ตอนที่ 434 การปรากฏของตำนานเล่าขานแห่งจักรพรรดิฟ้า
เยี่ยจง ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ ถูกเรียกขานว่าเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้แห่งเผ่ามนุษย์ที่ถูกทำลายไป นามเหล่านี้เปล่งเป็นประกายปกคลุมไปทั่วสี่แดน ก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาที่ยังมิได้เข้าสู่พลังในขอบเขตก่อฟ้า เขาก็ได้ถูกขนานนามว่าไร้ผู้ต้านในรุ่นเดียวกัน และตอนนี้ไม่แต่เพียงสำเร็จพลังเข้าสู่ระดับก่อฟ้าแล้วเท่านั้น อีกทางยังสำเร็จสู่ระดับอีกครึ่งก้าวสู่ระดับราชัน ยิ่งไปกว่านั้นยังฝึกปรือพลังพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ
ได้ หากมองในระดับนี้แล้ว เขาก็ถือได้ว่ามีคุณสมบัติในระดับที่ไร้ผู้ต้านก็ว่าได้ อย่างน้อย ภายใต้สถานการณ์การลงมือด้วยพลังทั้งหมดของเขา ภายในระดับอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน น้อยนักที่จะมีคนที่สามารถที่จะต้านทานพลังกดดันของเขาได้ ตอนนี้ เกรงว่าต่อให้ยอดฝีมือระดับมหาราชันปรากฏขึ้นมาจริง จึงจะพอสามารถที่จะกดดันเขาได้
แต่ว่าน่าเสียดาย ตอนนี้ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุดก็มีแต่มนุษย์ผิวสีเขียวและราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่ ก็ยังอยู่ในระดับขอบเขตของราชาเท่านั้นเอง อีกทั้งยอดฝีมือคนอื่นๆ อีกหลายตน ถึงแม้ว่าจะมีพลังพื้นเพอันแข็งแกร่งก็ตาม ฝึกปรือมาจากแดนลับแลไม่สูญสลาย แต่ว่า พวกเขาก็ยังมีพลังฝีมือในระดับอีกครึ่งก้าวสู่ระดับราชันเท่านั้น ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยจง แน่นอนว่าไม่ว่าจะอย่างไร้ก็แทบจะดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หากมองในระดับเช่นนี้แล้ว ท่ามกลางอายุรุ่นเดียวกัน นอกเสียจากว่าจะมีการปรากฏขึ้นมาของร่างเทวะ หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอันชั่วร้ายบางอย่างขึ้นมา ไม่เช่นนั้น การต่อสู้เพียงตัวต่อตัว คงยากที่จะมีผู้ใดที่จะต่อกรด้วยได้
“พวกเจ้าไม่ไหวเลยนะ ”
คำพูดที่กล่าวออกมานั้นทั้งเรียบง่ายแต่ก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ นี้มิใช่เป็นความเชื่อมั่นของเยี่ยจง แล้วก็มิใช่การไม่เห็นอยู่ในสายตาของเขา เขาก็แค่เพียงกล่าวเรื่องที่เป็นความจริงออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาเท่านั้นเอง
และการบอกกล่าวออกมาด้วยความเรียบเฉยเช่นนี้เอง กลับทำให้ราชาปีศาจและอัจฉริยะต่างก็มีร่างกายที่สั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ
“เยี่ยจง เจ้าในเมื่อกลายเป็นร่างเทวะในตำนาน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว ต่อให้นอกเสียจากว่าเจ้าจะสามารถสังหารข้าลงได้ในวันนี้ วันข้างหน้าก็ยังมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนในการไล่ล่าสังหารเจ้า นั้นก็เพราะว่า คงจะไม่มีผู้ใดยอมเอาแต่มองดูการปรากฏตัวขึ้นมาของร่างเทวะหรอก ที่เพียงพอที่จะมีพลังในการกดดันพวกเขาได้นับหลายร้อยปี ” หยินหลิงจื่อทอสีหน้าซับซ้อนขึ้นมาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความอิจฉา ทั้งยังแฝงด้วยความเยียบเย็น เขาก็ยังกล่าวออกมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง
“งั้นหรือ?” เยี่ยจงกวาดสายตามองไปที่เขา ทอสีหน้าราบเรียบอย่างยิ่ง “พูดเหมือนกับว่าข้ามิใช่ร่างเทวะ คนเหล่านั้นก็จะไม่ไล่ล่าสังหารข้าอย่างนั้นกระมั่ง? เจ้าคิดว่า ในมุมมองของข้านั้น มีอะไรแตกต่างกัน?”
หยินหลิงจื่อสุ่มเสียงสั่นเทา ทันใดนั้นก็กล่าวอะไรไม่ออก เป็นอย่างที่เยี่ยจงกล่าวออกมาทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะมิใช่ร่างเทวะ ขุมกำลังมากมายก็ไม่อาจที่จะปล่อยเขาเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเหล่าขุมกำลังทั้งหลายที่ล้อมโจมตีลัทธิแห่งดวงดาวเมื่อครั้งก่อน หากว่าไม่สังหารเขาแล้วละก็ คงจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน
“เยี่ยจง ตำนานแห่งร่างเทวะ ยากที่จะพบเจอในรอบพันปี หากว่าเจ้ายินยอมตอบรับที่จะเข้าร่วมกับแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ข้า แดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ข้าก็จะยินยอมออกหน้าให้ เพื่อที่จะไกล่เกลี่ยความแค้นกับขุมกำลังมากมายเหล่านั้น ” นางเซียนชิงหญิงกล่าวขึ้นมากะทันหัน นางทอแววตาเป็นประกายแวววับ นางที่คิดว่าแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง ย่อมต้องมีความเข้าใจต่อการแสดงน้ำใจเช่นนี้ออกมาแน่
“ไกล่เกลี่ยความแค้นงั้นหรือ?” เยี่ยจงหัวเราขึ้นเบาๆ “ขอเรียนถามนางเซียนชิงหญิง เจ้าได้เตรียมที่จะลบล้างแดนลับแลอีกนับสิบไปให้หมดอย่างงั้นหรือ หรือจะบอกว่า ตระเตรียมที่จะเรียกทุกๆ คนเหล่านั้นมาเพื่อร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันกันแน่ ทำเหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นมาอย่างงั้นหรือ?”
อัจฉริยะมากมายก็ได้ทอสีหน้าหวาดผวาขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ก็ฟังออกได้ถึงความหมายที่แฝงเอาไว้เมื่อได้ฟังน้ำเสียงมาจากคำพูดของเยี่ยจง
“หมื่นเรื่องราว ย่อมต้องมีคุณค่าในตัวของมันเอง ” นางเซียนชิงหญิงถอนหายใจออกมา “แดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ข้านั้นยินยอมที่จะตัดขาดจากทางโลก ปิดกั้นการติดต่อกับขุมกำลังเหล่านั้น ส่งมอบมือดีที่ได้ลงมือไปเมื่อวันนั้นออกมา ขอเพียงแค่เจ้ายินยอมที่จะเข้าร่วมกับแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ข้า ”
“ไม่จำเป็น ” เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่ารอยยิ้มนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง “ข้ามีข้อเสนอ แดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์เจ้าต่อให้แข็งแกร่งไม่ดับสูญแค่ไหน ก็ยังไม่อาจที่จะทำได้! สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ การหลั่งโลหิตเป็นสายธารของขุมกำลังเหล่านั้น แม้แต่ไก่สุนัขก็ไม่หลงเหลือ ข้าต้องการทำให้ลัทธิแห่งดวงดาวไปที่จำตามองของสี่ดินแดน อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ”
หลังจากที่สิ้นเสียง อัจฉริยะมากมายต่างก็ร่างกายสั่นเทาขึ้นมา โดยเฉพาะบุตรมารอัสนี เยว่จิ่ง ชิงยี่ทั้งสาม ยิ่งมีการปรากฏของอาการสั่นเทาของร่างกายขึ้นมาเป็นสาย ตอนนี้หลังจากการกล่าวออกมาของเยี่ยจง พวกเขาราวกับมองเห็นลัทธิสำนักขุนเขาของตนเองมีศพกองเป็นภูเขาโลหิตหลั่งราวมหาสมุทร กลายเป็นดั่งแดนมรณะ ภาพทิวทัศน์นั้น เพียงแค่การคิด ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความแตกตื่นภายในจิตใจได้แล้ว
และในสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด และที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้แน่นอนว่าย่อมต้องเป็น เยี่ยจงเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ หากว่าไม่อาจที่จะยับยั้งขึ้นมาได้ ปล่อยให้สำเร็จระดับมหาราชันขึ้นมาแล้วละก็ เช่นนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีคุณสมบัติพอที่จะกระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้!
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ จำเป็นที่จะต้องแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาขนาดนี้เชียวหรือ ” โหยวเหลียนก็ได้หัวเราะขึ้นมาเบาๆ อย่างกะทันหัน ภายในรอยยิ้มก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยความหมายชั่วร้ายส่วนหนึ่ง “หากว่าเจ้ายอมที่จะเข้าร่วมกับลัทธิเทพแดนลี้ลับข้าแล้วละก็ ลัทธิเทพแดนลี้ลับข้าเริ่มเปิดการใช้งานของตำหนักโบราณที่สุดให้แก่เจ้า ให้เจ้าได้เข้าสู่การฝึกปรือในสถานที่ที่ดีที่สุด ให้สมบัติเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดแก่เจ้า……และก่อนที่เจ้าจะเข้าสู่ระดับมหาราชัน ลัทธิข้าจะคอยปกป้องคุ้มครองให้ มิให้มีผู้ใดความหาญกล้าที่จะเข้ามารบกวนการฝึกปรือของเจ้า อีกทั้งหลังจากเข้าสู่ระดับมหาราชันแล้ว เจ้าต้องการจะทำอันใด ก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า ”
“ขอบคุณในความเมตตากรุณาของนางเซียน ” เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขานั้นย่อมต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อโหยวเหลียนอยู่หลายส่วน “น่าเสียดาย ยอดฝีมือที่แท้จริงย่อมมีเส้นทางของตนเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินเข้าไป อีกทาง ข้าขอรับเอาไว้แต่เพียงแค่ไมตรีเช่นนี้เอาไว้ ในช่วงที่ข้าเข้าสู่ระดับอีกครึ่งก้าวสู่ระดับราชัน จะทำให้พวกเขาทั้งสำนักลัทธิตระกูลกินไม่ได้นอนไม่หลับ;เมื่อข้าเข้าสู่ระดับราชัน จะทำให้ยอดฝีมือระดับราชันของพวกเขาตายลงไปนับไม่ถ้วน;เมื่อวันที่ข้าสำเร็จสู่ระดับมหาราชัน ข้าจะทำให้พวกเขาหลั่งโลหิตดั่งลำธาร ”
หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงละสายตากลับมา จนมาถึงยังบนร่างกายของอัจฉริยะทั้งสี่คน จากนั้นเขาก็ได้หัวเราะขึ้นมาเบาๆ : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วาจาไร้สาระก็พอแต่เพียงแค่นี้เถอะ ขอเริ่มจากพวกเจ้าหลายคนก่อนก็แล้วกัน ”
หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว บนร่างกายก็ได้ปรากฏพลังอักขระขึ้นมาเป็นสาย ทอประกายสีทองแผ่กระจายออกมา ประดุจการก้าวเดินของเทพราชาเยาว์วัยสู่ดินแดน
“ตูม——”
อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ถอยจนไม่อาจถอยได้อีก ได้แต่เพียงหาจังหวะช่วงเวลาในการผนึกกำลังโจมตีออกไป แต่ว่าสีหน้าของพวกเขานั้นกลับปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“เยี่ยจง เจ้าอย่าได้ลำพองมากเกินไป ใต้ผืนฟ้านี้ มิได้มีแต่เพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่มีร่างเทวะ แล้วก็มิได้มีแต่เพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่สามารถฝึกจนสามารถใช้พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะได้! ไม่เพียงแต่แค่ตำหนักอัสนีลี้ลับ
ข้าเท่านั้น ลูกศิษย์ที่เร้นกายของแต่ละสำนักใหญ่ต่างก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าคิดว่าจะสามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้อย่างงั้นหรือ? ช่างพูดเหมือนกับคนกำลังฝันเลย!” บุตรมารอัสนีก็ได้ทอประกายร่างแห่งมารขึ้นมา ในขณะนั้น เขาก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นมาข้างหนึ่ง ก็ได้มีคมอัสนีอันน่าหวาดกลัวพวยพุ่งออกมา เคลื่อนไหวลงมือตามความเคลื่อนไหวของเขาออกไป
เยี่ยจงเหม่อมองไปที่เขา ทอสีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็ได้ยกมือชี้นิ้วออกไป
“กร๊อบ——”
ท่ามกลางอากาศ ประกายแสงคมกล้าสีทองก็ได้พวยพุ่งออกมา ไม่นานนัก มังกรทองคำทั้งเก้าตัวก็ได้ปรากฏขึ้นมา พัวพันกันขึ้นมา กลายเป็นตราแห่งราชาแดนมนุษย์ขนาดใหญ่ ภายในตราแห่งราชาแดนมนุษย์ ก็ได้มีตัวอักษรโบราณทั้งสี่ ศรัทธา สวรรค์ สดุดี โชคลาภ เปล่งประกายขึ้นมาดุจมีชีวิต
“ฝุบ——”
ตราแห่งราชาแดนมนุษย์ในตอนนี้ก็ได้กดทับลงมา เข้าปะทะกับพลังอสนีบาตของบุตรมารอัสนีจนแตกกระจายออกมา ในครั้งนี้ เขาไม่ทันที่จะหลบหนี ตราแห่งราชาแดนมนุษย์ก็ได้กดลงมาที่ศีรษะลงไป จนบดบี้ชิ้นส่วนบนร่างกายของเขากลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลว
“อา——”
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดก็ได้ดังขึ้นมา จิตวิญญาณของบุตรมารอัสนีก็ได้หลุดลอยไป มุ่งหน้าถอยออกไปบริเวณทางด้านหลัง: “เยี่ยจง ข้าจะต้องกลับมาแน่!”
“ข้าได้บอกไปแล้ว ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าได้คิดจากไปเลย!” เยี่ยจงทอสีหน้าเย็นเยียบอย่างยิ่ง เขาชี้นิ้วออกมาอีกครา ในครั้งนี้ ประกายกระบี่อันคมกล้าก็ได้พวยพุ่งออกมา แล้วก็ได้ยินเสียงดัง “ฝุบ” ดังขึ้นมา บุตรมารอัสนีที่เป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่ง จิตวิญญาณนั้นก็ได้เลือนหายไป
หยินหลิงจื่อ ชิงยี่ เยว่จิ่ง ราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่ มนุษย์ผิวสีเขียว ทุกผู้คนในที่แห่งนี้แต่ละคนตอนนี้ต่างก็มีร่างกายที่สั่นเทา พลังฝีมืออันแข็งแกร่งจนเกินไปเช่นนี้ พวกเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยากลับคืนมา บุตรมารอัสนีก็ได้ถูกสังหารลงไปแล้ว
“ตูม——”
ทันใดนั้น บนพื้นดินก็ได้ปะทุประกายแสงอันคมกล้าขึ้นมาอีกครั้ง พริบตานั้นที่ซากศพของบุตรมารอัสนีที่ตายลงไปนั้น ซากศพของเขาก็ได้กลายเป็นเพียงโลหิตไหลเวียนอย่างสั่นไปพร้อมกับซากศพของเหล่าราชาปีศาจเหล่านั้นในเวลาเดียวกัน โลหิตแต่ละสายก็ได้ไหลเวียนรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วออกมา หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ไหลเวียนออกมารวมกันอยู่ทางด้านบนของตามเส้นทาง และในเวลาเดียวกันนี้ ก็ได้มีบรรยากาศบางอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาจากทางด้านของแท่นบูชาเป็นกลุ่ม จนทำให้ทั่วทั้งตำหนัก ราวกับเกิความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนเดิมอยู่หลายส่วน
“ไอ้หนู ไม่ต้องฆ่าแล้ว รีบมาแย่งชิงสมบัติในตำนานเร็ว ” เสี่ยวหลุนส่งเสียงดังขึ้นมายังภายในห้วงสมองของเยี่ยจง
เยี่ยจงหันกายไปอย่างรุนแรง สายตาทอดมองไปยังด้านบนของแท่นบูชา ก็พบว่า ตอนนี้ทางด้านบนของแท่นบูชาที่เก่าแก่โบราณ เดิมทีที่มีพลังอักขระไหลเวียนอย่างวุ่นวายก็ได้เริ่มต้นแผ่ขยายออกมา หลั่งไหลอยู่บนร่างกายของคนชุดทอง และคนชุดทองนั้นที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนพื้นอยู่ในตอนนี้ ประดุจดั่งเข้าสู่หลักคำสอนอย่างหนึ่งของขอบเขตหนึ่งอยู่ก็มิปาน
ในเวลาเดียวกัน ยันต์อักขระที่วุ่นวายเหล่านี้ ก็ได้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่อาจที่จะตรวจพบถูกเสี่ยวหลุนดึงดูดเข้าไป
ระหว่างที่อักขระกำลังจะหายไป ไม่นานนัก ผู้คนมากมายก็เห็นได้อย่างชัดเจน ด้านบนของแท่นบูชานั้น ถึงกับมีการปรากฏของทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาสองชิ้น ทองสัมฤทธิ์กลายสภาพเป็นดั่งสมุดปกแข็ง ทางด้านบนก็ได้มีการไหลเวียนของพลังอักขระไหลเวียนออกมาเป็นสาย
“ตำนานเล่าขานแห่งจักรพรรดิฟ้าตะวันตก!”
ในขณะนี้เอง ในที่สุดก็ได้มีคนตะโกนขึ้นมา แล้วก็ได้ยินเสียง “ตูม” ดังขึ้นมา ชิงหญิง โหยวเหลียน จินเฉิง จินยี่เป็นต้นที่อยู่ทางด้านหลังต่างก็พุ่งฆ่าสังหารออกไปเป็นอันดับแรก มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนนอกแท่น นั้นก็เพราะว่าทุกผู้คนต่างก็เข้าใจ ตอนนี้ได้ปรากฏตำนานเล่าขานแห่งจักรพรรดิฟ้าตะวันตกแล้ว แน่นอนว่ายอมไม่อาจที่จะพลาดไปได้
“เยี่ยจง หากมีโอกาสจะขอรับคำชี้แนะอีกครั้ง ในครั้งนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน!” หยินหลิงจื่อทอประกายดวงตาแวววับ พริบตานั้นก็ได้พุ่งออกไป พุ่งผ่านเยี่ยจงไปในทันที มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณส่วนนอกของแท่นเข้าไป หลงเหลือไว้แต่เพียงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งหลายคนที่อยู่ในตอนนี้ก็ไม่คิดที่จะหาเรื่องกับเยี่ยจงเพื่อสร้างความยุ่งยากใส่ตัว แต่ละคนก็ได้ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
“ฮาฮาฮา คิดไม่ถึงว่าตำนานเล่าขานแห่งจักรพรรดิฟ้าตะวันตกถึงกับจะปรากฏขึ้นมาจริง!” พลังความน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งก็ได้มีเสียงดังของการพวยพุ่งออกมาดังขึ้นมา วินาทีนั้น ก็ได้พบว่าบริเวณที่เป็นเส้นทางของตำหนัก ก็ได้มีรชาปีศาจหลายตนพุ่งสังหารออกไป มีทั้งราชาพยัคฆ์ขาว ราชากระเรียนเพลิง ราชาฮูเจรียวเป็นต้น เกือบที่จะมีราชาปีศาจรวมทั้งสิ้นสิบตน ราชาปีศาจเหล่านี้มีจิตใจที่ลึกซึ้งมาก ก่อนหน้านี้ต่างก็อดทนรอคอยไม่ออกมาโดยตลอด รอคอยจนถึงช่วงเวลาสำคัญจึงได้พุ่งฆ่าสังหารออกมา
เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา ราชาปีศาจทั้งเกือบสิบตนนี้ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเหนือความคาดเหมายของเขาแทบจะทั้งสิ้น แม้แต่เขาเองก็ตรวจสอบพบได้เมื่อไม่นานนัก เห็นได้ชัดว่าราชาปีศาจเหล่านี้ย่อมต้องมีพลังฝีมือที่พิเศษเฉพาะอย่างแน่นอน เขาทอประกายแววตาเจิดจ้า พริบตานั้นเองก็ได้ถอยออกไปบริเวณทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ฉกเบื้องหน้าสายตานั้นถือได้ว่าอยู่ในระดับที่วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่สมุดทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นมีรูปลักษณ์ขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมิใช่เรื่องที่ดีอันใด คิดที่จะนำมันออกไปเรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ
“ฮาฮาฮา——”
หยินหลิงจื่อออกตัวทีหลังกลับถึงก่อน ถึงกับเป็นบุคคลแรกที่พุ่งกายไปจนถึงด้านบนของแท่นบูชา เขายื่นมือออกไปคราหนึ่ง คว้าจับไปยังสมุดทองสัมฤทธิ์ชิ้นหนึ่ง อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างยาวนานมิได้
แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้หัวเราะขึ้นมา วินาทีนั้น ราชาปีศาจหลายตนที่พึ่งเข้ามาใหม่ก็ได้พุ่งเข้าสังหารเข้ามาในพริบตา จนก่อเกิดพลังความเคลื่อนไหวอันน่ากลัวจากการโจมตี
ใบหน้าของงดงามของหยินหลิงจื่อในตอนนี้ก็ขาวซีดลง อย่าว่าแต่เขาที่ก่อนหน้านี้สูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก ต่อให้เขาอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อม แต่การต้านทานราชาปีศาจหลายตนนี้ที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น ตอนนี้เขาถึงแม้จะได้ครอบครองสมุดทองสัมฤทธิ์เป็นคนแรก แต่ว่ากลับทราบว่าตนเองแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะนำออกไป หากว่ายังแข็งขืนแล้วละก็ จะมีแต่เพียงทำให้ตนเองตายไปได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
พริบตานั้นเอง เขาราวกับมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาในพริบตา แล้วก็ได้กวาดมือซ้ายออกไปคราหนึ่ง ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏความเคียดแค้นขึ้นมาเป็นสาย ในมือที่ถือสมุดทองสัมฤทธิ์เอาไว้ก็ได้โยนเข้าไปบริเวณทางด้านที่เยี่ยจงกำลังเข้ามา เห็นได้ชัดว่า เขาทราบอย่างกระจ่างว่า ตอนนี้สมุดทองสัมฤทธิ์นี้มิใช่วัตถุสมบัติอันใด เพียงแต่เป็นประดุจดั่งคมดาบที่คอยช่วงชิงชีวิต ผู้ใดที่ได้ครอบครองเอาไว้ จะกลายเป็นผู้ที่จะต้องตายลงเป็นผู้แรก
.
.
.
.