เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 382 สายลมโชยยพัดเข้ามาอีกครั้ง

ตอนที่ 382 สายลมโชยยพัดเข้ามาอีกครั้ง

 

 

“ตูม——”

 

หลังจากที่สิ้นเสียง ชายหนุ่มผมม่วงก็ได้กวาดมือขวาเข้ามา แล้วออกมาด้วยทักษะยุทธ์สายหนึ่งออกมาเข้าปะทะ วินาทีนั้น ก็ได้พบเห็นรังสีกระบี่พวยพุ่งออกมาเป็นสาย ท่ามกลางอากาศก็ได้กลายเป็นดุจดั่งค่ายกลกระบี่อันน่าหวาดกลัวขึ้น มุ่งหน้าเข้าปะทะสังหารในบริเวณที่เยี่ยจงอยู่ การลงมือของเขาถือได้ว่ามีความรุนแรงและเด็ดขาด รวมไปจนถึงระดับพลังอันที่ไม่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าคิดที่จะฆ่าสังหารเยี่ยจงลงภายในกระบวนท่าเดียว

 

“เจ้าเด็กน้อยที่ไม่ทราบว่าผุดออกมาจากที่แห่งใด เห็นแก่หน้าเจ้ากลับไม่ต้องการ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน ? องค์ชายแห่งรัฐกู๋กว่องั้นหรือ ? หาที่ตายเองโดยแท้ !”ชายหนุ่มผมม่วงหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ค่ายกลปราณกระบี่ก็ได้หมุนวนพลังประทับสีม่วงอยู่บนฝ่ามือ ระหว่างนั้นนิ้วมือก็ได้เคลื่อนไหวไปตามสำนึกของกระบี่ หมายจะสังหารเยี่ยจงลงไปในทันที

 

พริบตานั้น คมกระบี่สายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เยี่ยจงขยับมือเพียงเล็กน้อย พลังกระบี่ตราประทับก็ได้ปรากฏขึ้นมาอยู่บริเวณของปลายนิ้ว กลายสภาพดุจดั่งกระบี่อันคมกล้าฆ่าสังหารออกไป

 

“เชอะ”เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมา พลังสีม่วงบนมือนั้นก็ได้ถูกทำลายลงไปในทันที แล้วก็ได้กลับเข้าไปในทันที

 

“ครืน——”

 

คมกระบี่ก็ได้หายวับไป สีหน้าของชายหนุ่มผมม่วงก็ได้เปลี่ยนแปลงขึ้นมา กระโดดถอยออกไปทางด้านหลัง แต่ว่าระดับความเร็วของเขากลับเชื่องช้าไปเล็กน้อย แล้วก็ได้พบเห็นหยาดโลหิตกระเด็นออกมา จนแขนข้างหนึ่งที่ยื่นเข้ามาของเขาได้ขาดออก เกิดโลหิตซาดกระเซ็นไปทั่ว

 

“ผัวะ——”

 

เยี่ยจงพลิกมือกลับมา ในช่วงเวลาที่ชายหนุ่มผมม่วงยังมีปฏิกิริยากลับมาได้ไม่ทัน ก็ได้พลิกมือฟาดกลับไป จนซัดเขากระเด็นลอยออกไป เข้ากระแทกชนเข้ากับโต๊ะตัวหนึ่ง พริบตานั้นโต๊ะตัวนั้นก็ได้แตกกระจายหักเป็นส่วนๆ

 

ยอดฝีมือที่อยู่ท่ามกลางห้องต่างก็ได้เผยให้เห็นถึงสีหน้าประหลาดออกมา ชายหนุ่มผมม่วงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับชั้นแนวหน้าของสำนักหวู่หว่าง แต่ว่าก็ยังคงถูกซัดจนลอยกระเด็นออกไปเพียงฝ่ามือเดียว เด็กน้อยที่ลงมือผู้นี้ ที่แท้มีระดับความแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดกันแน่

 

“สหาย เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องลำพองจนเกินไป ศิษย์พี่ของข้าได้พูดเอาไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เจ้าถึงกับลงมือทำร้ายผู้คน เจ้าไม่เห็นสำนักหวู่หว่างข้าอยู่ในสายตาแล้วอย่างงั้นหรือไร ?”สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างที่หลงเหลืออยู่หลายคนก็ได้เข้ามาใกล้ภายในพริบตา สีหน้าของแต่ละคนต่างก็ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าก็คิดไม่ถึงว่า ในวันนี้พวกเขาถึงกับสามารถพลาดท่าได้ถึงเพียงนี้

 

“ฆ่าเขาซะ ! ฆ่าเขาไปให้แก่ข้า !”ชายหนุ่มผมม่วงในตอนนี้ก็ค่อยจะมีปฏิกิริยากลับคืนมา เขาตะโกนร่ำร้องออกมาเสียงดัง ด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง

 

“ตูม——”

 

ทันใดนั้นเอง สิ่งมีชีวิตของสำนักหวู่หว่างหลายคนนี้ก็ได้ลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน เยี่ยจงยังคงมีสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไป มือขวาลากออกใช้ออกมาด้วยเคล็ดสำนึกกระบี่ที่มีทั้งสั้นทั้งยาว แล้วก็ได้ยินเสียง”ฝุบฝุบฝุบ”ดังติดต่อกันไม่ขาดสาย สิ่งมีชีวิตของสำนักหวู่หว่างเหล่านี้แต่ละคนพริบตานั้นก็ได้ถูกตัดแขนขาดจนถอยออกไปทางด้านหลัง ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

“พวกเจ้าก็ช่างดวงดีกันเสียเหลือเกิน นั้นก็เพราะว่าสถานที่แห่งนี้คืออาณาจักรไฟ”เยี่ยจงกวาดสายตามอ

ไปทางด้านของพวกเขาคราหนึ่ง เพียงแต่เอ่ยปากกล่าวออกมา

 

แต่ว่าคำพูดเหล่านี้กลับยิ่งทำให้กลุ่มสิ่งมีชีวิตของสำนักหวู่หว่างแต่ละคนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ความอับอายเฉกเช่นนี้ เห็นได้ชัดอย่างยิ่ง หากมิใช่เป็นเพราะอยู่ภายในอาณาจักรไฟแล้วละก็ เด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาที่มีท่าทางองอาจผู้นี้ คงจะต้องลงมือฆ่าสังหารอย่างแน่นอนแล้ว

 

“ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”เยี่ยจงกล่าวออกมาด้วนน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็ได้หันกายเตรียมจากออกไป

 

“พี่ท่านนี้……”องค์หญิงจื่อหวินก็ได้เอ่ยขึ้นมาในทันที นางเหม่อมองไปทางด้านเยี่ยจงด้วยสีหน้าที่แปลกใจอยู่หลายส่วน คำโบราณที่ว่าสาวงามมักรักชอบวีรบุรุษผู้กล้า เห็นได้ชัด ท่าทางและความแข็งแกร่งของเยี่ยจงในวันนี้ ก็ได้ทำให้ผู้ที่มีชื่อเสียงจรบดินแดนอย่างหญิงสาวที่มาจากหุบเขาเมฆาม่วงผู้นี้เกิดความสนใจขึ้นมาอยู่หลายส่วนได้

 

เยี่ยจงหันหน้ากลับไป กวาดสายตามองไปที่นาง มิได้เอ่ยปากกล่าวอันใด

 

“ข้าเห็นว่าพี่ท่านเมื่อครั้งตั้งแต่เข้ามายังตึกใหญ่แห่งนี้ ก็เอาแต่จ้องมองไปที่ศิลาตะวันบริสุทธิ์ อย่างน้อยก็คงจะหยิบยืมพลังเพื่อที่จะเข้าสมาธิกระมั่ง……แต่ว่าศิลาตะวันบริสุทธิ์ก้อนนี้มีความลี้ละบที่มากเกินไป หากว่าพี่ท่านมีความสนใจแล้วละก็ พวกเราก็มานั่งสนทนากัน คงจะถือได้ว่าดีกว่าทำความเข้าใจเพียงคนเดียวอย่างยากลำบาก”องค์หญิงจื่อหวินอมยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นเป็นที่ติดตราตรึงผู้คนยิ่ง ดุจดั่งดอกไม้นับร้อยนานาพันธุ์ที่ถูกโปรยลงมาก็มิปาน

 

เมื่อครู่เหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่นั่งด้วยกันกับนางแต่เดิมที ในตอนนี้แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าหดหู่ขึ้นมา พวกเขาย่อมต้องรักถนอมบุษผางาม แต่ว่าคิดไม่ถึง บุษผางามที่ตนเองปกป้องอยู่ กลับมีความสนใจต่อบุคคลอื่นเสียมากกว่า

 

เยี่ยจงหลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญ จากนั้นก็ได้พยักหน้าไปมา เดินเข้าไป นั่งลงอยู่ที่เบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามขององค์หญิงจื่อหวิน ถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้จำเป็นที่จะต้องเก็บงำความสามารถเอาไว้ แต่ถ้าหากว่าเก็บงำจนมากเกินไป ก็ดูไม่สมกับเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ศักดิ์ฐานะขององค์หญิงจื่อหวินน่าสูงล้ำอย่างยิ่ง แน่นอนว่าอาจจะทราบถึงหนทางในการแก้ไขปัญหาที่ตนเองคิดไม่ตกก็เป็นได้

 

“ยังมิได้เรียนถามนามฉายาของพี่ท่านเลย”องค์หญิงจื่อหวินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย บนใบหน้าก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยร้อยยิ้มอันสดใส เห็นได้ชัดนางมีความเสนาะสนใจต่อเด็กหนุ่มที่มีท่าทีองอาจเบื้องหน้าสายตาผู้นี้อย่างมากมาย

 

และเหล่าผู้พิทักษ์บุษผางามในตอนนี้แต่ละคนก็ได้ทอสีหน้าหวาดหวั่นไปทางด้านของเยี่ยจง เห็นได้ชัดคล้ายดั่งกับมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนใบหน้าของเขา

 

“องค์หญิงสามารถเรียกข้าได้ว่า ซิง(ดวงดาว)”เยี่ยจงครุ่นคิด จากนั้นก็ได้เปิดเผยนามออกมาตัวอักษรหนึ่ง

 

“ซิง”องค์หญิงจื่อหวินหลังจากที่ครุ่นคิดขึ้น จึงค่อยได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา”พี่ท่านมีท่าทางผ่าเผย ย่อมต้องมิใช่บุคคลสามัญธรรมดา การที่มีฉายานามเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน”

 

เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวตอบออกไป”องค์หญิงเกรงใจเกินไปแล้ว ได้ยินคำล่ำลือมาแต่เก่าก่อนว่าองค์หญิงมีความงดงามประดุจนาสวรรค์、ท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความชดช้อย ดุจดั่งเทพเซียนที่อยู่ท่ามกลางดวงเดือน ดวงดาวเป็นกระจ่างท่ามกลางยามค่ำคืน วันนี้เมื่อได้พบยังถือได้ว่าเหนือกว่าที่เล่าลือกัน อีกทั้งยังเรียกได้ว่าเสมือนดั่งพบเจอกับนางเซียนชิงหญิง หญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนซีฮวงเป็นต้น ที่เรียกได้ว่ายากจะแบ่งสูงต่ำได้”

 

องค์หญิงจื่อหวินหัวเราะคิกคักออกมาอย่างเงียบงัน นางย่อมต้องฟังออกถึงความหมายที่เยี่ยจงกล่าวออกมาเป็นเพียงคำพูดเกรงอกเกรงใจเท่านั้น ต่อมาก็ได้หัวเราะออกมาแล้วกล่าว”พี่ท่านชมเกินไปแล้ว ข้าเคยพบพานกับพี่สาวทั้งสองท่านมาก่อน ย่อมต้องมิอาจนำมาเทียบเปรียบได้ ดูจากท่าทางอันองอาจของพี่ท่าน คงจะมีความรู้จักมักคุ้นกับพี่สาวทั้งสองท่านใช่หรือ ?”

 

เยี่ยจงทั้งไม่ตอบคำทั้งไม่ปฏิเสธ เพียงแต่พยักหน้าตอบคำอย่างเป็นมารยาท กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ”ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า ตำนานอมตะอันเก่าแก่แห่งหุบเขาเมฆาม่วง ก็คือขุมกำลังอันแข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้ องค์หญิงมีที่มาจากหุบเขาเมฆาม่วง ย่อมต้องมีความเข้าใจที่มากเกินคนสามัญ ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีความเห็นใดต่อศิลาตะวันบริสุทธิ์ชิ้นนี้กัน ?”

 

หลังจากนั้นองค์หญิงจื่อหวินก็ได้เงียบงันลงครุ่นคิดอย่างช้าๆ จากนั้นจึงได้ตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา”ข้าก็วิเคราะห์ศิลาตะวันบริสุทธิ์ก้อนนี้อยู่หลายวันแล้ว แต่ว่ากลับมองไม่ออกว่ามีความพิเศษในบริเวณใด เพียงแต่ว่า ข้าก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่าท่ามกลางสิ่งที่อยู่ภายในศิลาตะวันบริสุทธิ์ได้ส่งเสียงร้องขึ้นมาต่างๆนาๆ อีกทั้งยังมีระดับจังหวะที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ดุจดั่งเสียงของพลังแขนงหนึ่งก็มิปาน”

 

เยี่ยจงเงียบงันลง พยักหน้าเห็นด้วยน้อยๆ จากนั้นเขาก็ได้หลับตาลงเพื่อที่จะสดับฟัง บนใบหน้าก็ได้ทอแววตาตื่นตกใจขึ้นมา นั้นก็เพราะว่าเสียงที่ได้พวยพุ่งเข้ามานั้นเป็นเสียงเดียวกันกับที่เข้าเคยได้ยินมาก่อนก็มิปาน เพียงแต่ว่ากลับมิได้สังเกตถึง แต่ว่าคิดไม่ถึงองค์หญิงจื่อหวินกลับสามารถมองออกได้ในส่วนนี้ อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองด้วย

 

“องค์หญิงทรงปราดเปรื้องยิ่งนัก ผู้น้อยขอชื่นชม”เยี่ยจงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา นี้ได้ทำให้เขาเกิดความยกย่องขึ้นมาอยู่ภายในจิตใจ ทั้งหมดนั้นเป็นจริงอย่างไม่แปลกปลอม จากนั้นหลังจากที่เขาได้ครุ่นคิดแล้ว จึงได้กล่าวตอบออกไป”ข้าใช้เวลามองสำรวจศิลาก้อนนี้ยังไม่ถือว่านานมากนัก แต่ว่ายังถึงกับสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตชนิดหนึ่งได้อยู่ หากว่าสามารถหล่อหลอมเข้ามาเป็นพลังแห่งพื้นฐานชีวิตได้ คงจะสามารถแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นทักษะเซียนแขนงหนึ่งได้ เพียงแต่ว่าพลังฝีมือของข้าเองนั้นต่ำต้อยเกินไป คงมิอาจที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”

 

“พลังแห่งพื้นฐานชีวิต ?”องค์หญิงจื่อหวินเกิดความตกใจขึ้นมาเล็กน้อย วินาทีนั้นนางก็ได้หลับตาลงเพื่อสัมผัส จากนั้นก็ได้ทำตามวิธีการที่แลกเปลี่ยนมากับเยี่ยจง ใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์ขึ้นมา

 

เหล่าผู้พิทักษ์บุษผาองค์ของหญิงจื่อหวินต่างก็คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนถึงกลับสามารถถกออกมาได้จนถึงขั้นนี้ได้จริง ไม่นานนักก็ได้เข้าร่วมวงสนทนา กล่าวออกมาถึงความคิดเห็นของตนเอง

 

เมื่อถกถึงหลักเหตุผล ความจริงเรียกได้ว่าถกกันได้อย่างออกรส นั้นก็เพราะว่าทุกๆคนนั้นมีพลังการฝึกปรือที่ต่างก็ไม่เหมือนกัน อีกทั้งพื้นฐานยังไม่เหมือนกันอีกด้วย เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ในด้านของมุมมองในการมองไปยังวัตถุเดียวกันจึงมีความเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะมีความตื้นลึกหรือสูงต่ำ ต่างก็มีความคิดในแนวทางเป็นของตนเองโดยทั้งสิ้น การถกกันเช่นนี้ถือได้ว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้เยี่ยจงมีความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นมาอย่างมาก

 

ไม่นานนัก ก็ได้มียอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่นๆเข้าร่วมวงสนทนาชนิดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน นั้นก็เพราะว่า โอกาสชนิดนี้ถือได้ว่ายากที่จะพบพาน โดยเฉพาะเป็นความคิดเห็นจากทางด้านของเยี่ยจงและองค์หญิงจื่อหวิน ที่สามารถวิเคราะห์ได้ถึงจุดที่สำคัญออกมาจนทำให้ผู้คนทอประกายดวงตาขึ้นมาได้

 

ไม่นานนัก ผู้คนมากมายทั้งหมดในพื้นที่แห่งนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนสีหน้าคิดใคร่ครวญไปตามๆกัน นอกเสียจากว่ามีอยู่ส่วนหนึ่งนั้นที่ตนเองยังมิสามารถที่จะเข้าถึงความลึกล้ำของภายในได้ จากนั้นก็ได้มีผู้คนมากมายเข้ามาสบทบเพื่อที่จะถกถึงปัญหาเช่นนี้เพิ่มขึ้น

 

“ตูม——”

 

ในสถานที่แห่งนี้ พริบตานั้น ประตูห้องก็ได้ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ในครั้งนี้กลับเพิ่มมาด้วยเด็กหนุ่มยอดฝีมืออยู่หลายคนเข้ามา พวกเขาดูไปแล้วต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีรูปร่างร่างกายมที่สูงใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกความเคลื่อนไหวแผ่ปคลุมความเยียบเย็นเข้ามา

 

เขากรอกสายตาไปมา จดในช่วงเวลาที่ได้ทอดลงไปยังบนร่างของเยี่ยจง พริบตานั้นก็ได้เกิดความเย็นแผ่ซ่านขึ้นมา พร้อมกับน้ำเสียงที่ได้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา”เจ้าเป็นใครกัน มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งอยู่ด้านข้างขององค์หญิงบ้านข้างั้นหรือ ไสหัวไป !”

 

“ยังมีพวกเจ้าเหล่ากลุ่มแมลงเม่า ภายในสามลมหายใจถ้าหากว่าไม่ไสหัวไปซะ ก็ตายไปเสียเถอะ !”

 

ทันใดนั้นผู้คนมากมายต่างก็โบกมือกันขึ้นมา สีหน้าของแต่ละคนต่างก็อยู่ในอาการปั้นยากขึ้นมา แต่ว่าไม่นานนักก็มีคนจดจำถึงศักดิ์ฐานะของเขาออก ต่างก็ถอยรนไปอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก แม้ต่เหล่ายอดฝีมือผู้พิทักษ์บุษผาต่างก็มีสีหน้าปั้นยากถอยรนออกไป มีแต่เพียงแค่เยี่ยจงที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ภายในสายตาก็ได้สาดประกายเย็นเยียบสว่างวาบ

 

กับบุคคลที่จองหองถึงเพียงนี้ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบพาน

 

“พี่ท่าน ท่านยังคงจากไปก่อนเถอะ คนผู้นี้เป็นถึงผู้คุ้มกันของหุบเขาเมฆาม่วง กล่าวกันว่าเขานั้นมีหน้าที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายขององค์หญิงจื่อหวิน เพื่อที่จะมิให้คนนอกเข้าใกล้ได้ตามอำเภอใจ”มีคนที่มีจิตใจดีกล่าวเตือนเยี่ยจง น้ำเสียงแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง

 

“ได้ยินแล้วหรือยัง ตอนนี้ก็ไสหัวไปซะ !”ในบริเวณทางด้านหลังของชายหนุ่มผมดำ ก็ได้มีคนเอ่ยปากหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบอย่างยิ่ง ดุจดั่งอสรพิษที่มีพิษร้ายก็มิปาน

 

“จื่อเฮ่า เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าและท่านพี่ซิงกำลังถกถึงปัญหากันอยู่ ที่เจ้ากระทำเช่นนี้ ยังคงถอยไปไม่ดีกว่าหรือ ?”องค์หญิงจื่อหวินสาดประกายแววตาความโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย นางส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แล้วตามด้วยการขมวดคิ้วน้อยๆ

 

“คุณชายตระกูลข้าได้มีคำสั่งมาว่า หากว่ามีชายหนุ่มหาญกล้าเข้ามาใกล้องค์หญิงท่าน ให้สังหารอย่างไร้ปราณี องค์หญิงท่านอย่าได้ทำให้ข้าลำบากเลย !”จื่อเฮ่าทำท่าคารวะไปทางด้านขององค์หญิงจื่อหวินอย่าเรียบง่าย บนใบหน้ามิได้เกิดความยกย่องแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้เกิดพลังชนิดหนึ่งก่อขึ้นมาจากภายในสายตาของเขา

 

องค์หญิงจื่อหวินก็ได้ทอสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้สาดทอความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเป็นสาย

 

“ช่างเถอะ เด็กน้อยผู้นี้ไม่ฟังที่แนะนำ ฆ่าทิ้งไปก็แล้วกัน !”จากนั้นเยี่ยจงก็ได้กวาดสายตาเข้าไป จื่อเฮ่าหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ได้กวาดมือออกไปคราหนึ่ง

 

“ตูม——”

 

หลังจากที่เงียบงัน ชายหนุ่มทางด้านหลังของจื่อเฮ่าหลายคนก็ได้พุ่งตัวออกมาในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังบริเวณทางด้านใกล้กับเยี่ยจง

 

“พวกเจ้าจัดการเลย !”

 

เยี่ยจงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ลุกขึ้นยืนขึ้นมา และในขณะนั้นเอง พลังที่ประดุจมังกรหลับไหลก็ได้ตื่นขึ้นมาแผ่พุ่งพลังความน่าหวาดกลัวออกมาจากร่างกายของเยี่ยจงแผ่กระจายออกไป เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หลายคนนั้นที่กำลังคิดจะลงมือก็ได้กระอักโลหิตถอยออกไปทางด้านหน้า ล้มทรุดจนต้องคุกเข่าลงบนพื้น บนใบหน้าก็ได้ปรากฏแววตาที่ยากจะเชื่อได้ลงออกมา

 

ต่อให้เป็นจื่อเฮ่าที่พึ่งจะอาลาวาดอยู่เมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ก็ได้มีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุดขึ้นมาในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาก็คิดไม่ถึง ในสายตาของเขาที่เป็นกับว่าสามารถบีบให้ตายได้เหมือนดั่งแมลงเพียงตัวหนึ่ง ถึงกลับมีความแข็งแกร่งจนยากที่จะคาดคิดได้ถึงเพียงนี้ !

 

“เจ้าจบสิ้นแล้ว !”

 

จื่อเฮ่าหันกลับมายิ้มอย่างโกรธเคือง บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความดุร้ายขึ้นมา ก้าวออกไปทางด้านหน้า

 

“ข้าในตอนนี้จะฟันเจ้าทิ้ง หากว่าเจ้ากล้าสวนกลับ ไม่เพียงแต่เจ้าที่จบสิ้น แม้แต่ตระกูลของเจ้า สำนักของเจ้า ก็จะไม่หลงเหลือแม้แต่คนเดียว !”

 

เยี่ยจงทอสีหน้าเยียบเย็น เขาส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา พลิกมือขวากวาดออกไป แล้วก็ได้พบเห็นพลังปราณกลายรูปลักษณ์เป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ กวาดเข้ากดดันเข้าไปบริเวณทางด้านหน้า แล้วก็ได้ยินเสียงของการปะทะขึ้นมาเสียงหนึ่ง จื่อเฮ่าก็ได้ถูกกดจนล้มลงไปติดกับพื้นในทันที ไม่อาจขยับเขยื้อนได้

 

เยี่ยจงค่อยๆก้าวเดินออกไป จับเข้าไปที่คอหอยของเขาแล้วยกขึ้นมา จากนั้นก็พลิกฝ่ามือตบเข้าไปที่ปากของเขาหลายสิบฉาด

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-11 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset