เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 372 พวกเจ้าไม่ไหวเลย

ตอนที่ 372 พวกเจ้าไม่ไหวเลย

 

อัจฉริยะมากมายต่างก็ไร้คำจะกล่าวในเวลาเดียวกัน เหม่อมองไปยังเยี่ยจงด้วยแววตาที่ประหลาดอย่างถึงที่สุด จากที่พวกเขาเห็น ถูกคนไล่ฆ่ามาตั้งหลายวันเช่นนี้ เยี่ยจงผู้นี้ยังสามารถเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้ ก็ถือได้ว่าทำได้ หากกล่าวถึงจุดที่สำคัญเช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่ทราบว่าไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเช่นนั้นหรืออย่างไรกัน ? เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ คือสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ถูกเล่าขาน ที่กระทำเรื่องใหญ่โตมากมายภายในสมรภูมิฮวงกู่เช่นนั้นหรือไร ?

 

“เจ้า……ยอดมาก !”

 

ชางเฟยไป่ในที่สุดก็อดกลั่นเอาไว้ไม่อยู่ เข้าเดินมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านหน้า แล้วก็เข้าทางด้านหลังแล้วกดเข้าไปยังไหล่ของเยี่ยจง “ก็คนที่กำลังจะตายคนหนึ่ง มีคุณสมบัติใดมานั่งในระดับเดียวกันกับปราชญ์หญิงของลัทธิข้ากัน ?”

 

“เพียะ——”

 

เยี่ยจงยกมือกวาดออกอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่มือของชางเฟยไป่ยังไม่ทันจะได้กดลงไปนั้นเอง ฝ่ามือหนึ่งก็ได้กวาดเข้าไปยังบนใบหน้าของเขา จนก่อเกิดเสียงดังกระจ่างใสไร้ที่เปรียบออกมา

 

ในขณะนี้เอง ผู้คนทั้งหมดต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง เยี่ยจงผู้นี้กลับลงมืออย่างไม่ใส่ใจ ยังถึงกับมีพลังที่แข็.แกร่งเช่นนี้งั้นหรือ ? อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ยังถึงกับสามารถตบชางเฟยไป่เพียงฝ่ามือเดียวกระเด็นออกไป ? ควรทราบว่า ชางเฟยไป่สามารถกล่าวได้ถือเป็นหนึ่งในสามบุตรแห่งปราญ์ลัทธิปราชญ์แห่งดวงดาว ถือได้ว่าเป็นดั่งผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ แต่ว่าบุคคลเช่นนี้ เขากลับคิดที่จะตบก็ตบออกไป ? อีกทั้งอีกฝ่ายยังถึงกับไม่อาจหลบได้ด้วยอย่างงั้นหรือ ?

 

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าววาจากับข้า เป็นแค่เพียงขี้ข้าเท่านั้น หากว่ามีครั้งต่อไป ข้าจะฟันเจ้าทิ้งซะ” เยี่ยจงเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะชางเฟยไป่แม้สักครา เพียงแต่ดื่มด่ำกับการดื่มชาต่อ อัจฉริยะมากมายบริเวณโดยรอบ เขาก็ยังคงเหมือนดั่งไม่เห็นแม้แต่วัตถุใดๆทั้งสิ้น

 

“เจ้า……หาที่ตาย !” ชางเฟยไป่ร่างกายสั่นเทาไปมา เขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงถึงกับหาญกล้าที่จะทำเช่นนี้กับตนเองเช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ได้ปะทุพลังปราณขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะลงมือ

 

“เพียะเพียะ——”

 

ในครั้งนี้เยี่ยจงก็ได้ลงมืออีกครั้ง พลิกมือตบออกไปถึงสองฝ่ามือ แล้วก็ได้ตบเข้าไปยังชางเฟยไป่จนลอยกระเด็นออกไป หลังจากที่เขาก็ได้ลุกขึ้นมา ก็ได้ก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าว ก็ได้เหยียบเข้าไปยังบริเวณหน้าอกของชางเฟยไป่

 

“กร๊อบ——”

 

เสียงของกระดูกหักดังลอดออกมา เยี่ยจงทอสีหน้าเย็นเยี่ยบ เขาก้มลงจ้องมองไปยังฟันที่หลุดออกมาในตอนนี้ของชางเฟยไป่ หลังจากพริบตานั้นเองก็ได้กวาดเท้าออกไปคราหนึ่ง แล้วก็ได้กวาดจนร่างกายของชางเฟยไป่กระเด็นออกไป กระแทกเข้าชนกับก้อนศิลาขนาดเท่าต้นไม้อย่างรุนแรง กระอักโลหิตออกมา

 

“ขี้ข้าก็คือขี้ข้า ในที่แห่งนี้ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะเอ่ยปากออกมาได้เข้าใจหรือไม่ ? ที่ข้าไม่ฆ่าเจ้า นั้นก็เพราะว่าเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ เจ้าก็เป็นได้เพียงแค่ขี้ข้า” เยี่ยจงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ได้กลับไปนั่งลงดั่งเดิม

 

ชางเฟยไป่ตอนนี้คึบคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก กระอักโลหิตออกมาคำโต สีหน้าทอแววดุร้ายหมายจะกลืนกินอีกฝ่ายก็มิปาน ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจนเกิดเสียงดังครืนคราดขึ้นมา

 

“พอแล้ว ชางเฟยไป่ เจ้าถอยไปก่อน ท่านเยี่ยจงถือได้ว่าเห็นแก่หน้าของลัทธิปราชญ์แห่งดวงดาวจึงได้ลงมืออย่างไว้ไมตรีแล้ว เจ้ายังไม่หยุดด้วยตนเองอีก” ปราชญ์หญิงม่อมู่ซื่อเอ่ยขึ้นมา นางทอประกายสายตามองไปยังร่างของเยี่ยจง ด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัด การแสดงออกของเยี่ยจงในวันนี้ถือได้ว่าอยู่นอกเหนือการคาดคำนวณของนางไปมาก

 

“ศิษย์น้องเยี่ยเจ้าน่าจะทราบในข้อนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดในวันนี้ ที่จริงแล้วคงไม่เกิดเรื่องขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ ต่อให้เป็นตอนนี้ ศิษย์น้องเยี่ยเจ้าหากว่ายอมถอยไปก้าวหนึ่งแล้วละก็ ทุกคนต่างก็อยู่ในท่าทีดุจเดิมในจุดเดิม” ม่อมู่ซื่อจ้องมองเยี่ยจงในตอนนี้ ทันใดนั้นก็ได้ยกจอกชาจิบเข้าไปอีกคำหนึ่ง ดูไปแล้วงดงามเหนือความบรรยาย

 

“งั้นหรือ ? ถึงกลับคิดว่าสามารถใช้คนมากเพื่อที่จะกลืนกินข้าได้อย่างนั้นหรืออย่างไรกัน ดังนั้น คิดที่จะลงมือสักคราแล้วหรือยัง ?” เยี่ยจงหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “พวกเจ้าแต่ละคนจะเข้ามาก็รีบเข้ามา อย่าได้เอาแต่คิดมากความ ผู้ใดสามารถจัดการข้าได้อยู่หมัดเป็นคนแรก ผู้นั้นก็ได้สมบัติไปมิใช่หรือไร ? เป็นไรไป ตอนนี้แต่ละคนก็กลายเป็นเต่าหดหัวแล้วหรือไร ยังเทียบไม่ได้กับเพียงแค่ขี้ข้าเพียงคนเดียวอีกงั้นหรือ ?”

 

“ตูม——”

 

เด็กหนุ่มอัจฉริยะของตำหนักอัสนีลี้ลับก็ได้ก้าวเดินออกมา ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ใช้ทอประกายสายฟ้าออกมาเป็นประกาย ภายในดวงตาก็ได้ทอประกายเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ ภายในสายตาของเขาก็ได้มองไปยังเยี่ยจงอย่างเย็นเยียบ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เยี่ยจง จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าตนเองอย่างในสถานการณ์อย่างไรอีกอย่างงั้นหรือ ? แน่นอนว่าเจ้ามีความสามรถอยู่หลายส่วน จึงได้มีความเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้ แต่ว่าเจ้าในวันนี้ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี ตอนนี้รีบคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน แล้วส่งมอบคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ และมนต์ตราเทพออกมาถวาย ข้าอาจจะสามารถรับเจ้าเอาไว้เป็นขี้ข้าก็เป็นได้”

 

อัจฉริยะคนอื่นๆต่างก็เงียบงัน แต่ละคนต่างก็ได้ส่งเสียงหัวเราออกมาอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวพลังฝีมือของเยี่ยจง แต่ว่ากลับสามารถข่มกลั่นความกลัวเอาไว้ได้ ยังไงซะคนเหล่านี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ในหมู่ของผู้คน ย่อมต้องมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองอยู่แล้ว จนถึงตอนนี้ต่างก็ยังไม่มีผู้ใดยอมลงมือ เพียงแต่กำลังรอคอยมองหาจังหวะอยู่เพียงถ่ายเดียว

 

“สภาพเช่นนี้ก็น่าประหลาดเกินไปแล้ว” เยี่ยจงก็ได้ยิ้มน้อยๆขึ้นมาอย่างกะทันหัน มองไปยังม่อมู่ซื่อคราหนึ่ง “คนจำพวกหญิงปราชญ์เจ้าเช่นนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงความเยือกเย็นได้อยู่อีก ทั้งยังไม่ลงมือโดยสุ่มสี่สุ่มห้า คิดที่จะรอคอยโอกาส แต่ว่าเด็กน้อยเหล่านี้ก็ยังไม่เข้ามากันอีก แต่ละคนก็ยังฮึกเหิมถึงเพียงนี้ มันทำให้ผู้คนอดที่จะคิดไม่ได้ที่จะต้องคิดออกมาเช่นนี้ควรทราบว่า พวกเขาไม่รู้จริง หรือว่ากลัวตายกันแน่กัน ?”

 

“เจ้าหาที่ตาย !”

 

อัจฉริยะของตำหนักอัสนีลี้ลับก็ได้ทอประกายตาเย็นเยียบ พริบตานั้นเขาก็ได้ฟาดฝ่ามือออกมาในทันที บริเวณใจกลางฝ่ามือก็ได้พวยพุ่งประกายสายฟ้าออกมา หมายที่จะจัดการเยี่ยจงภายใต้ฝ่ามือนี้

 

เยี่ยจงปัดมือขวาขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ได้พบเห็นพลังอักขระสีม่วงพวยพุ่ง จนเกิดเสียงดังขึ้นมา เพียงครั้งเดียวก็สามารถที่จะทำลายกระบวนท่าการโจมตีของอัจฉริยะของตำหนักอัสนีลี้ลับเอาไว้ได้ จากนั้นเขาก็ได้ใช้มือขวากุมเข้าไปที่คอหอย ส่วนมือซ้ายก็ได้ก็ได้ตบออกไปราวสิบกว่าฝ่ามือได้

 

“เหตุใดคนของตำหนักอัสนีถึงได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้กัน ?”

 

ฝ่ามือก็ได้ตบไปด้วยกันทั้งสิ้นทั้งหมดสิบฝ่ามือ เยี่ยจงขมวดคิ้ว ภายในดวงตาก็ได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยความเคร่งเครียดขึ้นมาสายหนึ่ง “เจ้าน่าจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักอัสนีลี้ลับ แต่ว่ายังไงเสียก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่เจ้าขี้ข้าของลัทธิปราชญ์แห่งดวงดาวเลย พวกตำหนักอัสนีลี้ลับเป็นแดนลับแลจริงอย่างงั้นหรือ ?”

 

เยี่ยจงตอนนี้ก็ได้กล่าวออกมาด้วยสิ่งที่คิดออกมา มิได้เคลื่อนไหวแต่อย่างไร นั้นก็เพราะว่าเขาพบว่า เด็กน้อยผู้นี้ถึงแม้จะมีพลังฝีมือในพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังปราณครบรอบ แต่ว่าพลังที่แผ่ออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าเอาแต่เพียงพึ่งพาโอสถวัตถุเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาโดยแทบจะทั้งสิ้น เทียบไม่ได้แม้แต่ชางเฟยไป่ แล้วจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของตนเองได้อย่างไรกัน

 

หลังจากที่ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง เยี่ยจงก็ได้สะบัดมือออก แล้วก็ได้กวาดเข้ายังคนผู้นี้ทันที จนพริบตานั้นเองเขาก็ได้ล้มลงกับพื้นกระอักโลหิตออกมาคำโต แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาก็ยังไม่มี

 

อัจฉริยะที่เหลืออยู่ในตอนนี้ต่างก็จ้องเขม็งไปที่เยี่ยจง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด อัจฉริยะของตำหนักอัสนีลี้ลับนั้นถึงแม้ว่าจะอ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกเขา แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตามที ก็ยังคงถือได้ว่าน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ขอเพียงมิได้อยู่ในหมู่อัจฉริยะของพวกเขา ก็ถือได้ว่าเป็นสุดยอดในรุ่นเดียวกันก็ว่าได้

 

แต่ว่าบุคคลเช่นนี้ ในใจกลางฝ่ามือของเยี่ยจงก็ได้ดึงกลับมาดุจดั่งไม่มีอะไร ราวกับว่ามิได้มีอันใดเกิดขึ้นมาก่อน เขาคิดที่จะบีบยังไงก็บีบเมื่อนั้น ในข้อนี้ได้ทำให้ เหล่าอัจฉริยะไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้ในเวลาเดียวกัน ต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงโดยทั้งสิ้น

 

นามของสุดยอดรุ่นเยาว์ในเผ่ามนุษย์ กลับมิได้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย

 

จอกชาสุดท้ายก็ได้ถูกวางลง เยี่ยจงกวาดมือออกไป แล้วก็ได้ทำให้จอกชานั้นกลายเป็นเพียงฝุ่นผงในทันที จากนั้นเขาก็ได้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ได้กวาดสายตามองไปยังท่ามกลางกลุ่มอัจฉริยะคราหนึ่ง กล่าวออกมาด้วน้ำเสียงเย็นชา “เอาละ คำพูดไร้สาระก็พอแต่เพียงเท่านี้เถอะ ดูเหมือนว่าที่ไล่ตามจะมีแต่เพียงพวกเจ้าไม่กี่คน……ทว่าก็พอแล้วละ……ถ้าหากพวกเจ้าไร้ประโยชน์ดั่งเช่นเจ้าเด็กน้อยของตำหนักอัสนีลี้ลับแล้วละก็ เช่นนั้นก็สำเร็จโทษตนเองไปทั้งหมดซะ ดีเสียกว่าถูกเหยียดหยาม หากว่ามีความสามารถสักหน่อย ก็ลงมือเข้ามาพร้อมกันเลย หลังจากที่ข้าสังหารพวกเจ้าแล้วจะได้เดินทางอย่างสบายใจเสียที”

 

หลังจากที่สิ้นเสียง สายตาของอัจฉริยะท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นเย็นเยียบขึ้นมาในเวลาเดียวกัน นี้ไม่เพียงแต่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเองของเยี่ยจง ความเชื่อมี่นของตัวเขาเองนั้นเยี่ยจง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นอัจฉริยะเหล่านี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

 

“ตำนานเล่าขานของราชันบ้าคลั่งเยี่ยจง ที่แท้ก็บ้าคลั่งอย่างแท้จริง” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็ได้ก้าวเดินออกมา เขาก็คืออัจฉริยะของเผ่าซือนั้นเอง ในตอนนี้ก็ได้จ้องมองไปทางเยี่ยจง ภายในดวงตาก็ได้แผ่รังสีสังหารออกมา

 

“หากว่าเจ้ามองว่าข้าเนเหมือนดั่งเจ้าไร้ประโยชน์ของตำหนักอัสนีอะไรนั้นแล้วละก็ เช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน วันนี้ข้าจะสังหารเจ้า ทั้งยังมิจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับผู้ใด”

 

หลังจากที่สิ้นเสียง อัจฉริยะเผ่าซือก็ได้ก้าวออกมาทีละก้าว ร่างกายของเขาก็ได้แผ่พุ่งรังสีพลังปราณแท้ออกมา ล้อมรอบเอาไว้ด้วยตัวอักขระลอยไปมา จนทำให้ทั่วทั้งยอดเขาเกิดความสั่นไหวไปตามการก้าวเท้าของเขา

 

อัจฉริยะนับสิบของแต่ละฝ่ายก็ได้ถอยออกไปในเวลาเดียวกัน พวกเขายกมือขึ้นมา แต่ก็มิได้ลงมือ เห็นได้ชัด ต่อให้มาจนถึงเวลาเช่นนี้แล้ว คนเหล่านี้ก็ยังถือยังมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาที่ต่างก็เป็นอัจฉริยะของสำนัก จริงไม่สนใจที่จะร่วมมือกัน

 

เยี่ยจงจ้องมองไปยังอัจฉริยะเผ่าซืออย่างเย็นชา จากนั้นก็พยักหน้าไปมา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังปราณสูงสุด พลังฝีมือที่ไม่เลวเลย อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ระดับราชันได้แล้ว แต่ว่า เจ้าก็ยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”

 

เยี่ยจงเอ่ยคำพูดเย็นชา ราวกับกำลังท่องกล่อนออกมาอยู่ก็มิปาน จนทำให้ก่อเกิดแรงกดดันขึ้นมาอยู่ในภายในจิตใจ

 

“งั้นหรือ ! ?” เด็กหนุ่มเผ่าซือก็ได้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ รอบกายก็ได้มีตัวอักขระลอยล้อมรอบขึ้นมาตอนนี้ จนกลายเป็นดั่งยอดเขาสูงเขียวขจีลูกหนึ่ง เข้ากดดันข้าไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่โดยตรง

 

“นี้มันวิชาขีดจำกัดความลี้ลับสูงสุดของเผ่าซือ !” มีอัจฉริยะผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา เปิดเผยที่มาของวิชาฝีมือนี้ออกมา

 

“เพล้งเพล้งเพล้ง——”

 

ในขณะที่อัจฉริยะเผ่าซือกล่าวออกมา ก็ได้พบเห็นพลังขีดจำกัดความลี้ลับสูงสุดปกคลุมบริเวณนั้น บนพื้นดุจดั่งกลายเป็นเหมือนมีชีวิตขึ้นมาก็มิปาน พังทลายลงมาไม่ขาดสาย แม้แต่ในบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ ต่างก็ได้เกิดการพังทลายลงมาไม่หยุด

 

“ร้ายกาจมาก ไม่แปลกใจเลยที่เป็นอัจฉริยะเผ่าซือ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความสามารถอยู่หลายส่วน” ฉากเบื้องหน้านี้ได้ทำให้อัจฉริยะมากมายต่างก็พยักหน้าของตนมองเข้าไป นี้แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นคุณสมบัติของอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่าซือ ทอดตามองไปทั่วทั้งดินแดน ต่างก็ยากที่จะหาคนวัยเดียวที่จะสามารถรับมือกระบวนท่านี้ได้

 

“เยี่ยจงเจ้าจบสิ้นแล้ว” มีอัจฉริยะมองเข้ายังท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเยี่ยจงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความแค้นที่มีอยู่แต่เดิม ด้วยการแสดงออกของเยี่ยจงในวันนี้ ก็ได้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอย่างถึงที่สุด

 

เยี่ยจงกอดอกจ้องมองไปยังบริเวณหัวมุมหนึ่งอย่างเย็นชา แล้วก็ได้เกิดแรงกดดันอันมหาศาลปกคลุมขึ้นมาอยู่ทั่วทั้งร่างกายของเขา จนทำให้ชุดอาภรบนร่างกายของเขาลอยพลิ้วไหวไปมาไปตามรังสีที่พัดขึ้นมา

 

ทันใดนั้น เยี่ยจงก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทั่วทั้งร่างกายก็ได้ปะทุพลังออกมา ในตอนนี้ ดุจดั่งพลังรังสีความน่าสะพรึงกลัวของมังกรที่ตื่นจากการหลับไหลก็มิปาน แผ่กระจายออกมาจากร่างกายเยี่ยจง เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีฆ่าฟันอย่างเข้มข้น จนทำให้ผู้คนรู้สึกตัวสั่นเทาขึ้นมา

 

“อะไรกัน ! ?”

 

อัจฉริยะมากมายก็ได้เกิดอาการตะลึงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน บนร่างของเยี่ยจงตอนนี้ก็ได้แผ่กระจายรังสีฆ่าฟันออกมาอยู่ในระดับที่สูงล้ำ จนทำให้ผู้คนกรอกสายตาไปมาอย่างบ้าคลั่ง พลังรังสีของคนเพียงคนเดียว เยี่ยจงเรียกได้ว่าอยู่เหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันในระดับที่สามารถเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดเลยก็ว่าได้ มีแต่เพียงความน่าสะพรึงกลัวตามที่ถูกเล่าขานกันของบุคคลผู้นี้ ถึงกับเรียกได้ว่าไม่พ่ายให้แก่สิ่งใดๆ

 

แล้วเยี่ยจงก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว อัจฉริยะของเผ่าซือก็ได้ร่างกายสั่นเทาไปมา พลังอักขระบนร่างกายก็ได้วุ่นวายขึ้นมา ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ได้ซวนเซถอยออกไปทางด้านหลังหลายก้าว จนทำให้เขาเกิดความตกใจจนยากที่จะเชื่อขึ้นมาได้

 

“ตูม——”

 

เยี่ยจงก้าวออกไปก้าวที่สอง แล้วก็ได้แผ่พุ่งพลังออกมาอีกครั้ง จากนั้นยอดฝีมือเผ่าซือก็ได้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก จนกระทั่งกระอักโลหิตออกมาคำโต คล้ายดั่งจะระเบิดขึ้นมาได้ทุกเวลา

 

เยี่ยจงก้าวออกไปก้าวที่สาม อัจฉริยะเผ่าซือนั้นก็อดทนเอาไว้ไม่อยู่ ร่างกายเขาลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง พุ่งเข้าชนกับก้อนศิลาขนาดใหญ่อย่างรุนแรง กระดูกแตกสลายไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจโรยรินอย่างถึงที่สุด

 

อัจฉริยะทั้งหมดต่างก็สะดุ้งขึ้นมา พลังทำลายขนาดนี้ เยี่ยจงผู้นี้คงมิได้เป็นสุดยอดรุ่นเยาว์เพียงแค่นามเท่านั้นแล้ว เพียงแค่การเดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ได้ทำให้อัจฉริยะกลุ่มนี้กระอักโลหิตออกมาได้

 

“ก็ยังไม่ไหวอยู่ดี” เยี่ยจงถอนหายใจออกมา แล้วก็ได้กวาดสายตามองเข้าไปยังอัจฉริยะคนอื่นๆที่เหลือ “พวกเขาเข้ามาพร้อมกันเถอะ ข้ากำลังรีบ”

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่นพิเศษ เข้ากลุ่ม 4/5/6/7/8/9/10/11 ราคา 500 [โปรหมดเขต 15/04/19]

VIP4 https://goo.gl/ESwaou

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset