ตอนที่ 552 เขตแดนโบราณกาล
เบื้องหน้าสายตาของพื้นที่เขตแดนเริ่มต้นนี้ถือได้ว่าเก่าแก่อย่างถึงที่สุด ปกคลุมเอาไว้ด้วยชนิดหนึ่งบรรยากาศแดนโบราณกาลเอาไว้ ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่แต่ละต้นก็ได้มีขนาดใหญ่โตจนสูงเสียดฟ้าก็ว่าได้ ใหญ่โตจนถึงขั้นยากที่จะคาดเดาขึ้นมาได้ ราวกับว่า พื้นที่สายนี้ถือได้ว่าเป็นส่วนที่เก่าแก่ส่วนหนึ่ง ที่ได้มีการคงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ก็มิปาน
ใจกลางเขตแดนสายนี้ มีพลังปราณฟ้าดินประดุจสายน้ำก็มิปาน ราวกับได้กลายเป็นยามค่ำคืนไป ทั่วสี่ด้านต่างก็มียาปราณ ยาปราณเหล่านี้ต่อให้ไม่จำเป็นที่จะต้องหล่อหลอมจนกลายเป็นโอสถปราณ เพียงแค่กินเข้าไปเช่นนี้ก็สามารถที่จะเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะคาดคิดขึ้นมาได้แล้ว
แต่ว่า พื้นที่ที่เป็นความเก่าแก่สายนี้ กลับไม่อาจที่จะพบเห็นด้านบนภูเขาลูกที่เก้าที่เมื่อครู่ไม่อาจที่จะมองเห็นได้ ยกเว้นแต่ว่าเมื่อได้มาถึงยังสถานที่แห่งนี้จึงจะสามารถที่จะพบเห็นได้
ไต๋ซือหวู่โหวกำลังขมวดคิ้วอยู่ หลังจากที่ได้ก้าวออกไปทางด้านหน้าอยู่หลายก้าวแล้วก็ได้ถอยกลับมาอีกหลายก้าว หลังจากที่ได้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเช่นนี้แล้ว บนใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมา
“ที่แห่งนี้ราวกับมีความประหลาดอยู่ส่วนหนึ่งนะ เมื่อได้ไปทางด้านหน้าหลายก้าวกับถอยไปทางด้านหลังหลายก้าว แทบจะไม่เหมือนกันเลย อีกทั้งยังมีคนส่วนหนึ่ง ราวกับแม้แต่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่อาจที่จะมองเห็นได้ ได้แต่เพียงตกตะลึงในที่แห่งนี้ ”ไต๋ซือหวู่โหวเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างยิ่ง กำลังขมวดคิ้วอยู่ ทั้งหมดได้กลายเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในอีกแบบหนึ่งแล้ว
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงและพวกก็ได้หันหน้ามามองในทันที มุ่งหน้าไปยังบริเวณทางด้านหลังเพื่อดู แล้วก็ได้พบว่าคนมากมายขณะนี้ส่วนใหญ่ประดุจดั่งกำลังหลงทางอยู่ก็มิปาน ยังคงวนเวียนอยู่ในจุดเดิม กลับมิใช่ว่าทุกผู้คนจะสามารถที่จะมองเขตแดนนี้ได้อย่างชัดเจนได้
“นี้ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกัน? ”เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา เหมือนกับคิดอันใดไม่ออกขึ้นมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“บางที นี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าวาสนาเซียนแล้ว พวกเราถือครองแผนที่หมื่นมังกรจึงจะสามารถที่จะพบเห็นสถานที่แห่งนี้ได้ นี้ก็คือวาสนาเซียนของพวกเราแล้ว แต่ว่าที่บุคคลอื่นๆ ไม่อาจพบเห็นได้ ก็เป็นเพราะพวกเขานั้นไร้วาสนา……”จงหลี่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้งครา ราวกับนึกความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาได้
“ย่อมต้องมีความเป็นไปได้เช่นนี้แน่นอน เขตแดนสายนี้ถือเป็นเขตแดนโบราณกาลในตำนานก็ว่าได้ อย่างน้อยท่ามกลางฟ้าดินผืนนี้ในช่วงกาลก่อนก็คงถูกบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว สถานที่แห่งนี้ เกรงว่าคงจะต้องเป็นพื้นที่สุสานเซียนจริงแล้ว พวกเจ้าต้องระวังกันหน่อยนะ สถานที่แห่งนี้ไม่อาจที่จะดูแคลนได้เลย ”ไต๋ซือหวู่โหวขมวดคิ้วขึ้นมาสักพัก จึงได้กล่าวเตือนสติขึ้นมาอย่างหนักแน่น
ห้าคนหนึ่งคณะต่างก็พยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียง สิ่งที่พบเห็นได้จากก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ถึงความไม่ปกติธรรมดาของสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว หากมองจากมุมมองเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นสุสานที่มีเซียนที่แท้จริงอยู่จริงแล้ว
“เขตแดนสายนี้มิได้ใหญ่โตมากนัก ก่อนหน้านี้ที่ได้มีสมบัติแห่งแดนซีฮวงโลงศพเก้าฟ้าปรากฏขึ้นมาที่สุสานชั้นที่หนึ่ง ไม่ทราบว่าจะมีการคงอยู่ในใจกลางเขตแดนสายนี้หรือไม่กัน ”นางเซียนชิงหญิงเหมือนกับกำลังอยู่ในความคิด ที่เอ่ยปากขึ้นมาด้วยความลังเล
หลังจากที่เงียบงัน ผู้คนทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ในเวลาเดียวกันมุ่งหน้ามองไปบริเวณทางด้านหน้าอย่างละเอียด ควรทราบว่า เมื่อวันก่อนโลงศพหยกนั้น ก็ถือได้เป็นสมบัติแห่งแดนซีฮวงโลงศพเก้าฟ้าในตำนานที่ได้ปรากฏขึ้นมา ถือได้เป็นตัวกระตุ้นความเคลื่อนไหวของชนชั้นมหาราชันสิบกว่าตน ห่างว่าสิ่งของชิ้นนั้นปรากฏขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้แล้วละก็ ไม่ทราบว่ากระตุ้นให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมาได้อีกกัน
“ระวังหน่อยนะ ไปพร้อมกัน ในสถานที่แห่งนี้ ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่อย่างข้าก็ไม่อาจที่จะรับรองได้ว่าจะสามารถรับรองความปลอดภัยได้ ”สีหน้าของไต๋ซือหวู่โหวก็ได้เคร่งเครียดจนปั้นยากขึ้นมา เช่นนี้ก็จะกลายเป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่าถึงความไม่ธรรมดาสามัญของสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว
ต่อมา ห้าคนหนึ่งคณะก็ได้เข้าสู่ใจกลางอย่างระมัดระวัง
“พวกเจ้าดู ชนชั้นมหาราชันเหล่านั้นเองก็เข้ามาแล้ว! ”ทันใดนั้นหลิงเฟ่ยก็ได้ชี้ออกไปทางด้านหนึ่ง จนสามารถที่จะมองเห็นเงาร่างหลายสายที่เข้ามาได้ แท้จริงแล้วก็คือชนชั้นมหาราชันหลายคนนั้นเอง
เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา นอกเสียจากพวกเขาแล้ว ก็พบเห็นแต่เพียงแค่ชนชั้นมหาราชันเหล่านี้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ นี้ไม่ทราบว่าถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีได้หรือไม่ หากมองจากภายในขอบเขตที่มี หากว่าเขามีคนที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้น้อยเกินไปแล้วละก็ เช่นนั้นเหมือนกับได้สูญเสียตัวเลือกที่ใช้ไว้เพื่อเสี่ยงไปเช่นกัน
และหากกลายเป็นว่ามีการปรากฏขึ้นมาของศพแห่งเซียนขึ้นมาจริง กับหนึ่งคณะห้าคนนี้คิดที่จะเข้าแย่งชิงกับชนชั้นมหาราชัน ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความยากเย็นเป็นอย่างมากจนเกินไปแล้ว
เยี่ยจงกล่าวความคิดเห็นออกมา ในขณะนั้นผู้คนทั้งหมดต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะว่าหากว่าเป็นเช่นนี้จริง พบว่าสมบัติแห่งแดนและตนเอง*เฉียดไหล่แล้วก็ผ่านไปแล้วละก็ เช่นนั้นหดหู่เสียยิ่งกว่าหดหู่แทบตายแล้ว อาจจะถึงขั้นกระอักเลือดออกมาได้ในทันที
*เฉียดไหล่แล้วก็ผ่านไป (擦肩而过 สำนวน ไร้วาสนา
จงหลี่หลังจากขมวดคิ้วขึ้นมา จึงได้เร่งทำการทำนายขึ้นมาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าแล้วกล่าว : “ทั้งหมดก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นชะตากรรม จากการคำนวณลิขิตสวรรค์ในสถานที่แห่งนี้ คาดว่าจะมีหมอกหนาเพิ่มขึ้นมาชนิดหนึ่งก็มิปาน ขอเพียงมีชะตากรรมที่ไม่แน่นอน เช่นนั้นพวกเราก็จะมีโอกาส ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถครอบครองวาสนาที่ใหญ่หลวงได้จริง ”
เยี่ยจงมองไปที่จงหลี่คราหนึ่ง เด็กน้อยผู้นี้แม้ว่าจะเพียงศึกษาตำราคำนวณเพียงแค่ครึ่งก้าว แต่ว่าระดับความรู้ลึกซึ้งเช่นนี้กลับมิตื้นเขิน ในเวลาเช่นนี้นึกไม่ถึงยังจะสามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
“เดรัจฉานน้อยจงกล่าวได้มิผิด ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่อ่านที่จะเลือกได้ว่าแน่นอนได้ ตาเฒ่าตายยากเหล่านั้นยังมิได้เกิดความคิดที่น่าหวาดกลัวอย่างเจ้าเลย ไม่ต้องกลัวไปหรอก ”ไต๋ซือหวู่โหวหัวเราะหึหึอย่างเย็นชา จากนั้นโบกมือคราหนึ่ง เป็นเครื่องหมายให้ทุกคนเพิ่มความเร็วขึ้นมา
“อือ? ”
เมื่อได้เหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนสายนี้ไม่ทันถึงร้อยเมตร เยี่ยจงทันใดนั้นค่อยๆ งงงันขึ้นมา วินาทีนั้นก็ได้เข้าใจบางอย่างขึ้นมา ในขณะนั้นเอง พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะทั้งสองชนิดภายในร่างกายของเขาก็ได้เริ่มที่สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย นึกไม่ถึงจะมีเขาเค้าลางของลักษณะพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะระดับที่สามออกมาได้
“นี้……เป็นไปได้อย่างไร!? ”เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นทันใดนั้น*กระจ่างแจ้งในพลังขึ้นมา พริบตานั้นดั่งเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวมากมายขึ้นมา
ร่างหกวิถีของเขา มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าลิ่วหยินเจว่ม่าย (หกชีพจรแห่งความสิ้นหวัง六阴绝脉) แต่ว่าเสี่ยวหลุนก็กล่าวอีกว่า นี้ที่สามารถที่จะเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ในตำนานได้ และสถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นเขตแดนที่ถูกหลงเหลือความเป็นโบราน (ไท่กู่) อยู่สายหนึ่ง ใจกลางเขตแดนสายนี้ได้ซ่อนเอาไว้ด้วยสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ของเขาอยู่ส่วนหนึ่ง หากว่าสามารถที่จะฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ได้แล้วละก็ ใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ความมหัศจรรย์ของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะอย่างที่สามเรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก
“น่าเสียดาย หากว่าสามารถที่จะฝึกฝนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ซักหลายเดือนได้แล้วละก็ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าฝึกอยู่ที่ดินแดนภายนอกซักหลายปี ”เยี่ยจงถอนหายใจ เพียงแต่น่าเสียดายเรื่องราวเฉกเช่นนี้ไม่อาจเป็นจริงได้ ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ เขาจะมีเวลาที่จะฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน
“หากว่าสามารถได้ครอบครองศพแห่งเซียนศพเดียว เฝ้าฝึกฝนมันทั้งคืนวันแล้วละก็ ยังดีเสียกว่าในสถานที่แห่งนี้มากแล้ว เสี่ยวเยี่ยจื่อ อย่าได้คิดมากไป วาสนาที่แท้จริงอยู่ตรงหน้าแล้ว! ”ไต๋ซือหวู่โหวเตือนสติขึ้นมาในทันที มิให้เยี่ยจงเข้าไปยังสถานที่แห่งนี้
เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ แต่ก็มิได้คิดอะไรมากมายนัก ทว่าเขาก็ได้จับตามองไปที่เสี่ยวหลุนอย่างไม่เกรงใจ จะสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินจากสถานที่แห่งนี้ได้มากน้อยแค่ไหนก็แค่นั้น วันข้างหน้าอย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์อยู่
“ตูม——”
ทันใดนั้น เขตแดนจุดเริ่มต้นทั้งหมดก็ได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง ในบริเวณที่ห่างไกล ถึงกับสามารถที่จะได้ยินเสียงคำรามจากมังกรอันน่าหวาดกลัวดังขึ้นมา
“ให้ตายเถอะ ชนชั้นมหาราชันกลุ่มนั้นคงจะไม่ได้ค้นหาปลายทางหรอกนะ? นึกไม่ถึงจะกลายเป็นการยั่วยุมังกรแท้ออกมา? ”จงหลี่กระโดดจนมาถึงบนยอดต้นไม้ ทอดสายตามองออกไปบริเวณที่ห่างไกล สามารถที่จะพบเห็นกับการปรากฏเงามังกรที่เลือนรางสายหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ก็เหมือนมีชนชั้นมหาราชันทั้งสองตนกำลังลงมือออกมายกใหญ่ เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมความพร้อมรับมือมังกร
เห็นได้ชัด มังกรตัวนั้นอย่างน้อยก็คงจะกำลังคุ้มครองสิ่งของที่ยอดเยี่ยมบางอย่างเอาไว้อยู่ แม้แต่ชนชั้นมหาราชันเองก็ยังต้องเกิดความหวั่นไหว
“นั้นคงจะไม่ใช่มังกรแท้ เพียงแต่มีพลังการต่อสู้ในระดับมหาราชันของมหาราชันมังกรอสรพิษ ด้วยร่างกายที่สามารถเพียงพอที่จะต่อกรกับชนชั้นมหาราชันทั้งสองตนได้ ก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งได้แล้ว ”จากนั้นไต๋ซือหวู่โหวมองไปยังทางด้านนั้น กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทอสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
เพราะว่า หากว่าท่ามกลางเขตแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นผืนนี้ต่างก็มีความแข็งแกร่งดั่งเช่นปีศาจมหาราชันแล้วละก็ เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือของพวกเขาทั้งคณะนี้ ย่อมไม่อาจที่จะที่จะแย่งชิงกับคนอื่นได้อย่างแน่นอน
“นั้นคือมหาราชันปีศาจลิ่วเอ่อและมหาราชันปีศาจทุนเทียน ”เยี่ยจงนั้นมีความประทับใจที่ลึกซึ้งกับปีศาจมหาราชันทั้งสองคนนี้ พริบตานั้นก็จดจำขึ้นมาได้
จ้องไปที่ปีศาจมหาราชันทั้งสองคนนี้หลังจากนั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้หัวเราะออกมา หัวเราะเสียงร้องหึหึเดินเข้าไปพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของไต๋ซือหวู่โหวไปมา กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา : “ไต๋ซือ พวกเรามาหารือเรื่องบางเรื่องกันเถอะ ”
“หารือเรื่องอะไรกัน? เจ้าคิดจะไม่คิดจะให้ข้าลงมือเพื่อที่จะหาเรื่องยุ่งยากให้กับเด็กน้อยสองคนนั้นหรือไม่กัน? เด็กน้อยทั้งสองคนนี้แม้ว่าจะน่ารังเกียจ แต่ว่าข้าแค่คนเดียวย่อมไม่อาจที่จะต่อกรได้หรอกนะ! ”ไต๋ซือหวู่โหวส่ายหน้าที่ไม่ต่างจากการลั่นกลอง พูดเป็นเล่นไป คนที่จะสามารถสำเร็จระดับมหาราชัน มีง่ายดายที่ไหนกันบ้าง?
“ไม่หาเรื่องยุ่งยากกับพวกเขา ทว่าสายตาของเด็กน้อยทั้งสองคนนี้อำมหิตอย่างยิ่ง พวกเขาในเมื่อหาเรื่องยุ่งยากกับมหาราชันมังกรอสรพิษนั้นแล้ว เช่นนั้นก็บอกได้ว่า สถานที่มหาราชันมังกรอสรพิษคอยคุ้มกันอยู่จะต้องมีประโยชน์ขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมไม่อาจที่จะเกิดผลแพ้ชนะขึ้นภายในชั่วครู่เดียวได้อย่างแน่นอน ไม่สู้พวกเราลงมือออกไปในทันที ขัดขวางจนทำให้พวกเขาต่างก็ไม่ได้อะไรกลับไป! ”เยี่ยจงหัวเราะเสียงเย็นชาติดต่อกัน ชนชั้นมหาราชันทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา หากว่ามีโอกาสที่จะบ่อนทำลายสักคราแล้วละก็ เขาย่อมไม่เกรงใจอย่างแน่นอน
“ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย แต่ว่าพวกเราจะเข้าไปอย่างไรกัน? ”ไต๋ซือหวู่โหวขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ว่าก็ยังคงเกิดความตื่นเต้นขึ้นอย่างมาก
“ไต๋ซืออาภรณ์ยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุที่ท่านยืมข้า ถ้างั้นขอให้ข้ายืมเพื่อจัดตั้งค่ายกลยันต์ปราณ ที่เพียงพอจะซ่อนบรรยากาศของพวกเราทั้งห้าได้ หลังจากเข้าไปใกล้แล้วจะได้ประโยชน์อันใดแล้วละก็ ทุกคนต่างฝ่ายก็ใช้ฝีมือของตน แต่ห้ามใช้วิธีการโจมตีผสานกัน เป็นอย่างไร? ”เยี่ยจงทอสีหน้าสงบ นึกถึงวิธีเช่นนี้ขึ้นมาได้ตั้งแต่แรก
ไต๋ซือหวู่โหวมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาย่อมต้องทราบอยู่แล้วว่าเยี่ยจงนั้นเป็นผู้ใช้ยันต์ปราณ อีกทั้งยังเข้าใกล้ที่จะสู่การเป็นบุคคลที่สำเร็จระดับยันต์ราชัน หากว่าเป็นเพียงการจัดตั้งแล้วละก็ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะต้องปิดบังการรับรู้ของชนชั้นมหาราชันทั้งสามตนได้แน่นอน
“ได้ ลงมือเถอะ ทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ดื่มน้ำล้างเท้าของพวกเราเถอะ! ”ไต๋ซือหวู่โหวเองก็หัวเราะเสียงเย็นชาติดต่อกัน นำอาภรณ์ยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุถอดออกมาอย่างรวดเร็ว
เยี่ยจงพลิกรอยตราทั้งสองมือเปลี่ยนแปรไปมาติดต่อกัน ใช้ด้วยยันต์ปราณหลายสาย จนทำให้อาภรณ์ยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุลอยขึ้นอยู่เหนือด้านบนของท้องฟ้า ปกคลุมไปยังบริเวณเหนือศีรษะของคนทั้งห้า จากนั้นห้าคนหนึ่งคณะก็ได้เข้าไปทางด้านหน้า มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ยังทางด้านนั้นอย่างระมัดระวัง
ขณะนี้ มหาราชันปีศาจลิ่วเอ่อ มหาราชันปีศาจทุนเทียนและมหาราชันมังกรอสรพิษคนนั้นก็ได้ต่อสู้จนถึงขั้นตึงเครียดอย่างถึงที่สุดแล้ว คนทั้งคณะก็ได้หลบเลี่ยงการต่อสู้ของพวกเขาผ่านทางด้านข้างไปอย่างระมัดระวัง มีไต๋ซือหวู่โหวคอยให้คุ้มกัน แต่ก็มิได้เกิดเรื่องราวอันใดออกมา
ไม่นานนัก คนทั้งคณะได้เข้ามาจนถึงบริเวณทางด้านข้างของทะเลสาบ ในที่แห่งนี้ก็ได้มีถ้ำที่แห้งแล้งแห่งหนึ่ง ด้านในก็ได้มีบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวชนิดหนึ่งสาดออกมา เห็นได้ชัดเป็นสถานที่ที่มหาราชันมังกรอสรพิษนั้นเก็บตัวฝึกฝนมาเป็นเวลานาน
บริเวณใจกลางในถ้ำแห่งนี้ มีไข่สามฟองที่มีกลิ่นอายที่อบอุ่นดั่งหยกก็มิปาน มีขนาดใหญ่เท่าศีรษะมนุษย์ แต่ว่ากลับไหลเวียนออกมาด้วยพลังความเคลื่อนไหวของเทวะอยู่
“นี้คือไข่มังกรอสรพิษ อีกทั้งยังมีโลหิตที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด มีความใกล้เคียงกับมังกรแท้เป็นอย่างยิ่ง หากว่าสามารถนำมาเลี้ยงได้แล้วละก็ จะต้องกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คุ้มกายได้แน่ ”ไต๋ซือหวู่โหวทอประกายสายตาออกไปเบื้องหน้า จนเกือบที่จะลิงโลดจนวิงเวียนไป ของสิ่งนี้ยากที่จะแม้แต่พบเจอ ไม่แน่ว่าวาสนาที่พบเจออาจจะสามารถดีขึ้นมาก็ได้
“น่าเสียดายที่มีเพียงแค่สามฟอง ไม่เพียงพอที่จะแบ่งได้ลงตัวกับพวกเราที่มีอยู่มากมายเช่นนี้! ”จงหลี่เองก็ทอประกายสายตาออกไปเบื้องหน้า เกือบที่จะมุ่งหน้าขึ้นมา
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้น สถานที่แห่งนี้ไม่แต่เพียงมีไข่มังกรอสรพิษเท่านั้น เป็นถึงสถานที่ที่ปีศาจมหาราชันสองตนต้องตา เป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีเพียงแค่นี้ได้กัน? ”เยี่ยจงกำลังเหยียดหยามพวกเขา ทอดสายตาเข้ายังท่ามกลางถ้ำที่ดูปกติธรรมดาอย่างระมัดระวัง เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศชนิดหนึ่งที่แตกต่าง
“ดูทางนั้น! ”หลิงเฟ่ยทันใดนั้นสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง ชี้เข้าไปยังส่วนลึกของหลุม ทอสีหน้าประหลาดขึ้นมา
แล้วก็ได้พบเห็นที่ตรงนั้นมีแท่นเซ่นไหว้ที่คล้ายกับของเผ่ามนุษย์ตั้งอยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นก็มิปาน ด้านบนแท่นเซ่นไหว้ก็ได้ว่างเอาไว้ด้วยสิ่งของหลายชิ้น ต่างก็กำลังทอเป็นประกายแห่งสมบัติออกมา
ในขณะนั้นเอง ดวงตาของผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปในทางเดียวกัน!
.
.
.
.