ตอนที่ 438 บุตรจักรพรรดิ
ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ต่างก็เกิดการไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ไม่นานนัก กลุ่มอัจฉริยะและราชาปีศาจก็ได้เข้าสู่ความวุ่นวายติดต่อกัน นั้นก็เพราะว่าสมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่มนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่อาจที่จะยอมให้มีผู้คนผิดพลาดไปได้
เพียงแต่ว่าในครั้งนี้กลับไม่มีผู้ใดคิดที่จะลงมือต่อเยี่ยจง นั้นก็เพราะว่าพวกเขาต่างก็เข้าใจอย่างกระจ่าง ตอนนี้เยี่ยจงยกแท่นบูชาขึ้นมาได้ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด แต่ว่า พวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำเป็นไม่เห็นได้ เพียงแต่เพ่งสมาธิที่สมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่ม
“พวกเจ้าแย่งกันเถอะ แย่งชิงกันไป ยังไงเสียภายในก็มิได้มีสิ่งของสำคัญอันใดอยู่แล้ว ” เยี่ยจงหัวเราะขึ้นมาภายในใจอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ได้ยกแท่นบูชาขึ้นหันกายเตรียมจะจากไป
“เฮอะ ไม่ถูกต้อง!”
ทันใดนั้น เยี่ยจงก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างอย่างชัดเจน ตนเองยกแท่นบูชาขึ้นมาวางเอาไว้อยู่บนบ่าในตอนนี้ก็ได้เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับคิดที่จะหลบหนีก็มิปาน เขามีสีหน้าเปลี่ยนไป ใช้ทั้งสองมือคว้าจับในเวลาเดียวกัน แล้วก็ใช้ออกมาด้วยพลังอักขระตราผนึกนภาขึ้นมา หมายมั่นที่จะผนึกวัตถุชิ้นนี้เอาไว้
อีกบริเวณทางด้านของสองวงล้อมการต่อสู้อันวุ่นวาย ในเวลาเดียวกันก็ได้เกิดเสียงตกใจดังขึ้นมา แล้วก็ได้พบว่าสมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่มได้เกิดสั่นไหวเบาๆ ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทอประกายแสงออกมา มุ่งหน้าเข้ามายังแท่นบูชาที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้เข้าไปยังบริเวณทางด้านหน้าของคนชุดทอง ที่ปรากฏตัวลอยอยู่ท่ามกลางอากาศอย่างไม่หยุดนิ่ง
“นี้คือ——”
อัจฉริยะและราชาปีศาจมากมายต่างก็หน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ผู้คนทั้งหมดต่างก็ลำบากลำบน ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงเพื่อที่จะไขว่คว้าไปยังโอกาสวาสนานี้มา แต่ก็คิดไม่ถึงว่า สถานการณ์ในตอนนี้กลับมีความเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ สมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่มนั้นที่มีความสำคัญที่สุด มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องบันทึกวัตถุที่เป็นตำนานของจักรพรรดิฟ้าตะวันตกเอาไว้ กลับต้องลอยกลับไปเช่นนี้
“ข้าไม่เชื่อ!”
มีราชาปีศาจอดทนเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่อาจสงบสติเอาไว้ได้ เขาก้าวออกไปยาวๆ แล้วก็ได้กางกรงเล็บที่เท้าออกมา คิดที่จะนำสมุดทองสัมฤทธิ์กลับมา แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ บริเวณที่แท่นบูชาอยู่เมื่อครู่นั้น ก็ได้ฟื้นคืนพลังแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง พึ่งจะก้าวเข้าไปยังไม่ถึงสามก้าว ราชาปีศาจตนนี้ก็ได้ล้มตัวลงกระอักโลหิตถอยออกมา ทอสีหน้าดุร้ายขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“นี้……พลังจากการบูชาได้หมดสภาพแล้ว?” อัจฉริยะและราชาปีศาจมากมายต่างก็กล่าวอันใดไม่ออกขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ฉากเบื้องหน้านี้ถือได้ว่าอยู่นอกเหนือการคาดเดาไปแล้วอย่างมาก ไม่มีผู้ใดที่คาดคิดถึง ว่าถึงกับมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ จนทำให้ผู้คนเกิดอาการขนลุกขนพองขึ้นมา
หรือว่า คนชุดทองผู้นี้จะเป็นจักรพรรดิฟ้าตะวันตกกลับชาติมาเกิดจริงอย่างงั้นหรือ?
“ข้าเคยได้ยินได้ฟังคำเล่าขานในสมัยก่อนมา นับจากโบราณมาจนบัดนี้ หลังจากที่มีจักรพรรดิฟ้าทั้งห้า ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีการปรากฏของจักรพรรดิฟ้าขึ้นมา อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นการหวนกลับชาติมาเกิดมาก่อน คนผู้นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นจักรพรรดิฟ้าตะวันตกกลับชาติมาเกิด ” นางเซียนชิงหญิงก็ได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา ถึงแม้ว่าจะไม่อาจที่จะแน่ใจได้ แต่ว่านางก็ยังคงขมวดคิ้วดกดำขึ้นมา เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างยิ่ง
เยี่ยจงที่กำลังยกแท่นบูชาเอาไว้อยู่ ก็ได้ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หวนนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เขาก็ไม่อาจที่จะทำความเข้าใจได้ ตนเองอย่างน้อยก็เคยมีประสบการณ์การเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดมาก่อน และหากกล่าวย้อนถึงคนที่เป็นจักรพรรดิฟ้าตะวันตก เขาก็ไม่อาจทราบได้ว่าสมควรที่จะเชื่อหรือไม่ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม เขาก็ยังคงตัดสินใจถอยหลังไป ไม่ว่าบุคคลผู้นี้แท้จริงแล้วจะเป็นผู้ใด ก็คงจะต้องมีความอันตรายมากมายอย่างถึงที่สุด
“ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว!” ราชาเก้าหงสาที่กระอักโลหิตอยู่ก็ได้ลุกขึ้นมา มันนั้นถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ดั่งเดิมที่อยู่ภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ ย่อมต้องทราบถึงความลี้ลับส่วนหนึ่ง มันจ้องมองเข้าไปยังทางด้านของคนชุดทองนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตามคำเล่าขาน จักรพรรดิฟ้าตะวันตกนั้นมีบุตรจักรพรรดิอยู่ ถูกใช้พลังฝีมือในการผนึกด้วยตนเอง เพื่อที่จะหลงเหลือเอาไว้สู่ดินแดนในภายหน้า คนผู้นี้ เกรงว่าคงจะต้องเป็นบุตรจักรพรรดิตามคำเล่าขานแล้วกระมั่ง?”
ผู้คนมากมายต่างก็หน้าเปลี่ยนสี เหม่อมองไปยังคนชุดทองนี้ นั้นก็เพราะว่าการปรากฏตัวของเขานั้นถือได้ว่าเป็นอันตรายอย่างมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยความที่ไม่อาจที่จะแยกแย่งมิตรศัตรู หากมองในสถานการณ์เฉกเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีความเป็นไปได้
ควรทราบว่า นับจากโบราณกาลจวบจนบัดนี้ ก็ได้ผ่านพ้นล้วงเลยเวลาไปนับไม่ถ้วน แล้วยังมีตำนานการเล่าขานของจักรพรรดิฟ้าทั้งห้าที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในดินแดน ตามคำเล่าขานจักรพรรดิฟ้าตะวันตกที่เป็นดั่งใจกลางของสุสาน ไม่ว่าจะเป็นอันใดก็สามารถที่จะเป็นไปได้
“จักรพรรดิฟ้า ข้าไม่เชื่อ แกล้งเป็นเทพปลอมเป็นผีสาง ตำนานนี้ ต่างก็เป็นของเผ่าพันธุ์ของพวกข้า!” ราชาฮูเจวียนทันใดนั้นก็ได้หัวเราะเสียงเย็นชา มันก้าวออกไปก้าวหนึ่ง อ้าปากขึ้นมา แล้วก็ได้มีลำแสงน้ำแข็งกระแทกเข้าไป มุ่งหน้าเข้าสังหารไปยังบริเวณทางด้านของคนชุดทองนั้น ในเวลาเดียวกันมันก็ได้กวาดหางปลาขนาดใหญ่เข้าไป หมายมั่นที่จะช่วงชิงการปรากฏของสมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่ม
“กร๊อบ——”
ในขณะนั้นเอง คนชุดทองนั้นราวกับหันกายคราหนึ่ง ก็ได้กวาดเข้าไปยังทางด้านของราชาฮูเจวียนอย่างรุนแรง แล้วก็ได้ยินเสียงดัง “เปรี้ยง” ดังขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดสภาวะความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดกลัวอย่างไร ร่างกายของราชาฮูเจวียนก็ได้แตกกระจายไปในทันที กลายเป็นเพียงแอ่งโลหิตแอ่งหนึ่ง
ราชาปีศาจผู้นี้ ก็ได้ถูกฆ่าสังหารตายไปด้วยสภาพเช่นนี้เอง มิได้มีท่าทีของการขัดขืนได้เลย อีกทั้งยังไร้ซึ่งสุ่มเสียงการแจ้งเตือน ราวกับว่าเป็นอะไรที่ไร้กฎเกณฑ์ก็มิปาน
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะมากมายหรือว่าราชาปีศาจ ตอนนี้แต่ละคนก็ได้มีอาการสั่นเทาขึ้นมาทั่วทั้งสรรพร่างกาย ฉากเบื้องหน้านี้ เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนชุดทองนั้นแท้จริงแล้วมีการคงอยู่ในระดับใดกัน? เพียงแต่ว่าการมองด้วยหางตาเท่านั้น ก็สามารถที่จะฆ่าสังหารราชาปีศาจตนหนึ่งไปได้ พลังฝีมือเช่นนี้ถือได้ว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเกิดความตกใจขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย อย่างที่ไม่อยากจะเชื่อลงได้
“ตูม——”
เวลานี้เอง สีหน้าของเยี่ยจงก็ได้ปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แท่นบูชาที่ถูกแขนของเขายกอยู่ในตอนนี้ก็ได้อยู่ในสภาวะที่สั่นไปมา ต่อให้เป็นหนึ่งในสิบวิชามนต์ตราเทพอย่างตราผนึกนภาผนึกกดดันเอาไว้ แท่นบูชานี้ก็ยังคงแข็งขืนไม่หยุด ราวกับในครั้งแรกที่ได้ถูกผนึกเอาไว้ ก็ได้หวนเปลี่ยนกลับเข้าไปยังห้วงความคิดของคนชุดทอง
เยี่ยจงมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครา เขาทราบได้อย่างกระจ่างว่า คิดที่จะนำแท่นบูชานี้จากไปในวันนี้ย่อมยากเย็นอย่างถึงที่สุดแล้ว เพียงแต่ว่าเขาก็ไม่แยแสสนใจ กลับไม่ยินยอมที่จะพลาดจากแท่นบูชานี้ กระนั้นแท่นศิลาสัจธรรมขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากจะปรากฏขึ้นในดินแดนก็ว่าได้
ราชาปีศาจและอัจฉริยะคนอื่นๆ ก็ราวกับสัมผัสอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในเวลาเดียวกัน เหม่อมองเข้าไปยังทางด้านของเยี่ยจงราวกับจะพบกับจุดจบก็มิปาน ตอนนี้ฉากเบื้องหน้าเห็นได้ชัดเป็นอย่างยิ่ง หากยังจะช่วงชิงแท่นบูชานั้นไม่หยุด อย่างน้อยก็จะต้องเป็นสมบัติสูงสุดในระดับเดียวกันกับสมุดทองสัมฤทธิ์ทั้งสองเล่ม
เพียงแต่ว่า ฉากที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ถือได้ว่าทำให้ผู้คนเกิดอาการแตกตื่นไม่เสื่อมคลาย ในขณะนั้นเอง มีคนต่อให้คิดที่จะลงมือออกมา แต่ว่าเขาก็ยังอดทนอดกลั้นเอาไว้
“ยังจะมองดูอะไรอีก? แท่นบูชานี้ถือได้ว่าเป็นหินสลักสัจธรรมเอาไว้ หากว่าสามารถที่จะนำออกไป จัดแบ่งกันคนละชิ้น ต่างก็ถือได้ว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ล้นฟ้าแล้ว พวกเจ้ายังคิดที่จะยอมผิดพลาดไปอีกอย่างงั้นหรือ!” เยี่ยจงทอใบหน้าดำคล้ำ นั้นก็เพราะว่าในเวลาเช่นนี้ เขาก็มีสีหน้าดุร้ายแข็งทื่อดั่งท่อนไม้ จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยอะไรเล็กน้อย เพื่อที่จะให้ราชาปีศาจและอัจฉริยะเหล่านี้ลงมือ ขอเพียงสามารถที่จะยกแท่นบูชานี้ออกไป เช่นนั้นสิ่งอื่นๆ ต่อจากนี้ก็ว่าได้ง่ายยิ่งขึ้น
“อะไรนะ!? นี้คือศิลาสัจธรรมงั้นหรือ?”
ราชาปีศาจและอัจฉริยะมากมายต่างก็สบสายตามองกัน ราวกับเกิดอาการตะลึงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ควรทราบว่า ศิลาสัจธรรมขนาดเพียงแค่หัวแม่มือก็มีราคาพอที่จะซื้อเมืองทั้งเมืองได้ ถือได้ว่ามีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก แต่ว่าเบื้องหน้าสายตาในตอนนี้ถึงกับมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ถือได้ว่าแทบจะทำให้ผู้คนบ้าคลั่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อถึงช่วงเวลานี้เยี่ยจงจึงได้โยนแท่นศิลาลงไปกองไว้กับพื้น ยิ่งทำให้ผู้คนไม่น้อยแทบจะกระอักโลหิตออกมา สุดยอดรุ่นเยาว์เยี่ยจงผู้นี้ก็ช่างไม่ถือเหตุผลเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้ยังเห็นๆ กันอยู่ว่าเขาคิดที่จะขนย้ายศิลาสัจธรรมขนาดใหญ่ก้อนนี้จากไป! หากว่าเขาสามารถที่จะนำศิลาสัจธรรมนำออกไปด้วยขนาดใหญ่เช่นนี้จากไปจริงแล้วละก็ เช่นนั้นเห็นทีคงจะยากที่เป็นไปได้ เด็กน้อยผู้นี้ที่เปรียบเสมือนเทพเซียนผู้หนึ่งที่ในวันข้างหน้าจะมีระดับการฝึกปรือที่รวดเร็วอย่างมากแต่กลับเป็นคนที่ไม่พูดถึงเหตุผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“ช่วยกันนำศิลาสลักสัจธรรม เอาออกไป!”
ถึงแม้ว่าจะเกิดความหวาดกลัวต่อคนชุดทองนั้นไม่เสื่อมคลาย แต่ว่าในช่วงเวลานี้เอง ก็ยังคงมีราชาปีศาจก้าวออกมาก้าวหนึ่ง เพื่อที่จะช่วยเหลือเยี่ยจงในการตัดแบ่งแท่นศิลาชิ้นนั้น กระนั้นเรื่องราวถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว หากว่าไม่นำเอาแท่นบูชานี้ออกไปแล้วละก็ เช่นนั้นในครั้งนี้คงจะต้องกลับไปอย่างมือเปล่าอย่างแน่นอน
ราวกับว่าผู้คนทั้งหมดต่างก็เข้าใจในข้อนี้ ดังนั้นในขณะนั้นเอง ราชาปีศาจมากมายก็ได้ลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน ก็ได้เข้าช่วยกันหนุนเสริมกดดัน เห็นได้ชัดพวกเขาต่างก็หวาดกลัว ว่าแท่นบูชานี้จะหลุดลอยไป จนท้ายที่สุดกลายเป็นเพียงการเหยียบเรือสองแคม
อัจฉริยะกลุ่มหนึ่งก็ได้มีสีหน้าประหลาดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เมื่อครู่ผู้คนมากมายยังต่อสู้กันยกใหญ่ แต่ละกระบวนท่ายังหมายจะเอาชีวิต แต่ว่าตอนนี้กลับจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อที่จะโยกย้ายแท่นบูชานี้ออกไป ในข้อนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกอัดอั้นจนแทบกระอักโลหิตออกมาได้แล้ว
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ เจ้าร้ายกาจมาก ” โหยวเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างอัดอั้น แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะไม่เข้ามาได้ เพื่อที่จะช่วยกันกดดันแท่นบูชานี้ด้วยกัน จากนั้นก็จะได้จากไปอย่างรวดเร็ว อัจฉริยะที่เหลือคนอื่นๆ ไม่ทราบว่าในใจคิดถึงสิ่งใดกันแน่ ตอนนี้ต่างก็ได้ลงมือออกมา นั้นก็เพราะว่าย่อมไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
“หลังจากออกไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ค่อยตัดแบ่งวัตถุชิ้นนี้ ” มีราชาปีศาจราวกับกำลังขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเอ่ยปากขึ้นมา ในครั้งนี้ราชาปีศาจอย่างพวกเขาได้ตายต่อลงไปมากมาย แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจที่จะไม่ร่วมมือด้วยกันกับกลุ่มผู้เยาว์นี้ที่มาจากภายนอกได้ ความเป็นจริงนั้นถือได้ว่ายากที่จะทนทานรับได้อย่างถึงที่สุด
“มีวาจาไร้สาระมากมายจากไหนกัน แต่ละคนเอาแต่กล่าววาจาแต่กลับไม่ออกแรง ยังจะต้องการศิลาสัจธรรมอีกหรือไม่กัน!”
เยี่ยจงไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้อย่างถึงที่สุด บวกกับราชาปีศาจและอัจฉริยะยิ่งมาก็ยิ่งมาก แต่ว่าเห็นได้ชัดว่า มีผู้คนไม่น้อยต่างก็ไม่ช่วยกันลงแรงออกมา ตอนนี้โดยส่วนมากแล้วก็แทบจะเป็นพลังของเขาในการกดดันแท่นบูชานี้เอาไว้ทั้งหมด เรียกได้ว่าไม่ทราบจะกล่าวอะไรออกมาได้อย่างแท้จริง
หลังจากที่เงียบงัน คนเหล่านี้จึงได้เริ่มที่จะลงแรงกันคนละไม้คนละมือ ทราบว่าเยี่ยจงอย่างน้อยก็สามารถสัมผัสได้
ในครั้งนี้ การเข้าไปยังภายในตำหนักของผู้คนทั้งหมดต่างก็ได้ลงมือร่วมกัน นี้จึงถือได้ว่าเป็นการเป็นดั่งการแข็งขืนแท่นบูชานี้เท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยจงก็ได้เรียกให้เสี่ยวหลุนช่วยลงมืออยู่ภายในห้วงสมอง สิ่งของนี้อย่าว่าแต่เหลือเพียงขนาดเล็กลงก็ยังถือได้ว่าใช้ได้อยู่ นั้นก็เพราะว่าเขามีความรู้สึกอยู่ชนิดหนึ่งว่า คนชุดทองนั้นอย่างน้อยก็คงไม่อาจที่จะเอาแต่มองดูคนมากมายเหล่ารี้ขนย้ายแท่นบูชาจากไปอย่างแน่นอน
เสี่ยวหลุนลอยเข้าไปยังบริเวณทางด้านใต้แท่นบูชาอย่างไร้สุ่มเสียง ไม่ทราบว่าคิดที่จะทำอะไร เยี่ยจงทางหนึ่งก็ได้ปลุกปลอบสติขึ้นมา ใช้พลังทั้งหมดเพื่อมองไปยังการขนย้ายแท่นบูชานี้จากไป
“แย่แล้ว! ถึงกับมีสิ่งของเช่นนี้อยู่อีก!” เสี่ยวหลุนร่ำร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่อาจทราบได้ว่ามันกำลังจะทำอะไร ลอยกลับไปยังบริเวณหว่างคิ้วของเยี่ยจงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน ผู้คนมากมายที่ในมือถือเอาไว้ด้วยแท่นศิลาในขณะนั้นเองก็ได้เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นแผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ จนก่อเกิดประกายควันพวยพุ่งขึ้นมาในตอนนี้ จนทำให้แท่นบูชานี้เปลี่ยนแปลงจนร้อนเดือดระอุขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ
“อา——”
คนกลุ่มนี้ก็ได้มือไม้พองขึ้นมาก่อน นั้นก็เพราะว่าความเป็นจริงนั้นถือได้ว่ามีความร้อนระอุอย่างมากมายมหาศาล ทุกผู้คนต่างก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หากว่ายังกดดันต่อไปแล้วละก็ เกรงว่ายังไม่ทันที่จะกดดันสิ่งของชิ้นนี้ ตนเองก็คงจะย่ำแย่ไปก่อนแล้ว
“ตูม——”
ในขณะนั้นเอง ในจุดที่เดิมที่เป็นบริเวณที่ตั้งของแท่นบูชา ก็ได้ก่อเกิดพลังบรรยากาศบางอย่างก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แท่นบูชาในตอนนี้ก็ได้ถูกดึงดูดเอาไว้ ลอยกลับเข้าไปยังบริเวณทางด้านจุดที่เป็นที่ตั้งเดิม จากนั้น ทางด้านร่างกายของคนชุดทองก็ได้ค่อยๆ รอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมทั้งได้เข้าไปนั่งสมาธิลงอยู่บริเวณด้านบนของแท่นบูชา
“ซวบ——”
แท่นบูชาที่อยู่ในระยะใกล้กับราชาปีศาจสองตนก็ได้เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ได้กลายเป็นเพียงแอ่งโลหิตสายหนึ่ง
เยี่ยจงตกใจจนใจเต้นขึ้นมา ตอนนี้แทบจะไม่อาจที่จะคิดถึงอะไรมากมายได้ เพียงแต่ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบออกไป ตลอดทั่วทั้งคนก็ได้พวยพุ่งออกไป มุ่งหน้าออกไปยังทางด้านนอกของตำหนัก
เมื่อพบเห็นความเคลื่อนไหวของเยี่ยจง อัจฉริยะและราชาปีศาจที่หลงเหลือแต่ละคนก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน หลบหนีออกไปจากส่วนลึกของตำหนักไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าออกไปบริเวณทางด้านนอกออกไป
“ตูมตูมตูม——”
บริเวณทางด้านหลัง ก็ได้มีประตูเหล็กกล้าขนาดใหญ่แตกออกร่วงหล่นล้มลงมาอย่างรุนแรง จนทับสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องทั้งหมดไป เห็นได้ชัด เมื่อครู่หากว่าชักช้าไปกว่านี้แล้วละก็ เกรงว่าคงจะต้องถูกประตูเหล็กเหล่านี้กดทับจนตายอย่างแน่นอน
ไม่นานนัก ผู้คนมากมายที่ได้มาถึงยังภายนอก ในเวลาเดียวกันก็ได้มองเข้าไปยังทางด้านหลัง แล้วก็ได้พบเห็นที่ตำหนักโบราณนั้นมิได้มีแสงที่เป็นประกายอีกต่อไป แต่กลับกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นมา
.
.
.
.