เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 538 กู้ศักดิ์ศรีถึงที่

ตอนที่ 538 กู้ศักดิ์ศรีถึงที่

 

 

 

“ท่านนี้ ก็คือสุดยอดรุ่นเยาว์แห่งเผ่ามนุษย์ในตำนาน、วีรบุรุษผู้กอบกู้แห่งเผ่ามนุษย์ เยี่ยจง?” หลิงเฟ่ยมองไปที่เยี่ยจง บนใบหน้าเล็กๆ ก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

 

“น้องชายท่านนี้มาจากแดนตงฮวงงั้นหรือ?” เยี่ยจงทางหนึ่งก็ได้คว้าจับเข้าไปที่หัวไหล่ของหลิงเฟ่ย จนเกือบที่จะอดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างอดมิได้ ก่อนหน้านี้เขาได้พยายามคิดหาวิธีที่จะไปยังแดนตงฮวง ขณะนี้จงหลี่นึกไม่ถึงกลับแนะนำสหายที่มาจากหมู่ตึกสวรรค์นอกแห่งแดนตงฮวงให้ตนเองรู้จัก นี้ก็ช่างทำให้เยี่ยจงเกิดความรู้สึกว่าตนเองช่างรู้สึกสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปเสียเหลือเกิน

 

ทั้งสองคนสบตากัน ภายในดวงตาต่างก็ก็ได้ปรากฏสีหน้าหยอกเย้าขึ้นมา จนทำให้จงหลี่ต้องทอสีหน้าประหลาดมองไปที่ทั้งสองคน

 

“ท่านเยี่ยจง วันหน้าหากว่ามีโอกาส จะต้องไปยังหมู่ตึกสวรรค์นอกแดนตงฮวงข้าด้วยนะ หมู่ตึกสวรรค์นอกถือได้ว่าเป็นพรรคของเผ่ามนุษย์ หากว่าท่านสามารถที่จะไปได้ ก็ถือได้ว่าเป็นสิริมงคลของผู้น้องแล้ว ” หลิงเฟ่ยทอสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา อีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่สั่นเทาอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดเขานั้นได้มองเยี่ยจงเป็นเหมือนบุคคลที่อยู่ในอีกระดับก็มิผิด

 

เยี่ยจงสูดลมหายใจเข้ายาวๆ คำหนึ่ง จากนั้นก็ได้สงบสติอารมณ์เอาไว้ หลังจากนั้นก็ได้มองเข้าไปยังร่างของหลิงเฟ่ยด้วยแววตาที่เร่าร้อน แล้วก็ได้ทอดวงตาประหลาดพิกลมองไปที่จงหลี่คราหนึ่ง กล่าว: “พี่จง เด็กน้อยผู้นี้ คงจะมิได้มีความสงสัยอะไรอยู่หรอกนะ?”

 

“ต่อให้มีก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าทั้งคนมิใช่หรือ?” จงหลี่ทอใบหน้าสงสัยขึ้นมา “เอาละ พวกเจ้าทั้งสองวันหลังหากว่ามีเวลาว่างก็ค่อยคุยกัน สถานที่แห่งนี้เป็นถึงสุสานแห่งเซียน มิได้มีเวลาให้มากล่าววาจาไร้สาระมากหรอกนะ เดิมทีแล้วยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พวกเราสองคนยังมิอาจที่จะทำได้ แต่ในเมื่อพี่เยี่ยได้ปรากฏตัวแล้ว พวกเราก็กลับมาร่วมมือกันซักคราดีหรือไม่ ”

 

เมื่อกล่าวจนถึงตรงนี้ จงหลี่ก็ได้มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา แฝงเอาไว้ด้วยความคึกคักอยู่ชนิดหนึ่งอย่างก็มิปาน หากสามารถที่จะเป็นไปตามที่เขากล่าวออกมา เช่นนั้นวันเวลาเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นเหมือนสวรรค์ได้ทรงโปรดมาให้แล้ว จะต้องได้รับสิ่งของกลับได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ว่าหากพึ่งพาแต่เพียงพลังฝีมือของเขา อย่างน้อยก็คงไม่อาจที่จะสามารถกระทำได้

 

“จะว่าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปร่วมมือกันกับคุณหนูซือคงกันเล่า?” เยี่ยจงสงสัยขึ้นมา

 

“คุณหนูใหญ่หรือ ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ” จงหลี่ส่ายหน้า “ข้างกายนางนั้นมีผู้ติดตามหลายคนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าจะเป็นคนที่พอจะทราบถึงความเป็นมาของสถานที่นี้แล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วหากว่าไปขอความร่วมมือจากนางแล้วละก็ ก็เป็นเหมือนกับกลบดินฝังตัวเอง วิธีที่ดีที่สุดก็คือเสาะหาเหล่าเด็กน้อยที่ไม่มีใครเห็นอยู่ในสายตาเพื่อจะมาร่วมมือกัน……ทว่าพี่เยี่ย พลังฝีมือของเจ้าคงจะมิได้อ่อนโทรมลงไปหน่อยหรอกนะ? เหตุใดนานถึงเพียงนี้ทำไมถึงยังไม่เข้าสู่ระดับราชันกันอีก? ทว่าเจ้าก็ร้ายกาจมากเลยนะ ยังไม่ทันจะเข้าสู่ระดับราชันก็สามารถที่จะกดดันทุบตีมนุษย์มารผู้นั้นไปได้แล้ว หากว่าสำเร็จจนเข้าสู่ระดับราชัน เด็กน้อยผู้นั้นมิใช่ว่าต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอนหรอกหรือ?”

 

เยี่ยจงใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา จงหลี่ผู้นี้ก็มีวาจามากจนเกินไปแล้ว หากยังฟังเขากล่าววาจาไร้สาระต่อไป ไม่แน่ว่ากล่าวจนถึงพรุ่งนี้ก็คงจะไม่หมดไม่สิ้น

 

“ไปหาสถานที่กันก่อนเถอะ ข้าเกือบจะที่จะทะลวงพลังได้อยู่แล้ว รอจนหลังจากที่ข้าสำเร็จสู่ระดับราชัน ค่อยกลับไปหาเรื่องยุ่งยากให้กับมนุษย์มารผู้นั้นกัน ” เยี่ยจงก็ได้ตัดบทจงหลี่ลง

 

จากนั้นทั้งคณะสามคนก็ได้เริ่มต้นที่จะกลับเข้าไปที่ท่ามกลางป่าศิลา

 

“สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลย ให้เวลาข้าซักหน่อย น่าจะสามารถที่จะทะลวงได้อย่างราบรื่น ” เยี่ยจงมองไปยังศาลาโบราณบริเวณใจกลางทะเลสาบ ทอสีหน้าแปลกใจ

 

หลังจากที่ได้เข้าไปใกล้จริงๆแล้ว เขาจึงได้พบว่า สถานที่แห่งนี้ได้มีความสัมพันธ์กับเส้นทางสู่สวรรค์พิภพได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้นั่งสมาธิในสถานที่แห่งนี้แล้วละก็ ราวกับว่าเหมือนกับสามารถที่จะเข้าสู่สัจธรรมได้อย่างง่ายดายเลยก็ว่าได้

 

“ได้ สถานที่แห่งนี้ก็ยกให้พี่เยี่ยเจ้าแล้ว เจ้าก็รีบใช้ซะ พวกเราสองคนจะให้ความคุ้มกันเอง ” เมื่อทราบว่าเยี่ยจงต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะเช่นนี้ เพื่อเข้าสู่ระดับราชันที่แท้จริง ทั้งสองคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน จึงได้ออกมาจากศาลาใจกลางทะเลสาบไปในทันที

 

เยี่ยจงเองก็ไม่เกรงใจ ต่อมาก็ได้นั่งสมาธิลงอยู่บริเวณใจกลางของศาลา ไหลเวียนคัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวัน เพื่อที่จะค่อยๆ ที่จะฝึกปรือขึ้นมา

 

การฝึกวิทยายุทธ์ทั้งหมด รวมไปจนถึงเส้นทางให้สวรรค์พิภพ เส้นทางให้สวรรค์พิภพ ก็เหมือนกับฤดูที่ไหลเวียนไปตามกาลเวลา ลมฝนเกิดขึ้นมาตามฤดูกาลที่ต่างแตกกัน ตามคำสอน เหล่ามนุษย์ก็เหมือนกับฤดูกาลต่างๆ สั่งสอนในความยากลำบากต่างๆ นาๆ เรื่องที่สอนนั้น เหล่ามนุษย์ก็เหมือนกับลมฝน หากไม่มีการผ่านไปตามฤดูกาลย่อมไม่อาจที่จะสำเร็จได้ การที่เข้าสู่ราชันถือได้ว่าเป็นเหมือนความจริงที่น่ายินดี เมื่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นลายลักษณ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น……

 

ในขณะนั้นเอง บันทึกภายในท่ามกลางคัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวัน ก็ได้ค่อยๆ ที่จะไหลเวียนผ่านดวงตาของเยี่ยจง จนทำให้เขานั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงจนเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะ หรือจะเรียกว่าเป็นขอบเขตพลังเทวะเพียงสั่นๆ ก็ได้ นี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบส่วนของเส้นแบ่งเขตของการฝึกปรือวิทยายุทธ์

 

ขอบเขตพลังเทวะทั้งหมดนั้น ก็ได้อยู่ท่ามกลางจุดตันเถียนพลังปราณสมุทรของตนเอง ที่เหมือนกับการสร้างขึ้นมาคล้ายดั่งดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ดินแดนแห่งนี้ ถูกเรียกกันว่าเทวะชั้นที่หนึ่ง หากว่าสามารถที่จะสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นห้าชั้น ก็จะกลายเป็นเทวะชั้นที่ห้า

 

ขอบเขตพลังเทวะแบ่งเป็นห้าขั้นสูงสุด อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถหลุดออกจากพันธนาการ สำเร็จสู่ระดับราชัน แต่ว่า ภายในท่ามกลางพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะ ไม่ว่าจะเป็นการก้าวออกไปเช่นไร ต่างก็มีความยากอย่างถึงขีดสุด ต่อให้มีพรสวรรค์มารร้ายมากเพียงมด ต่างก็ถูกปิดตายลงก่อนที่จะเข้าสู่พลังเทวะขั้นที่หนึ่ง เพราะว่าสร้างพลังเทวะนั้นมีความลำบากเลือนลางมากจนเกินไป มิใช่สิ่งที่ใช้แต่เพียงแค่การฝึกปรือก็จะสำเร็จได้ ในทางกลับกันยังจะต้องมีวาสนาแห่งความสำเร็จรวมอยู่ด้วย

 

เกี่ยวกับระดับขอบเขตนี้ยังมีตำนานเล่าขานอยู่อีกส่วนหนึ่ง กล่าวกันว่าพลังเทวะทั้งห้าชั้นนั้นมีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกทั้งห้าภายในร่างกายของมนุษย์ อีกทั้งยังส่งผลต่ออวัยวะทั้งห้าภายในร่างของมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นดั่งจุดสูงสุดที่ร่างกายมนุษย์เราจะสามารถฝึกปรือได้ แต่ว่าในโลกหล้านั้นกลับมีบุคคลที่เหนือเกิณกว่าสามัญส่วนหนึ่ง จนสามารถที่จะฝึกปรือเข้าไปจนถึงพลังเทวะขั้นที่หก!

 

ผู้ฝึกพลังเทวะขั้นที่หก ถือได้การมีนับแต่โบราณจนถึงวันนี้ กล่าวกันว่าได้มีผู้ที่ฝึกปรือเข้าสู่ขอบเขตพลังเทวะพิศดาลได้อยู่ผู้หนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ลายลักษณ์อักษรที่ถูกบันทึกเอาไว้ด้วยความเร้นลับ ในสมัยโบราณ ได้มีคนที่เข้าสู่ระดับที่หกกล่าวไว้ว่า เป็นคนของรัฐกู่กวอ หรือก็คือของขวัญชิ้นที่หก อาจจะกล่าวเช่นนี้ก็ย่อมได้ และตามคำเล่าขานนั้นก็เปี่ยมได้ดั่งเทพนิยายแห่งสวรรค์โบราณ เช่นกันกับคำกล่าวของหกเทพหกมาร (六丁六甲) ในตำนาน หกเทพหกมารถือได้ว่าเป็นดั่งจักรพรรดิฟ้าแห่งแดนเทพ เพียงแค่ดูจากการอธิบายเช่นนี้ ยิ่งเป็นการเปิดเผยออกมาทั้งหกได้เป็นอย่างดี และหากกล่าวถึงสามดินแดนหกแนวทาง กลับยิ่งตัวอักษรทั้งหกนั้นมีความพิศดานเป็นอย่างยิ่ง

 

สามารถกล่าวได้ว่า ราชันที่สามารถใช้ด้วยพลังเทวะขั้นที่หกได้ตามที่เล่าขานกันมา เรียกได้ว่ายากที่จะพบเจอได้มานับตั้งแต่โบราณกาลมา พันหมื่นปียากที่จะพบพานซักครั้ง

 

ขณะนี้ เยี่ยจงที่ต้องเข้าสู่พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะ ย่อมต้องมีความเข้าใจในหลักการต่างๆ เหล่านั้นต่างก็ได้ไหลเวียนเข้าสู่ภายในห้วงสมองของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าไม่นานนัก เขาก็ได้เก็บงำสภาวะนี้เอาไว้ แล้วก็ได้ชักนำจิตสมาธิเพื่อที่จะสร้างพลังเทวะชั้นที่หนึ่งภายในร่างกายขึ้น

 

ควรทราบว่า พลังเทวะชั้นที่หนึ่งไม่ว่าจะเป็นราชันคนใดต่างก็ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งหากมองจากในด้านนี้แล้ว เพื่อเป็นการยืนยันในเส้นทางของการเข้าสู่ระดับราชันในวันข้างหน้า ในช่วงเวลานี้เอง ย่อมไม่มีคนใดก็ตามที่มีความคิดที่ได้ใจมากเกินไปแต่อย่างไร

 

หลังจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วทั้งหมดห้าวันอย่างรวดเร็ว ในเช้าวันที่ห้า เยี่ยจงก็ยังคงฝึกปรืออยู่ จนตนเองสามารถที่จะผนึกรวมพลังเทวะภายในจิตของตนเองจนเข้าสู่ระดับขอบเขตสูงสุดอันพิเศษอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ ราวกับว่าสามารถที่จะทะลวงไปได้ตลอดเวลา แต่ว่าก็ยังเหมือนขาดบางอย่างอยู่อีกอย่างก็มิปาน

 

“ราวกับว่า ยังขาดอะไรบางอย่างอยู่นะ!” เยี่ยจงขมวดคิ้ว ดำดิ่งสู่ความคิด เขานั้นได้ฝึกปรือไปตามวิถีของคัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวัน อีกทั้งยังได้เตรียมการทั้งหมดเอาไว้จนพร้อมแล้วเตรียมพร้อมที่คล้ายกับขุดคลองขึ้นมา จะเหลือก็แต่เพียงแค่ลำเลียงน้ำเข้าไปทั้งหมด ย่อมต้องสำเร็จจะงดงามอย่างแน่นอน แต่ว่าคิดไม่ถึงตลอดทั้งหมดนี้กลับยังคงสงบไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างไร ราวกับว่าเหมือนกับว่าได้พบกับหนทางที่หลากหลายที่ยังมาไม่ถึงอยู่ก็มิปาน

 

“เจ้าหนู ข้ากลับนึกถึงสิ่งของบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน……” เสี่ยวหลุนเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงเอาไว้ด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน

 

“คืออะไรกัน?” เยี่ยจงกวาดสายตามองไปที่เสี่ยวหลุนที่อยู่บนหัวไหล่

 

“หากกล่าวกันตามเหตุและผลแล้ว เจ้าขณะนี้สมควรที่จะทะลวงไปได้แล้ว แต่ว่าเจ้าในเมื่อยังไม่ทะลวงไปแล้วละก็ เหมือนกับมีความนัยบางอย่างอยู่ เจ้าจำเป็นที่จะต้องข้ามพ้นพลังสวรรค์หรือเปล่า!?” เสี่ยวหลุนคาดเดาขึ้นมา “หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วละก็ ขณะนี้เจ้าสวมเอาไว้ด้วยอาภรยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุอำพรางการคำนวณของสวรรค์ พ้นพลังสวรรค์ย่อมไม่อาจที่จะค้นหาเจ้าได้ เจ้าก็เหมือนกับได้หลุดพ้นจากพลังสวรรค์ ย่อมต้องไม่อาจที่จะก้าวออกไปด้วยสภาพเช่นนี้ไปได้ จะกลายเป็นระดับราชันที่แท้จริง ”

 

“ข้ามพ้นพลังสวรรค์?” เยี่ยจงในเวลานี้ก็ร่ำไห้ไม่ออกหัวเราะมิได้ พ้นพลังสวรรค์สิ่งนี้เขาเองก็ย่อมต้องทราบ กล่าวกันโดยส่วนมาก ขอเพียงช่วงเวลาของการระดับราชันจึงจำเป็นที่จะต้องข้ามพ้นพลังสวรรค์ ขณะนี้เขาทว่าพึ่งจะเข้าสู่ระดับราชันเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่ายังจำเป็นที่จะต้องข้ามพ้นพลังสวรรค์อีก? นี้ไม่ว่าจะคาดคิดอย่างไรเช่นนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีส่วนที่ช่วยได้เลย

 

“เจ้าหนู เจ้าอย่าพึ่งคิดว่าไม่มีส่วนที่พึ่งพาได้ก่อนเลย นับแต่โบราณมาบุคคลที่เป็นดั่งมารร้ายที่แท้จริง ต่างก็เริ่มมาจากระดับราชันแทบทั้งสิ้น ก็เหมือนกับการถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ กล่าวกันว่าผู้ที่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ยิ่งมากเท่าไรกันตามเหล่านั้น วันข้างหน้าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็ยิ่งมีความน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เจ้าขณะนี้หากว่าสามารถที่จะข้ามพ้นพลังสวรรค์ได้จริงแล้วละก็ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าพลังมารร้ายของเจ้านั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น้อยครั้งจะพบพานได้! นี้จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี เจ้าสมควรที่จะภาคภูมิจึงจะถูก……” เสี่ยวหลุนเอ่ยขึ้นมา แต่ว่าก็ยังเกิดความลังเลอยู่หลายส่วน “ทว่า เจ้าอีกสักพักในเวลาที่ได้ข้ามพ้นพลังสวรรค์ จงจำเอาไว้ว่าอย่าได้ลากปู่หลุนข้าไปเกี่ยวข้องก็แล้วกัน ปู่หลุนข้าไม่มีความสนใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ!”

 

หลังจากที่สิ้นเสียง เสี่ยวหลุนก็ได้หายวับไป ทันใดนั้นก็ได้มุ่งหน้าลอยออกไปไกลยังอีกทางด้านหนึ่ง ฉากนี้ได้ทำให้เยี่ยจงเอ่ยอันใดไม่ออกขึ้นมาเป็นสาย เสี่ยวหลุนผู้นี้ก็ช่างพึ่งพาไม่ได้เลย ในช่วงเวลาสำคัญ นึกไม่ถึงว่ากลับหลบหนีไป?

 

“ช่างเถอะ มาข้ามพ้นพลังสวรรค์กันเถอะ ” เยี่ยจงหลังจากที่ขมวดคิ้ว ก็ได้เตรียมพร้อมถอนอาภรยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุออกจากร่าง เริ่มต้นการข้ามพ้น

 

“ไม่ได้การแล้ว พี่เยี่ย กงยี่จวินเด็กน้อยผู้นั้นฆ่าสังหารเข้ามาแล้ว!” ทันใดนั้น จงหลี่และหลิงเฟ่ยทั้งสองคนก็ได้ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ในช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ นึกไม่ถึงมนุษย์มารกงยี่จวินนั้นจะฆ่าสังหารออกมา

 

“เด็กน้อยนั้นก็ช่างไม่เกรงกลัวว่าจะต้องมาถูกข้าฟาดจนตายหรือไงกัน?” เยี่ยจงขมวดคิ้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่ามนุษย์มารกงยี่จวินเหตุใดถึงได้ฆ่าสังหารมาหาตนเองถึงที่

 

“เด็กน้อยนั้นราวกับว่าสำเร็จพลังเทวะขั้นที่สามไปแล้ว ขณะนี้จึงเกิดความเหิมเกริมไร้ที่เปรียบ เขาได้ปิดกั้นทางออกของสถานที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว กล่าวว่าจะฆ่าสังหารพี่เยี่ยท่าน แน่นอนว่า เขาขณะนี้ยังไม่ทราบถูกสถานะของพี่เยี่ย ” จงหลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบหลั่งเต็มใบหน้า พลังฝีมือของมนุษย์มารกงยี่จวินแต่เดิก็ถือได้ว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เดิมทีแล้วพวกเขาคำนวนเอาไว้แล้วว่านั้นหลังจากที่เยี่ยจงเข้าสู่การทะลวงพลังได้สำเร็จแล้ว จึงค่อยกลับไปหาเรื่องกงยี่จวินใหม่ แต่ว่าคิดไม่ถึงเขาจะฆ่าสังหารเข้ามาเองจนถึงที่

 

“พี่เยี่ย หรือไม่ว่าเจ้าขณะนี้เปลี่ยนใบหน้าอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ตบตาไม่ให้เขาจดจำขึ้นมาได้ ” จงหลี่ออกความเห็นอย่างสะเปะสะปะ

 

เยี่ยจงส่ายหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายหาญกล้าที่จะมาหาถึงที่ ยังไงเสียก็ต้องมีการเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ในเวลาเช่นนี้ต่อให้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อมา เขาก็ได้ค่อยๆ ที่จะลุกขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วก็มิงไปยังทางด้านบริเวณทางด้านหน้า

 

“ตูม——”

 

ฉากเบื้องฟ้านั้นเอง ร่างกายสายหนึ่งก็ได้ค่อยๆ ที่จะทอดลงมา ยืนอยู่บริเวณด้านบนของยอดเขา จ้องมองเข้ามาทางด้านของเยี่ยจงอย่างเย็นชา

 

และในเวลาเดียวกันนี้เอง ก็ยังสามารถที่จะพบเห็นเงาร่างที่อยู่โดยรอบกำลังจับตามองเข้ามาอยู่ เห็นได้ชัด กงยี่จวินเพื่อที่จะช่วงชิงชื่อเสียงของตนเองกลับไป ขณะนี้นึกไม่ถึงยังถึงกับชักชวนกลุ่มผู้คนเข้ามา เพื่อที่จะให้พวกเขาได้เห็นว่าตัวเขาเองนั้นจะฟาดเยี่ยจงให้ตายลงอย่างไร

 

“เจ้าจมูกโค วันนี้ข้าจะให้เจ้าใช้ออกด้วยอาวุธอันใดก็ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจที่จะรอดพ้นจากการถูกข้าสังหารไปได้แล้ว! เพียงแค่มือเปล่าข้าก็ยังพอที่จะสามารถฟาดเจ้าพลิ้วไปได้แล้ว!” กงยี่จวินจดจ้องเยี่ยจง ทอสีหน้าเยียบเย็นขึ้นมา สภาวะอากาศก็ได้พุ่งสูงขึ้นไปอีกเก้าชั้น

 

“ช่างเป็นวาจาที่ใหญ่โตเสียจริง ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้เป็นผู้ใดกันที่หนีหัวซุกหัวซุนไปถึงสองครั้งครา ” เยี่ยจงยกมุมปากขึ้นมา ยื่นมือออกมาลูบไปที่คาง มิได้มองไปยังทางด้านของกงยี่จวินอย่างซึ่งๆ หน้าแต่อย่างไร

 

คนอื่นๆ ต่างก็เกิดอาการแตกตื่นตกใจ กงยี่จวินนี้เข้ามาเพื่อกู้ศักดิ์ศรี เห็นได้ชัดย่อมต้องมีการเตรียมการรับมือเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่ว่าเด็กน้อยเบื้องหน้าสายตาผู้นี้นึกไม่ถึงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย?

 

ฉากเบื้องหน้านี้ ราวกับว่ายิ่งดูก็ยิ่งน่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ!

.

.

.

.

กลุ่ม / 100บาทครับ

กลุ่มละ 80ตอน
โปรโมชั่น กลุ่ม 6-13 ราคา 600
VIP5 https://goo.gl/ekcF7V
VIP6 https://goo.gl/4rqw89
VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA
VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x
VIP9 https://goo.gl/1jPZtn
VIP10 https://goo.gl/L8awva
VIP11 https://goo.gl/rojEiG
VIP12 https://bit.ly/2lRgnUn
VIP13 https://bit.ly/2mkmj8y
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
INBOX m.me/ZuiQiangWuShen
#####Fanpage#####
https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset