ตอนที่ 321 สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
จื่อจุนเทียนยิ้มช้าๆ ภายในดวงตาราวกับปรากฏดวงดาวที่ลุกไหม้ขึ้นนับไม่ถ้วนก็มิปาน เขาสงบอย่างมาก เพียงแต่หังเราะแล้วตอบไปเบาๆ “ หากว่าเจ้าปฏิเสธแล้วละก็ เช่นนั้น ข้าก็มีทางเลือกให้แก่เจ้าสองทางเลือก ตอนนี้เจ้าเข้าไปยังหอคอยสงคราม ข้าจะรอคอยเจ้าออกมา ค่อยสังหารเจ้าอีกครั้ง …… เพราะว่าเจ้าในเวลานั้น การสังหารเจ้าได้จึงถือได้ว่าคุ้มค่า ”
“ อะไรกัน ? ”
ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็เงียบงัน บนใบหน้าต่างก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้น จื่อจุนเทียนผู้นี้ที่แท้มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน ถึงกับหาญกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ คนท่ามกลางสนามในตอนนี้ มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าวาสนาเพียงสายเดียวมีความสำคัญอย่างไร้ที่เปรียบ เขาถึงกับไม่ต้องการ กลับกันยังให้เยี่ยจงเข้าไปภายใน ได้ครอบครองวาสนา เขาจึงฆ่า ?
ต่อให้เป็นเยี่ยจง ตอนนี้ก็ยังเกิดความสงสัยขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่แววตาของจื่อจุนเทียน เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน จากนั้นก็ได้นำป้ายกระดูกในมือเก็บเอาไว้ เยี่ยจงจึงได้มองไปที่จื่อจุนเทียน ตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ “ จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้นเชียว ตอนนี้ข้าจะสังหารเจ้าลง เช่นนั้นก็จะไม่มีวาจาไร้สาระมากมายถึงเพียงนี้หรอก ? ”
“เจ้าในตอนนี้ ไม่ไหวหรอก ” จื่อจุนเทียนเงียบสงบอย่างยิ่ง “ เจ้ามีคุณสมบัตินั้นและคู่ควร แต่ว่าเจ้าในตอนนี้ยังมิใช่ นอกจากหลังจากที่เจ้าได้เข้าไปยังหอคอยสงครามแล้ว จึงค่อยมีคุณสมบัตินั้น …….. ข้าเคยบอกแล้ว ผลสุดท้ายมีแต่เพียงอยู่ในช่วงเวลาที่สุกงอมแล้วจึงจะมีความหมาย มิใช่หรือ ? “
“ เจ้าเดินเข้าไปเถอะ ไม่มีใครกล้าขวางเจ้าหรอก ” จื่อจุนเทียนยืนกอดอก โอ่อาไปทั่วสนาม ทอดวงตาเย็นเยียบ ราวกับว่าในตอนนี้ เขาก็คือที่สุด เขาก็คือท้องฟ้า อย่างที่เขากล่าวมาทั้งหมด ว่าเขาคือเหตุผลของดินแดนแห่งนี้อย่างแท้จริง ไม่มีใครที่ขัดได้
ในขณะนี้เอง สายตาของผู้คนมากมายต่างก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างถึงที่สุด พวกเขาย่อมไม่อาจจะเอาแต่มองดูเยี่ยจงเข้าไปยังหอคอยสงครามเช่นนี้แน่ ในเมื่อพวกเขาลำบากรอคอยมาได้อย่างเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ก็เพื่อที่จะแย่งชิงวาสนาเพียงสายเดียวนี้ จะได้อย่างไรก็ไม่อาจที่จะสามารถปล่อยให้เยี่ยจงเข้าไปยังภายในหอคอยสงครามเช่นนี้ได้ ?
แต่ว่ามีผู้คนมากมายต่างก็มองไปด้วยความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน พวกเขาในตอนนี้กลับมิได้หวาดเกรงเยี่ยจงมากจนเกินไปนัก แต่ว่ากับจื่อจุนเทียนผู้นี้ พวกเขากลับมีความหวาดเกรงอยู่หลายส่วน รวมไปทั้งหวาดกลัวอีกด้วย
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเย็นเยียบ เขากอดอกขึ้น ร่างกายมาขยับเคลื่อนไหว เพียงแต่จ้องมองไปที่จื่อจุนเทียนที่อยู่ด้านหน้าอย่างเย็นชา ดูว่าที่แท้เขาคิดที่จะทำอะไรกันแน่
จื่อจุนเทียนไม่มองไปที่เยี่ยจงอีก เขาหยักไหล่ไปมา สายตาทอดมองไปยังทางด้านบริเวณของนางเซียนชิงหญิง แล้วก็มองไปทางด้านของโหยวเหลียน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ เอาละ ทั้งสองท่าน พวกเราสมควรที่จะมาพูดคุยเรื่องของพวกเรากันแล้ว พวกเจ้าว่า เพื่อพวกเจ้า ข้ายังไม่เสียดายที่จะลดตัวลงมาด้วยตังเอง เข้ามายังสมรภูมิฮวงกู่ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปนี้ พวกเข้าไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้างสักหน่อยหรอกหรือ ? “
โหยวเหลียนยิ้มอย่างมีเสน่ห์ กล่าว “ ข้าสัมผัสได้ว่า หากว่าเจ้าสามารถที่จะสังหารพี่สาวชิงหญิงลงได้ในตอนนี้ ข้าจะติดตามเจ้าไป เป็นหนึ่งในนางบำเรอให้เจ้า ดีหรือไม่ ? “
ชิงหญิงมองไปทางด้านของโหยวเหลียนอย่างเย็นชาคราหนึ่ง มิได้กล่าวอันใด สายตาของนางเพียงจดจ้องอยู่บนร่างของจื่อจุนเทียน หว่างคิ้วก็ได้มีความกังวลเกิดขึ้นมาอยู่หลายส่วน ตามการกระทำของบุคคลผู้นี้ แม้แต่นางก็ยังต้องหวาดเกรงอยู่หลายส่วน
“ นางเซียนโหยวเหลียน พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง พวกเจ้าทั้งสองเป็นดุจดั่งดอกไม้ทั้งสี่ฤดู ต่างฝ่ายต่างก็มีดีไปคนละแบบ ดุจดั่งมนุษย์ที่แขนซ้ายขวาก็มิปาน มิอาจแบ่งสูงต่ำได้ ข้าอดที่จะปล่อยวางคนใดคนหนึ่งไว้มิได้แม้แต่คนเดียว ? และทั้งสองคนก็ไม่ต่างจากแสงจันทรา ที่ข้าครุ่นคิดคำนึงหา หรือว่าพวกเราอย่าได้เอาแต่อยู่ในสถานที่แหลกเหลวเช่นนี้ เสาะหาสถานที่อันเงียบสงบร่ำสุรากัน ดีหรือไม่ ? ” บนสีหน้าจื่อจุนเทียนก็ไปได้ปรากฏความลุ่มหลงอย่างถึงที่สุด หากว่าคำพูดของเขานั้นเพียงแต่กล่าวต่อแค่หญิงสาวเพียงนางเดียวแล้วละก็ ย่อมต้องเกิดความหวั่นไหวอย่างถึงที่สุด แต่ว่าเขาก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการสารภาพรักต่อหญิงสาวทั้งสองนาง ทำให้ผู้คนไร้คำพูดจะกล่าว ไม่ทราบจะวิจารณ์ออกมาเช่นไรดี
ควรทราบว่า ชิงหญิงเป็นถึงศักดิ์สิทธิ์หญิงแห่งแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ โหยวเหลียนนั้นเป็นเทพหญิงแห่งลัทธิแดนลับแล สถานะภาพของทั้งสองคนไม่ว่าจะอย่างไร เบื้องลึกเบื้องหลังย่อมไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน ต่างก็มิใช่คนโดยทั่วไปจะตอแยได้ ดุจดั่งดอกบัวท่ามกลางลำธาร ไหลเคยด่างพร่อยจากดินโคลน ชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี ทุกอนูในแดนดิน ไม่อาจที่จะดูมัวหมองได้ งดงามจนทำให้ผู้คนหยุดหายใจ
แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ จื่อจุนเทียนผู้นี้กลับทำลายในข้อนี้ กลับมิเห็นถึงความสูงศักดิ์ที่ยากจะเอื้อมของพวกนาง ทั้งยังจงใจที่จะเก็บทั้งสองเข้าเป็นนางบำเรอในเวลาเดียวกัน
“ เจ้าเกินไปแล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีที่มาที่ไปจากที่ใด แต่ว่านางเซียนชิงหญิงที่เป็นดั่งเทพธิดานางเซียน มิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถล่วงเกินได้ ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งร่ำร้องออกมาเสียงแผ่วเบา เขาที่ถือได้ว่ามีความใกล้ชิดคุ้นเคยกับชิงหญิง ตอนนี้กลับรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
“ นางเซียนโหยวเหลียนก็สวยสดงดงามจรดแดน ไร้ผู้ใดที่จะมาเปรียบเทียบได้ เจ้าอย่าได้ลืมได้ ” แล้วก็ได้มีผู้ที่ไล่ตามโหยวเหลียนอยู่ร่ำร้องขึ้นมา กล่าวด้วยคำพูดในน้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่ควร
จื่อจุนเทียนมิได้เอ่ยอันใด เขาเพียงหันหน้ากลับไปมองดูชายหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา วินาทีนั้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ได้สาดเป็นประกายสีรุ้งขึ้นมากระจายไปทั่ว จนกลายเป็นเหมือนดั่งฝนกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน
“ ฟู่ฟู่ฟู่——”
ชายหนุ่มที่เอ่ยปากขึ้นมาหลายคนนั้นยังไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยากลับคืนมา ก็ได้ถูกฝนกระบี่พุ่งทะลุร่างออกไป ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อทอดร่างทิ้งตัวลงสู่พื้น สิ้นใจตายลงไปเช่นนี้
“ นี้ ——” ผู้คนไม่น้อยต่างก็หวั่นไหวขึ้นมา บุคคลผู้นี้ลงมือได้โหดเหี้ยมจนเกินไปแล้ว เพียงแค่คำพูดที่ไม่น่าฟังเพียงประโยคเดียวก็ถูกฆ่าลง ไม่ให้แม้แต่โอกาสใดๆแก่ผู้คน เมื่อเปรียบเทียบกันกับ(เฮิงทุยซานเชียนหลี่)เยี่ยจงยังถือได้ว่ามีจิตใจที่อำมหิตยิ่งนัก
*(เฮิงทุยซานเชียนหลี่)เยี่ยจง แปลว่า เยี่ยจงไร้ผู้ต้านในสามพันลี้ ฉายานามใหม่ของเยี่ยจง ต้องขออภัยสำหรับตอนก่อนๆด้วยนะครับ ก็งงๆอยู่ว่าอะไรสามพันๆ ฮ่าฮ่า
“ เจ้าทำเกินไปแล้ว แค่เพียงคำพูดที่ไม่เสนาะหูเพียงประโยคเดียว จำเป็นที่จะต้องฆ่าคนเลยหรือ “ ชิงหญิงในที่สุดก็ได้ถอนหายในออกมาลึกๆ เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา
จื่อจุนเทียนหัวเราะขึ้นมา ตอบกลับไปอย่างอบอุ่น “ ข้อสงสัยที่ข้ามีแต่นางเซียนทั้งสองย่อมต้องมาจากใจ เป็นพวกเขาสมควรตาย มีอันใดทำเกินไปกัน “
“ เจ้าแน่ใจว่าเจ้ากล่าวมาจากใจจริงงั้นหรือ ? “ ชิงหญิงขมวดคิ้ว ชายหนุ่มผู้นี้ช่างไร้ยางอายจนเกินไปแล้ว สารภาพรักต่อทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน คิดที่จะเก็บทั้งสองเข้าวังหลัง ยังกล่าวออกมาได้ว่าเป็นคำพูดที่มาจากใจจริง
“ แน่นอนว่าย่อมต้องมาจากใจจริง ข้านั้นชมชอบสาวงามทั่วทั้งแดนดิน แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ข้าก็กล่าวออกมาด้วยความจริงใจ ในข้อนี้ มีอันใดน่าสงสัยกัน ” จื่อจุนเทียนยิ้มขึ้นช้าๆ “ ข้าในตอนนี้ทั้งสองท่านยังคงปฏิสัมพันธ์กันเอาไว้ ขอเพียงเข้าใจ แค่แย่งชิงกันกินแตงกวาที่ไม่หวานก็เท่านั้น แต่ว่าต่อให้เป็นสิ่งที่ไม่หวาน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ดี มิใช่หรือ ? “
เห็นได้ชัด จื่อจุนเทียนในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะดูเกรงอกเกรงใจ แต่ถ้าหากว่าทั้งสองคนไม่ตอบรับเขาแล้วละก็ อย่างมากเขาก็แค่ต้องลงมือแล้ว
“ ข้ายังคงคำพูดนั้น ขอเพียงเจ้าสังหารพี่สาวชิงหญิง ข้าก็จะไปกับเจ้าเป็นอย่างไร ? “ โหยวเหลียนหัวเราะกล่าวออกมาอย่างมีเสน่ห์ บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เย้ายวน ทำให้จิตใจผู้คนเป็นอำพาตได้
“ ข้าจะทำได้ลงได้อย่างไรกัน ? ”จื่อจุนเทียนถอนหายใจออกมา ทั้งยังจ้องมองไปอย่างกังวล “ พวกเจ้าทั้งสองต่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้า ข้าทำใจได้อย่างไร “
“ งั้นหรือ ? ” ทันใดนั้นโหยวเหลียนก็ได้หัวเราะฮิฮะออกมา “ ถ้างั้นเอาอย่างนี้ ขอเพียงเจ้านำตัวพี่สาวชิงหญิงกลับเข้าวังหลังได้ก่อน เรื่องของข้าก็ถือว่าเจรจากันได้ง่ายขึ้น ดีหรือไม่ ? “
ชิงหญิงทอสีหน้าเย็นเยียบขึ้น นางกวาดสายตามองไปที่โหยวเหลียนคราหนึ่ง มิได้เอ่ยปากกล่าวออกมา แต่ว่าก็เต็มไปด้วยความเย็นชาเป็นอย่างมาก ระหว่างแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และลัทธิแดนลับแล ความจริงแล้วก็มีช่องว่างอยู่ พวกนางที่ถือได้ว่าเป็นหญิงศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งและนางเซียนอันดับหนึ่งก็ได้เกิดข้อพิพาทกันหลายต่อหลายครั้ง จากความหมายเช่นนี้ ในตอนนี้ทั้งสองคนย่อมต้องต่างก็อยู่ในระหว่างมีข้อพิพาทกันอยู่
“โหยวเหลียน ความจริงเจ้าคิดเผื่อข้ามาโดยตลอด เช่นนั้นก็ดี รอจนหลังจากที่ข้านำตัวชิงหญิงมาสู่ข้างกาย ค่อยกลับมารับเจ้า ” จื่อจุนเทียนหัวเราะดังเหอะเหอะ รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ดุจดั่งราชันผู้หนึ่งก็มิปาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามอันแปลกประหลาด
บริเวณทางด้านหลัง เยี่ยจงบนยอดหอคอยสงครามก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขามองไปที่กุ่ยเมียนผอผอที่มีสีหน้าดุร้ายขึ้นในตอนในอย่างลึกซึ้ง กล่าวออกมาอย่างชัดเจน “ พี่ท่านโปรดรีบลงมือ เฒ่าชราแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้าจะจัดการให้กับท่านเอง “
เกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยจงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง มีอยู่หลายครั้งที่คอยขัดขวางกระทำเรื่องราวต่างๆก็ไม่เอ่ยแล้ว แต่กุ่ยเมียนผอผอในครั้งนี้กลับคิดที่จะสังหารเขา นี้ได้ทำให้ภายในจิตใจเบื้องลึกของเยี่ยจงเกิดรังสีสังหาร โอกาสในครั้งนี้ เขาย่อมไม่อาจที่จะผิดพลาดไปได้
หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกไป มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณที่กุ่ยเมียนผอผออยู่
“ งั้นหรือ ? ” จื่อจุนเทียนมองไปที่เยี่ยจงคราหนึ่ง กลับมิได้มีวี่แววที่จะปฏิเสธเขาแต่อย่างไร “ ดูเหมือนว่าเจ้าข้าจะเป็นคนประเภทเดียวกัน หากว่าในครั้งนี้เจ้าไม่ต้องมาตายภายใต้น้ำมือข้า เช่นนั้นพวกเราก็คงจะสามารถนั่งลงเสวนากันได้แล้ว “
เยี่ยจงหัวเราะอย่างเยียบเย็น มิได้ยกคำพูดใดมากล่าว เพียงแต่เคลื่อนไหวจนถึงยังบริเวณหัวมุมหนึ่งของยอดหอคอยสงคราม ขยับมือขวาอย่างช้าๆ เสียงกระดูก็ได้ดังขึ้นมา
มีคนมากมายต่างก็อ้าปากตาค้าง ไม่เข้าใจเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ได้อย่างไร รวมทั้งโหยวเหลียนยังได้หัวเราะออกมาอย่างประหลาดพิกล ร่างกายก็ได้ถอยไปอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังบริเวณท่ามกลางสนาม
“ ชิงหญิง อย่าได้โทษว่าข้าใจร้ายเลยนะ ที่ลงมือในตอนนี้ ก็เพื่อข้าเจ้าหลังจากนี้โดยทั้งสิ้น วันข้างหน้าภายใต้ห้องหับที่เปี่ยมไปด้วยดอกไม้ยามค่ำคืน ข้าจะต้องนำกลับคืนมาให้เจ้าอย่างแน่นอน “ จื่อจุนเทียนเอ่ยขึ้นอย่าง“อบอุ่น” จากนั้นก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว โบกมือขวาขึ้นคราหนึ่ง วินาทีนั้น นิ้วบนฝ่ามือก็ได้แผ่กระจายแผ่นยันต์ออกมา ก่อรวมจนกลายเป็นดั่งทักษะเซียนที่น่าหวาดกลัวเป็นสาย มุ่งหน้าเข้าสังหารยังบริเวณที่ชิงหญิงอยู่เข้าไป
“ โครม ——”
ขุมพลังทางด้านหน้าเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ได้ราวกับจะระเบิดยอดหอคอยสงครามขึ้น จนก่อเกิดความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดกลัวลอยออกมา จนมิอาจที่จะรับขุมพลังอันแข็งแกร่งของเขาไว้ได้ ต่อให้เป็นเยี่ยจงเองก็ยังต้องหันหน้ากลับไปมองดู เหม่อมองฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเคร่งเครียดไร้ที่เปรียบ
บุคคลผู้นี้ถึงแม้จะสะเพร่าอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ว่าพลังฝีมือกลับทั้งแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะเยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้เกิดความสั่นไหวในจิตใจขึ้นหลายส่วน
ชิงหญิงขมวดคิ้วอันดกดำอย่างช้าๆ คิดไม่ถึงว่าบุคคลผู้นี้บอกจะลงมือก็จะลงมือเลย ร่างกายของานางเคลื่อนไหวดุจดั่งต้นหลิวที่ลู่ไปตามสายลมก็มิปาน ถูกโชยพัดออกไปบริเวณทางด้านหลัง กระโปรงยาวกระจายไปมา ก่อเกิดจนกลายเป็นลักษณะอันงดงามยากที่จะกล่าวออกมา เมื่อรวมไปด้วยท่าทีอันงดงาม ก็ยิ่งทำให้ผู้คนมองดูฉากเบื้องหน้าเกิดจิตใจที่หวั่นไหวขึ้นมา
“ สังหาร ——”
เสียงร้องอย่างเย้ายวนดังลอดออกมา กระบี่สั่นสามนิ้วก็ได้ปรากฏขึ้นภายในใจกลางฝ่ามือของชิงหญิง กระบี่เทพด้ามนี้ถูกหลอมขึ้นจากศิลาหยก ตัวกระบี่โปร่งใสครึ่งหนึ่ง ราวกับมีหมอกควันไหลเวียนเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน ดุจดั่งดวงดาวที่ลอยคว้างอยู่ เห็นได้ชัดว่าลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง
กระบี่ด้ามนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มีที่มาที่ไปไม่น้อย เพียงแต่ว่าในทันทีที่ได้ปรากฏขึ้นมา ท่ามกลางสนามก็มีสมบัติเซียนร่ำร้องดังขึ้นมาไม่น้อย ผสานจนกลายเป็นเสียงเดียว
“ สมบัติที่ดี หากว่าสามารถกลืนกินกระบี่เทพด้ามนี้ไปได้แล้วละก็ อย่างน้อยข้าคงจะสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้เกินครึ่ง “ เสี่ยวหลุนส่งเสียงออกมาดังขึ้นภายในหูของเยี่ยจง เพื่อให้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้มีค่ามากแค่ไหน
“ ซวบ ——”
ทันใดนั้นเอง นางเซียนชิงหญิงก็ได้ฟาดกระบี่ออกไป ประกายกระบี่ในตอนนี้ก็ได้กลายเป็นดั่งเมฆหมอกสีรุ้งกลุ่มหนึ่ง พุ่งไปทางด้านหน้าด้วยการโจมตีจากทักษะยุทธ์อันน่า
พลังการโจมตีทั้งสองสายอันน่าหวาดกลัวก็ได้เข้าปะทะกัน ลอยคว้างท่ามกลางอากาศ วินาทีนั้นก็ได้ก่อเกิดอักขระนับไม่ถ้วนสาดเป็นประกายขึ้นมา ตลอดทั้งยอดหอคอยในตอนนี้ก็ได้กลายเป็นลุกไหม้ขึ้นมานับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่า การลงมือของทั้งสองคนเมื่อครู่ เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งที่เกินกว่าที่จะคาดเดาเอาไว้ได้เป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนี้จิตแห่งหอคอยสงครามก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น แต่ว่ามันก็มิได้กล่าวอันใดออกมามากมาย มีแต่เพียงรอให้เหล่ายอดฝีมือลงมือในตอนนี้ มันยิ่งมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ทางด้านเยี่ยจงก็ได้ขวดคิ้วขึ้น เขาเคยคาดเดาถึงพลังฝีมือของชิงหญิงนับครั้งไม่ถ้วน ทราบว่านางย่อมยากที่จะต่อกรได้อย่างแน่นอน แต่ก็คิดไม่ถึงว่า นางไม่เพียงแต่สำเร็จขอบเขตกายเนื้อไม่สูญสลายได้ตั้งแต่แรก อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ และถึงกับมีความแข็งแกร่งได้มากมายจนถึงเพียงนี้
รวมไปทั้งจื่อจุนเทียน ระดับความแข็งแกร่งนั้นก็ถือได้ว่าอยู่นอกเหนือการคาดเดาไปมากแล้วหลายส่วนเช่นเดียวกัน
.
.
.
.