหนึ่งในสิบมนต์ตราเทพโบราณจริงแล้วละก็ เช่นนั้นขอเพียงมีคนจดจำมนต์ตราเทพนี้ได้ เกรงว่าตนเองคงจะพบเจอกับเรื่องยุ่งยากไม่น้อย

 

ตามที่เยี่ยจงทราบ ดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยเหล่านั้นที่ขึ้นสู่ระดับตำนานได้นั้น สิบมนต์ตราเทพโบราณถือได้ว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง มีผู้คนไม่น้อยคอยเสาะหา แต่ว่าหากว่าสิบสุดยอดมนต์ตราเทพโบราณปรากฏขึ้นมาแล้วละก็ แน่นอนว่าย่อมต้องดึงดูดคลื่นมรสุมรอบด้านอย่างแน่นอน

 

“ คว้างซ่าซ่า “

 

จากนั้น ยังไม่ทันรั้งรอให้เยี่ยจงตกใจเสร็จ ท่ามกลางอากาศก็ได้มีตราผนึกขนาดเท่าฝ้ามือปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศอย่างกะทันหันอีกทั้งยังเป็นการรวมตัวของอักขระขาวดำทับซ้อนกัน ทันใดนั้นก็ได้มุ่งหน้าไปยังทางด้านของเยี่ยจง จนปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของเขา

 

ในช่วงเวลานั้นขณะนั้น เยี่ยจงก็ได้อยู่ในอาการตกตะลึง เส้นทางใหญ่นั้นง่ายดาย ต่อเติมจนเป็นนภา จากส่วนหนึ่งที่มีคุณค่า ที่เกิดมาจากการรวมตัวกันของอักษรศาสตร์ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นนับพันหมื่นชนิด แต่ว่าในทุกการเปลี่ยนแปลงก็ยังมีพลังที่เพิ่มมากขึ้น ทันใดนั้นเอง เยี่ยจงก็รู้สึกปวดศีรษะแทบจะแยกออกมา สมองเกือบที่จะระเบิดออก

 

ในขณะนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้เข้าใจ การคาดเดาของตนเองถือได้ว่าไม่ผิด สิ่งที่ตนเองได้รับมาในตอนนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบมนต์ตราในตำนานที่เรียกขานกันว่าตราผนึกนภา อีกทั้ง น่าจะเป็นวาสนาสายหนึ่งภายในสมรภูมิฮวงกู่นี้ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นตราผนึกนภานี้

 

นั้นก็เพราะหากว่ามียอดฝีมือได้รับตราผนึกไป ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย สุริยะจันทราแตกสลาย ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้แม้แต่น้อย

 

แต่ว่า ในตอนนี้ก็ได้เข้าใจอยู่เล็กน้อย เยี่ยจงไม่ได้มีเวลาที่จะคิดเรื่องของอนาคตไปได้ไกลมากนัก การเปลี่ยนแปลงมีอยู่มากมาย ก่อเกิดอักขระมากมายนับไม่ถ้วน จนทำให้ห้วงสมองของเขาแทบจะระเบิดออกมา ในช่วงที่กำลังหายใจ เขาก็ได้ยอมรับถึงความหมายเหล่านี้ หากว่าไม่อาจที่จะจัดการ คงไร้หนทางที่จะควบคุม เช่นนี้เกรงว่าการที่เขาก้าวมายังหนทางสายนี้ ก็ไม่ต่างอันใดจากตายทั้งเป็น

 

นี้ก็คือวาสนาเพียงสายเดียว ในเวลาเดียวกันก็เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ หากว่าไม่อาจสามารถควบคุมตราผนึกได้แล้ว สถานการณ์ต่อไปคงยากที่จะกล้ำกลืนเอาไว้ได้

 

“ ซวบ “

 

ในช่วงการตัดสินใจนั้นเอง โอสถปราณ ยาปราณทั้งหมด ที่ได้เก็บมาจากบ่วงมายาโลหิตร่วมไปทั้งธารน้ำปราณฟ้าดินต่างก็ได้ถูกเยี่ยจงใช้ออกมามากมายนับไม่ถ้วน นั้นก็เพราะว่าในตอนนี้ถ้าหากเขาต้องการที่จะควบคุมตราผนึกฟ้าที่เป็นถึงหนึ่งในสิบมนต์ตราโบราณแล้วละก็ ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ โอกาสที่สำเร็จนั้นเรียกได้ว่าน้อยมาก ดังนั้นในช่วงเวลานี้ตนเองจึงจำเป็นที่จะต้องเติมเต็มกายเนื้อของตนให้อยู่ในสภาพที่เต็มเปี่ยมอยู่ตลอด เช่นนี้จึงจะสามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนของตราผนึกนภาออกมาได้ จากนั้นก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของแต่ละชนิดไปเรื่อยๆ

 

ม้วนคัมภีร์โบราณนี้ ก็ได้มีตัวอักขระมากมายลอยออกมาไม่หยุดยั้ง จนกลายเป็นคล้ายดั่งห่าฝน พึ่งออกไปครอบคลุมทางด้านที่เยี่ยจงอยู่ จนแทบจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเขาทั้งคน และท่ามกลางฉากที่เหมือนดั่งประกายฝนนี้ ราวกับว่าเป็นดั่งการเพิ่มพูนระดับยุทธ์ที่เยี่ยจงหมายมั่นเอาไว้

 

ท่ามกลางประกายฝนนี้ก็ได้อัดแน่นไปด้วยความลี้ลับอันมากมาย กล่าวได้ว่าเป็นดั่งความลับของฟ้าก็ได้ ในช่วงเวลานั้น ก็ได้ก่อเกิดรูปร่างของชั้นดาวภายในประกายฝน อาจจะเรียกสิ่งนี้ว่า เป็นเหมือนดั่งวิธีการเพื่อทำการเติมเต็มให้แก่เบิกฟ้ากระจ่างพสุธาในช่วงเวลาอันสั่นๆภายในถ้ำแห่งนี้ก็มิปาน นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถที่จะทำให้ผู้คนมากมายตื่นตกใจเมื่อพบเห็นได้ หากว่ามิใช่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นส่วนลึกของบ่วงมายาโลหิต ร่วมไปทั้งการมีอยู่ของกลุ่มปราณแท้ภายใต้ทะลมายาโลหิตอันไร้ที่เปรียบเช่นนี้แล้วละก็ เกรงว่าในตอนนี้คงจะสามารถที่จะดึงดูดยอดฝีมือเข้ามามากมายได้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

แล้วก็ได้มีการปรากฏผนึกฝ่ามือขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งมีข้างหนึ่งยังชี้ไปยังฟ้า ข้างหนึ่งยังชี้ไปยังพสุธา แต่ว่าในครั้งนี้ ท่ามกลางฟ้าดินราวกับว่าได้ตอบรับความเปลี่ยนแปลงของผนึกฝ่ามือขนาดใหญ่นี้ก็มิปาน ท่ามกลางผนึกฝ่ามือขนาดใหญ่นี้ ราวกับว่าเป็นเหมือนดั้งดินแดนอันไร้ขอบเขตอีกแห่งหนึ่ง มีเสียงเพลงดังขึ้นมา ราวกับว่าผนึกฝ่ามือขนาดใหญ่นี้ได้ตกลงไป ยังท่ามกลางห่วงเวลาที่ไหลเวียนไม่สิ้นสุดก็มิปาน

 

นับแต่โบราณจนถึงตอนนี้ มหาสมุทรเสริมสร้างท้องนา หล่อเลี้ยงร้อยชีวิต วันเวลาไหลเวียนผ่านไปตามอายุขัยของจันทรา จึงได้กลายเป็นผนึกฝ่ามือเบิกฟ้าเช่นนี้มาได้ กลายเป็นการมีอยู่ของแดนดิน

 

“ โครม “

 

ในตอนที่กำลังจะควบคุมมนต์ตราร่างกายของเยี่ยจงก็ได้สั่นเทาขึ้นมา กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ต่อให้สิ่งที่เขาพบเจอนั้นจะไหลออกมาไม่หยุด หลายปีก่อนหน้าก็เกือบที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตสามชั้นฟ้าแล้ว ถือได้ว่าเป็นความแข็งแกร่งที่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งต่างก็ใฝ่หา แต่ว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม กับสิ่งที่เขาเคยพบเจอมาก่อนก็ยังไม่อาจรับได้กับการลี้ลับและลึกลับที่ถูกรวมเอาไว้ด้วยของมนต์ตราเทพสายนี้ ความแข็งแกร่งของมนต์ตราเทพนี้ ไม่ว่าจะถูกขนานนามว่าเป็นทศศาสตร์โบราณ ด้านในที่ก่อรวมความน่าหวาดกลัวของกฎเกณฑ์และความลับของฟ้า ลี้ลับสุดยั้งคาด

 

“ โครม “

 

เยี่ยจงกระอักโลหิตออกมาอีกคำ แต่ว่าเขาในตอนนี้ก็ได้โบกมือขึ้น นำเอาโอสถปราณอีกกลุ่มหนึ่งกลืนเข้าไป แล้วก็นั่งสมาธิอยู่ด้านบนพื้นดิน จนทำให้ฝ่ามือมีตราอยู่ตัวหนึ่งที่ดูแล้วลี้ลับอย่างยิ่ง

 

พลังฝีมือของเยี่ยจงความจริงแล้วก็ถือได้ว่าน่าตกใจอยู่แล้ว ต่อให้เขามีร่างที่พิเศษในดินแดน แต่ว่าก็เพียงพึ่งพาพลังของกระบี่หกสุสาน จากเจ้าขยะที่ไม่อาจที่จะสามารถฝึกปรือยุทธ์ได้คนหนึ่ง เดินทางมาถึงยังดินแดนซีฮวงเข้าสู่การแย่งชิงกับเหล่ายอดอัจฉริยะในดินแดนด้วยเวลาอันสั่นๆ

 

ถึงแม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพลังกระบี่หกสุสาน ที่เป็นถึงพลังลมปราณเทพโบราณขั้นสูง แต่ว่าอีกทางด้านหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นเพราะความมานะและอัจฉริยะของเขา ไต่เต้าจนสูงขึ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจที่จะใช้เวลาอันสั้นๆในการลุกขึ้นมาได้

 

และเมื่อเทียบกับเยี่ยจงเมื่อชาติที่แล้วที่ยังต้องเพิ่มพูนพลังมนต์ตราเทพ จนทำให้เขาเกิดความลุ่มหลงชนิดหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยังดีที่ร่างกายของเขายังถือได้ว่าแข็งแกร่งยิ่ง หรือไม่การที่หลับหูหลับตาฝึกปรือเช่นนี้ เกรงว่าจะสามารถที่จะทำให้ร่างกายของเขาเสียหายได้ สติสัมปะชันยะขาดสะบั้น

 

กับการฝึกปรือและควบคุมเช่นนี้ หลังจากนั้นสักพัก ประกายแสงที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านี้ก็ได้รวบตัวกันเข้าสู่ภายในร่างกายของเขา และม้วนคัมภีร์โบราณนี้ที่อยู่อีกด้านก็ได้ค่อยๆสั่นไหว กลายเป็นกลุ่มแสงหายสาบสูญไปท่ามกลางอากาศ และประกายแสงราวกับได้รองรับผนึกนี้เอาไว้แล้วก็มิปาน ไหลเวียนเข้าสู่ภายในร่างกายของเยี่ยจง

 

ในขณะนี้เอง เยี่ยจงก็ได้พลิกสองมือขึ้นเป็นตราสัญลักษณ์ มือหนึ่งชี้ไปที่ฟ้า มือหนึ่งชี้ไปที่พสุธา แผ่พุ่งรังสีอันน่ากลัวชนิดหนึ่ง กดทับไปยังดินแดนซานเซียนเซินเจี่ย

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset