เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 531 เบาะแสของตำนานจักรพรรดิฟ้า

ตอนที่ 531 เบาะแสของตำนานจักรพรรดิฟ้า

มรรคกระบี่พลังเทวะ นี้มิใช่เป็นทักษะเซียน แล้วก็มิใช่มนต์ตราเทพ แต่ถือได้ว่าเป็นพลังพลังเทวะที่แท้จริง หากมองในมุมของชนชั้นราชัน พลังเทวะถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

ไม่ว่าจะเป็นพลังเทวะเช่นไร แดนลับแลที่ไม่สูญสลายอันยิ่งใหญ่ภายในสี่ดินแดน ต่างก็จัดได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับประจำสำนัก ต่อให้มีความแข็งแกร่งอย่างเช่นหุบเขาหมื่นปีศาจ ตำหนักเยือกแข็งลี้ลับเป็นต้น อย่างมากก็มีเพียงแค่สองสามวิชาพลังเทวะเท่านั้น ไม่อาจที่จะมีมากไปกว่านี้ได้ นั้นก็เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าพลังเทวะเช่นนี้ ก็กับเหมือนกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุก็มิปาน อีกทั้งยังสามารถที่จะนับได้

 

และขณะนี้เยี่ยจงริเริ่มเส้นทางของตนได้สำเร็จ พลังทำลายของมรรคกระบี่พลังเทวะนี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งจนอยู่นอกเหนือความคาดคิดได้ จนทำให้ตัวของเยี่ยจงเองก็ยังคงต้องตกใจ

 

กระบี่ก็ได้ถูกฟาดฟันออก เรียกได้ว่าสามารถที่จะฟาดฟันฟ้าดินตะวันดวงเดือนภูเขาธารธารานับหมื่นสายได้ อีกทั้งนี้ยังถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของพลังเทวะขั้นต้น จนยากที่จะคาดคิดได้ว่าหากว่าวันข้างหากพลังเทวะสายนี้ถูกเยี่ยจงใช้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วละก็ จะสามารถที่จะมีพลังทำลายเช่นไรกัน

 

“ตูม——”

 

แล้วกระบี่ก็ได้ถูกฟันออกไป ในครั้งนี้ก็ได้มีชนชั้นราชันอีกสองคนโลหิตพุ่งออกมา อีกทั้งชนชั้นราชันทั้งสองต่างก็อยู่ในระดับพลังเทวะขั้นที่สี่ ใบหน้าก่อนที่จะตายก็ยังคงทอแววไม่อยากที่จะเชื่ออยู่บนใบหน้าดุจเดิม เห็นได้ชัดว่าไม่อาจที่จะเชื่อได้ลง ตนเองจะถึงกับตายอย่างไม่อาจตายตาหลับด้วยน้ำมือของผู้เยาว์เพียงคนหนึ่งเช่นนี้ได้

 

ทว่า ท่ามกลางชนชั้นราชันกลุ่มนี้ก็ยังคงถือได้ว่ามียอดฝีมือที่แท้จริงอยู่ หลังจากที่สามคนสุดท้ายได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว ในที่สุดก็ได้หลบหนีมาจนถึงหุบเขาแห่งนี้ แฝงเอาไว้ด้วยใบหน้าที่คาดหวังมุ่งหน้าถอยไปยังบริเวณทางด้านหลัง

 

เยี่ยจงเก็บกระบี่อย่างเมินเฉย กลับมิได้ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบ เขาเพียงยื่นมือออกไป ทันใดนั้นก็ได้ง้างธนูเทวะโห้วอี่ในมือออกไป

 

ธนูเทวะโห้วอี่ ถือได้ว่ามีความเก่าแก่อย่างไร้ที่เปรียบ ราวกับว่าเป็นเหมือนกับถูกตีขึ้นมาจากเหล็กแข็งในสมัยโบราณก็มิปาน มีพื้นที่อยู่ไม่น้อยที่ได้ปรากฏร่องรอยของร้อยร้าวขึ้นมา เพียงพอที่จะบอกถึงความเก่าแก่ของโบราณของธนูด้ามนี้ได้ ทว่า ธนูอื่นๆ ก็ได้กลายเป็นอสรพิษออกมาอย่างเห็นได้ชัดได้ เพียงแค่แตะเข้าไปเบาๆ ก็จะสามารถที่จะได้ยินเสียงที่พวยพุ่งออกมาด้วยความประหลาดอยู่ชนิดหนึ่งได้

 

ธนูเทวะโห้วอี่ในมือ ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏเขาความสงสัยขึ้นมา เขาต่อให้เข้าใจ ว่าเมื่อครู่เพราะเหตุใดชนชั้นราชันเหล่านี้ถึงไม่มีคนใดที่สามารถที่จะควบคุมธนูด้ามนี้เพียงคนเดียว นั้นก็เพราะว่าธนูนี้ถึงกับมีลักษณะเฉพาะที่พิเศษอย่างประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังลมปราณ แต่กลับจำเป็นที่จะต้องใช้พลังอันมหาศาลเพียงถ่ายเดียวในการง้างธนูได้

 

ทว่าเยี่ยจงขณะนี้พลังกายาทองไม่สูญสลายความสำเร็จน้อย หากว่ากล่าวถึงพลังกายเนื้อ อย่าว่าแต่ในระดับรุ่นเดียวกัน ต่อให้เป็นระดับอย่างบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็น้อยนักที่จะมีคนที่จะสามารถเทียบเคียงได้ เพราะเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ชนชั้นราชันหลายคนจึงจะสามารถที่จะง้างธนูเทวะโห้วอี่ด้ามนี้ได้ แต่กลับต้องมาถูกเยี่ยจงง้างออกอย่างง่ายดาย

 

“ครืน——”

 

กลุ่มก้อนพลังอันน่าหวาดกลัวก็ได้พวยพุ่งจนเกิดเสียงดังออกมา ในขณะนี้เอง แล้วก็ได้มีภาพเงามายาของอสรพิษถึงกับปรากฏขึ้นมาอยู่บนตัวของธนู ในเวลาเดียวกันทั่วทั้งฟ้าดินเองก็ได้มีเศษหินเศษทราบลอยพลิ้วขึ้นมา จนเกิดแรงลมอัสนีลอยอยู่อย่างหนาแน่น มังกรเขียวพยัคฆ์ขาวจูเชวียนที่เป็นถึงเงาร่างของลักขณาทั้งสี่ก็ได้ปรากฏขึ้นมา ปกคุลมเข้าไปยังบริเวณลมปราณสมุทรของเยี่ยจงเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน พลังลมปราณฟ้าดินอันมหาศาลก็ได้รวมตัวกันขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจากทางด้านที่ไกลออกไป แล้วก็ได้ก่อตัวขึ้นมาจนกลายเป็นลูกศรที่มีลักษณะคล้ายกับอสรพิษขึ้นบนมือของเยี่ยจง

 

เหมือนกับว่า ในขณะนี้เอง ธนูเทวะโห้วอี่ด้ามนี้จึงถือได้ว่าทำให้เกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาได้อย่างแท้จริงก็มิปาน

 

“ของดีนิ ขีดจำกัดที่ใกล้เคียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุ” เยี่ยจงถอนหายใจออกมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ง้างธนูเทวะโห้วอี่ออก พุ่งลูกศรออกไปดอกหนึ่ง

 

“ฉึก——”

 

ชนชั้นราชันสามคนที่กำลังพุ่งตัวหลบหนีอยู่นั้น คนสุดท้ายนั้นยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ก็ได้ร่างแตกกระจายอยู่ท่ามกลางอากาศ แม้แต่หมอกโลหิตก็ยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น

“ซวบ——”

 

เยี่ยจงก็ได้ง้างธนูอีกครั้ง ในครั้งนี้ ประกายลูกศรก็ได้ลอยออกไป มุ่งหน้าไปยังบริเวณทางที่ไกลออกไป เพียงแต่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของราชันคนหนึ่งขึ้นมา วินาทีนั้นร่างก็ได้สูญสลายหายไป หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงควันสายหนึ่ง

 

“หากว่าเป็นยอดฝีมือระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์ดึงรั้งธนูด้ามนี้ขึ้นมา ข้าอย่างน้อยก็คงไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้” เยี่ยจงก็ได้เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาภายในจิตใจ ธนูด้ามนี้ถือได้ว่ามีพลังทำลายที่อยู่นอกเหนือความสามัญ ราวกับได้ฉีกกระชากกายเนื้อของผู้คนด้วยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ธนูด้ามนี้ถึงกับมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียว

 

พริบตานั้นเอง เยี่ยจงก็ได้ง้างธนูออกอีกครา ในครั้งนี้ ราชันที่รั้งท้ายสุดก็ได้กลายเป็นเพียงก้อนเนื้อแหลกเหลวท่ามกลางอากาศ ก่อนหน้าที่เขาจะตายลงบนใบหน้าก็ได้ปรากฏสีหน้าที่เสียใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในสภาพที่ผิดหวัง ว่าหากไม่ใช้เพราะว่าใช้ออกมาด้วยเครื่องมือสังหารเช่นนี้ ผลสุดท้ายคงจะไม่ต้องสร้างดาวสังหารเช่นนี้ออกมาแล้ว อีกทั้งในที่สุดตนเองก็ยังตายตกในน้ำมือของตัวเขาเอง

 

เยี่ยจงก็ได้ง้างธนูเทวะโห้วอี่ในมือ หลังจากนั้นก็ได้หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้ควบคุมพลังปราณสมุทรที่อยู่ภายในจุดตันเถียนออกมาในทันที เขาถึงแม้ว่าขณะนี้จะสำเร็จริเริ่มเส้นทางของตนเอง จนสามารถที่จะใช้ออกมาด้วยมรรคกระบี่พลังเทวะของตนเองได้ แต่ว่าการที่จะสามารถได้ครอบครองเครื่องมือสังหารเช่นนี้ถึงอีกชิ้น เขาเองก็ย่อมที่จะไม่เกรงใจอย่างแน่นอน

 

“ขอขอบคุณท่านในบุญคุณช่วยชีวิต” บุตรศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งหานหวูยีขณะนี้ก็ได้ลุกขึ้น ทั่วทั้งร่างกายบนร่างของเขาก็ได้เปี่ยมไปด้วยโลหิต หันไปยกมือขึ้นคารวะไปที่เยี่ยจง สีหน้ายังคงอยู่ในอาการตกใจ

 

เยี่ยจงพยักหน้าไปมาไปทางด้านของเขา มิได้กล่าวอันใดออกมามากมาย ในเวลาเดียวกันภายในดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้น นั้นก็เพราะว่าภายในพริบตาเดียวนั้นเอง บุตรศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งผู้นี้ถึงกับก็ได้กลับคืนสู่พลังสภาวะที่พร้อมต่อสู้ที่แน่นอนอีกครั้ง แท้จริงแล้วถือได้ว่าเกินความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง

 

บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นการคงอยู่ในอีกระดับหนึ่ง ทุกๆ คนต่างก็มีพลังฝีมือที่น่าตกใจ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่ถูกเรียกขานเช่นนี้

 

“พี่เยี่ยจงแท้จริงแล้วก็เหนือกว่าคำว่าธรรมดาเป็นอย่างมาก ด้วยระดับพลังของครึ่งก้าวสู่ระดับราชันสูงสุด ถึงกับสามารถที่จะสำเร็จขั้นริเริ่มเส้นทางของตน ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก” ระหว่างนั้นหานหวูยีก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ทอสีหน้าแม้ว่าจะปกติ แต่ว่าภายในดวงตากลับทอเป็นประกายขึ้นมา

 

เยี่ยจงกวาดสายตาไปที่เขา แล้วก็เกิดความสับสนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวตามความจริง เขาและบุตรศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งนั้นกลับมิได้มีความคุ้นเคยกัน ที่ลงมือออกมาสถานที่เช่นนี้นั้นก็เพราะว่าเมื่อครั้งก่อนนั้นสตรีหิมะแห่งตำหนักเยือกแข็งลี้ลับได้เอ่ยวาจาเป็นห่วงตนเองออกมาจากใจอยู่คำหนึ่ง

 

และขณะนี้เขาก็ได้ริเริ่มเส้นทางของตนได้สำเร็จ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นไพ่ตายใบใหญ่ที่แม้แต่คนที่มีความคุ้นเคยก็ไม่อาจที่จะทราบได้ ความรู้สึกเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ดีนักอย่างแน่นอน

 

“เอาละ เจ้าอย่าได้กล่าวถึงเรื่องเช่นนี้อีกเลย เจ้ายังพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วละก็ ข้าเกรงว่าข้าจะอดใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องฟาดเจ้าเพื่อลบความทรงจำ” เยี่ยจงยกมุมปากขึ้นมา ส่งเสียงร้องดังชิออกมา

 

“พี่เยี่ยโปรดวางใจได้ พี่เยี่ยในครั้งนี้ถือได้ว่ามีบุญคุณต่อพวกข้า เรื่องนี้ผู้น้อยจะจดจำอย่างขึ้นใจ” หานหวูยีหัวเราะขึ้นมา มิได้กล่าวอันใดออกมามากมาย

 

เยี่ยจงสำรวจเขาอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดแล้วก็ได้แน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้สมควรที่จะไม่ขายตนเองไปอย่างแน่นอนแล้ว เขาจึงค่อยได้กดดันสภาวะที่ได้กดดันจนแทบทำให้ปวดเศียรเอาไว้

 

“ขอบคุณพี่ใหญ่เยี่ยมากแล้ว” หานหวูเซียงก็เดินหน้าขึ้นมา โค้งกายลงเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันภายในดวงตาของนางก็ได้กวาดไปยังทางด้านของเยี่ยจงอยู่หลายครา จึงได้ค่อยกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่เยี่ย ไม่ทราบว่าจะขอถามในเรื่องที่ไม่อาจที่จะทราบได้ว่าเหมาะสมหรือไม่สักข้อ”

 

“ถามมาเถอะ” เยี่ยจงก็ได้กรอกดวงตาไปมา หัวเราะไม่ออกร่ำไห้มิได้กล่าวออกมา

 

“ระหว่างพวกเราแม้ว่าจะไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกันมาก่อน ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่เยี่ยถึงยินยอมที่จะลงมือเพื่อพวกข้ากัน?” หานหวูเซียงก็ได้ทอสีหน้าจริงจังขึ้นมา ตัวของนางเองก็ได้ท่องใต้หล้าจนพอที่จะทราบถึงเหตุผลในข้อนี้ ใต้หล้านั้นย่อมไม่มีบุญคุณที่เกิดจากสิ่งที่ไร้เรื่องราวไร้ความบังเอิญ แล้วก็ไม่มีความแค้นที่เกิดจากสิ่งที่ไร้เรื่องราวไร้ความบังเอิญเช่นเดียวกัน

 

“เกี่ยวกับเรื่องนี้งั้นหรือ ก็แค่พวกเจ้าดวงดีเท่านั้น ที่ประจวบพบเจอกับข้า อีกทั้งข้าก็ไม่คิดที่ว่าในครั้งต่อไปที่ข้าไปหาเจ้าเพื่อดื่มน้ำชาที่ตำหนักเยือกแข็งลี้ลับ จะหาผู้คนไม่พบ” เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา แต่ว่าก็ได้มองไปดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของหานหวูเซียง จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ยกมุมปากขึ้นมาอย่างไม่สนใจ “ที่สำคัญก็คือ ข้าขณะนี้ถือได้ว่าเป็นศัตรูกับใต้หล้า ยากที่จะพบเจอกับคนที่พอจะเป็นมิตรกับข้าได้ ถือว่าเป็นการซื้อไมตรี วันข้างหน้าจะหากจำเป็นต้องหลบหนี อย่างน้อยก็คงมีสถานที่สักแห่งเพื่อซ่อนตัว มิใช่หรือ?”

 

ในครั้งนี้ แม้แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งก็ทอสีหน้าดำคล้ำขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าถึงกับมีคนที่สามารถที่จะกล่าวเรื่องเช่นนี้ประดุจไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย

 

“เอาเถอะ สถานที่แห่งนี้อันตรายจนเกินไป พวกเจ้ายังคงรีบออกไปจากสุสานชั้นที่สองเถอะ ในครั้งต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะไม่สามารถที่บังเอิญพบเจอกับข้าได้” เยี่ยจงยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็ได้หันกายจากไป การลงมือในครั้งนี้มิได้มีความหมายอันดับเสียด้วยซ้ำไป ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวอันใดออกมามากมายอีก

 

“พี่ใหญ่เยี่ยโปรดช้าก่อน” หานหวูเซียงหลังจากที่ลังเลขึ้นมา ก็ได้เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน หยุดเท้าของเยี่ยจงเอาไว้

 

“เป็นไรไป?ยังมีเรื่องอีกหรือ?คงจะไม่ใช่เพราะว่าข้าลงมือเพียงครั้งเดียว เจ้าก็จะคิดว่าข้าเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม ผลสุดท้ายแล้วกลับต้องมาตกหลุมรักข้าหรอกกระมั่ง?” เยี่ยจงทอสีหน้าเหมือนคาดหวังขึ้นมา ดูไม่ออกว่าเป็นจริงหรือเท็จ

 

อีกทางด้านหนึ่ง หานหวูยีก็ได้ทอใบหน้าดำคล้ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม เดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง ถ้าหากเด็กน้อยผู้นี้หาญกล้าที่จะลงมือต่อน้องสาวตนเองแล้วละก็ เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เขาก็จะไม่เกรงใจเช่นเดียวกัน

 

หานหวูเซียงเองก็เงียบไม่กล่าวอันใดออกมา หลังจากนั้น นางจึงค่อยนึกขึ้นมาได้แล้วกล่าว: “พี่ใหญ่เยี่ย เมื่อครู่ที่ราชันกลุ่มนั้นพยายามที่จะฆ่าสังหารพวกเราสองพี่น้อง นั้นก็เพราะว่าพวกเราได้ทราบความลับอันยิ่งใหญ่ของสุสานชั้นที่สอง หากว่าพวกข้าคาดเดาได้ไม่ผิดแล้วละก็ ขณะนี้สมควรที่จะมีตำนานที่ยังหลงเหลือเอาไว้อยู่ของหนึ่งในจักรพรรดิฟ้าเอาไว้อยู่”

 

เยี่ยจงก็ได้เกิดความคิดขึ้นวูบหนึ่ง ตำหนักเยือกแข็งลี้ลับนั้นถือได้ว่ามีที่มาที่ได้ที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งขณะนี้กลับต้องมาพบเจอกับการลอบโจมตีเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านั้นก็เพราะว่าเรื่องเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่ลงมือต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ของสำนักแห่งหนึ่งได้ ก็คงจะต้องมีตำนานระดับจักรพรรดิฟ้า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุอีกทั้งยังมีวัตถุในระดับสูงอยู่อีกหลายชิ้น

 

“ความหมายของท่านทั้งสองก็คือ ต้องการที่จะร่วมมือกันอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงงงงันขึ้นมาชั่วขณะ แล้วก็ได้ยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาแล้วกล่าว

 

“ร่วมมือกันนั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว ผู้คนรอบข้างของพวกเราตอนนี้ต่างก็ได้ตายตกลงกันไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อาจที่แย่งชิงตำนานจักรพรรดิฟ้านั้นได้อีกแล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็เป็นที่ยากเกินไป ทว่าข้ากลับมองเห็นพี่ใหญ่เยี่ยนั้นมีพรสวรรค์ที่ล้นพ้น อีกทั้งยังมีวาสนาอยู่อีกส่วนหนึ่ง” ระหว่างที่กล่าว หานหวูเซียงก็ได้นำเอากล่องหยกออกมาชิ้นหนึ่ง ยื่นให้แก่เยี่ยจง

 

หานหวูยีเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ในที่สุดก็ได้ทอแววตาอันน่ารักน่าเอ็นดูมองไปยังทางด้านของหานหวูเซียง มิได้กล่าวอันใดออกมามากมาย

 

เยี่ยจงทอสีหน้าประหลาดเพื่อที่จะเปิดกล่องหยกในมือขึ้นมา และจากนั้นเขาก็ได้ทอสีหน้าตกใจขึ้นมา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏสีหน้าแปลกใจขึ้น

 

ภายในกล่องหยกนี้ได้ถูกวางเอาไว้กระดาษที่ดูเหมือนจะเสียหายไปส่วนหนึ่งอยู่หลายแผ่น ซึ่งมีขนาดเช่นเดียวกันกับที่ไต๋ซือหวูโหวเอาไปเหมือนกัน วัตถุชิ้นนี้บวกรวมเข้ากับเศษชิ้นส่วนที่เยี่ยจงได้มาจากก่อนหน้านี้ ก็จะกลายเป็นแผนที่ครึ่งแผ่นพอดิบพอดี แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะมองออกได้

 

“น่าเสียดายที่แผนที่นี้มีส่วนที่เสียหายอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วสมควรที่จะชี้ไปยังตำแหน่งบริเวณสถานที่ของตำนานจักรพรรดิฟ้าได้แล้ว พี่ใหญ่เยี่ยหากว่าคิดที่จะเข้าไปยังส่วนลึกต่อไปแล้วละก็ อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง” หานหวูเซียงที่ยากนักจะเผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นมาสายหนึ่ง ที่เป็นเหมือนดั่งหุบเขาที่มีความลี้ลับอยู่ ก็มิปาน

 

“เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีแล้ว” เยี่ยจงหลังจากที่ได้ลังเล ก็ค่อยพยักหน้าไปมา มิได้ปฏิเสธแต่อย่างไร วัตถุชิ้นนี้แม้แต่ไต๋ซือหวูโหวก็ยังให้ความสำคัญ เพียงแค่นี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้แล้วว่าสิ่งของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาอย่างไร ขณะนี้ตนเองก็ได้รับมาถึงครึ่งส่วนแล้ว หากว่าสามารถที่จะมีโอกาสครอบครองอีกครึ่งหนึ่งแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถได้ครอบๆ สิ่งที่เรียกว่าตำนานจักรพรรดิฟ้าก็ว่าได้

 

“ขอบคุณมาก อาการบาดเจ็บในครั้งนี้ของข้าบาดเจ็บไปจนถึงภายใน ดูเหมือนว่าจะไร้วาสนากับสุสานเซียนแห่งนี้แล้ว หลังจากที่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ พวกเราสองพี่น้องจะรีบกลับไปยังเป่ยฮวงเพื่อเก็บตัว พี่เยี่ยวันข้างหน้าหากว่ามีเวลาว่าง ก็ไปนัดพบกันที่เป่ยฮวงได้!” หานหวูยียกมือขึ้นคารวะ

 

เป่ยฮวง เล่าขานกันว่าเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสายลมแห่งหิมะ ตลอดทั่วทั้งสี่ด้านเป็นด้วยเขตแดนน้ำแข็ง ทั่วทั้งเป่ยฮวงก็ได้มีคำเล่าขานว่าเป็นสถานที่รวมตัวของปีศาจมายา น่าหวาดกลัวเหลือคนานับ แต่ว่าก็เหมาะที่จะเป็นสถานที่ไว้เพื่อการฝึกปรือ

 

เยี่ยจงได้ยินได้ฟังคำเล่าลือของเป่ยฮวงมานาน ต่อมาก็ได้ยิ้มขึ้นน้อยๆ แล้วกล่าว: “หากมีโอกาสจะต้องไปยังดินแดนเป่ยฮวงก่อนอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขอรบกวนด้วยแล้ว”

 

หานหวูเซียงยิ้มไปให้ทางด้านเยี่ยจง จากนั้นในครั้งนี้พวกเขาสองพี่น้องก็ได้หันกายจากไป จากไปอย่างรวดเร็ว

 

“ตำนานจักรพรรดิฟ้า ไม่ทราบว่าจะเป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิฟ้าคนใดคนหนึ่งหรือไม่” เยี่ยจงก็ได้เกิดความนึกคิดขึ้นภายในจิตใจ

.

.

.

.

 

กลุ่ม / 100บาทครับ

กลุ่มละ 80ตอน
โปรโมชั่น กลุ่ม 6-13 ราคา 600
VIP5 https://goo.gl/ekcF7V
VIP6 https://goo.gl/4rqw89
VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA
VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x
VIP9 https://goo.gl/1jPZtn
VIP10 https://goo.gl/L8awva
VIP11 https://goo.gl/rojEiG
VIP12 https://bit.ly/2lRgnUn
VIP13 https://bit.ly/2mkmj8y
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
INBOX m.me/ZuiQiangWuShen
#####Fanpage#####
https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset