ตอนที่ 553 ชิงสมบัติ
ด้านบนแท่นเซ่นไหว้ ก็ได้จัดวางสิ่งของระเกะระกะเอาไว้หลายอย่าง อย่างแรกที่เตะตาก็คือกระดูกมือข้างหนึ่ง มีลักษณะที่เก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีประกายแสงสีทองไหลเวียนอยู่ทางด้านบน ระหว่างนั้นก็จะสามารถที่จะพบเห็นของอักขระเก่าแก่ส่วนหนึ่งกำลังสาดเป็นประกายอยู่ในบริเวณนี้
“นี้ก็คือกระดูกศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน! ”
ไต๋ซือหวู่โหวเป็นคนแรกก็ได้มีปฏิกิริยากลับคืนมา จ้องไปที่วัตถุชิ้นนี้ ทั่วทั้งร่างต่างก็สั่นไหวขึ้นมา
“กระดูกศักดิ์สิทธิ์ คงจะมิใช่ว่าสิ่งของชิ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่เล่าขานกันหรอกนะ? ”เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา เหมือนกับนึกเรื่องเล่าลือขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง
“สมควรที่จะต้องเป็นสิ่งของชิ้นนั้น ที่เป็นระดับที่อยู่เหนือกว่าชนชั้นมหาราชันที่เรียกกันว่ามนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุ ก็คือสิ่งของที่มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะหลอมขึ้นมาได้ เพียงแต่ว่า ทั่วทั้งสี่ดินแดนในขณะนี้สมควรที่จะไม่มีการปรากฏตัวของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจึงจะถูก เป็นไปได้อย่างไรกันที่สถานที่แห่งนี้มีกระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์? ”จงหลี่กลืนน้ำลงคอไป ทอสีหน้าแปลกใจขึ้นมา
ทั่วทั้งสี่แดน มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นเหมือนดั่งตำนานก็มิปาน ควรทราบว่า ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนก็คือชนชั้นมหาราชัน แทบจะไม่เคยได้ยินคำกล่าวถึงมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าขณะนี้นึกไม่ถึงกลับถึงกับพบเห็นกระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ถึงชิ้นหนึ่ง จะกล่าวไปก็ถือได้ว่าทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อได้ลง
กระดูกมือชิ้นนี้ อย่างน้อยก็คงจะต้องเก็บซ่อนความลับแห่งแก่นแท้เอาไว้อยู่ ไม่แน่ว่าภายในนั้นอาจจะเก็บซ่อนสิ่งที่เป็นวิชาการฝึกปรือจากหลักความการบรรลุทั้งหมดที่ถ่ายทอดมาจากมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้
ในขณะนั้นเอง ต่อให้ผู้ที่มีความรอบคอบอย่างนางเซียนชิงหญิงต่างก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ ยิ่งไปกว่านั้นคนอื่นๆ ดังนั้นราวกับว่าภายในพริบตานั้น ทั้งห้าคนก็ได้ลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน
ทว่า ด้วยช่องว่างที่คับแค้นเช่นนี้ ห่างว่าต้องการที่จะเทียบเปรียบความเร็ว แม้แต่ไต๋ซือหวู่โหวก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจง ชั่วพริบตาเดียว เยี่ยจงก็ได้ทะยานออกไปยังบริเวณทางด้านหน้า แล้วก็ได้คว้าจับไปที่กระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์นั้น
ที่เหลืออีกสี่คนก็ได้หยุดกายลงในเวลาเดียวกัน ทอสีหน้าประหลาดขึ้นมา ทุกคนร่วมเดินทางกันมาจนถึงขั้นนี้ มิใช่ว่าคิดที่จะไม่กล่าวถึงเหตุผลกัน แต่เป็นเพราะว่าสถานการณ์ตลอดมานี้เพียงแค่ยังไม่มีสมบัติแห่งแดนที่พอจะทำให้ลงมือกันเองก็เท่านั้น ในขณะนั้นเอง แม้ว่าทุกผู้คนต่างก็เกิดจิตละโมบ แต่ว่าแม้แต่ไต๋ซือหวู่โหวก็ยังไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะลงมือ
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ ส่งมอบวัตถุชิ้นนี้มาให้อาตมา อาตมาจะถือว่าติดค้างหนี้ชีวิตต่อเจ้าคราหนึ่ง ”ไต๋ซือหวู่โหวเอ่ยปากขึ้นมาด้วยเสียงแหบพร่า ทอสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
จงหลี่และชิงหญิงและพวกต่างก็ขยับร่างกายขึ้นในเวลาเดียวกัน สีหน้าที่ยากจะเชื่อขึ้นมาได้มองไปที่ไต๋ซือหวู่โหว ถึงกับสามารถที่จะทำให้ชนชั้นมหาราชันผู้หนึ่งกล่าวเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะบอกถึงความสำคัญของวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาได้แล้ว
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า วัตถุชิ้นนี้ในมุมมองของข้านั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากว่าสามารถได้ครอบครองแล้วละก็ อาจารย์ปู่อย่างข้าไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประสบความสำเร็จสู่อีกขั้นภายในร้อยก้าว ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่จะสำเร็จสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้! ”ไต๋ซือหวู่โหวทอสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง กล่าวออกมาถึงความลับที่ซ่อนเอาไว้
ในดินแดนนี้ ทั่วทั้งฟ้าดินสี่แดนได้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ด้านวิถีแห่งแก่นแท้กับสมัยโบราณกาลนั้นมิได้เหมือนกันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่จะสำเร็จสู่การเป็นมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนนั้นถือได้ว่ามีความยากเย็นเป็นอย่างมาก นี้ก็คือแรงกดดันจากแก่นแท้ชนิดหนึ่ง ที่ยากจะทำความเข้าใจได้
แต่ว่า หากว่าด้วยพลังฝีมือของเขา สามารถที่จะครอบครองกระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งแล้วละก็ เช่นนั้นไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นโอกาสก็เป็นได้ ที่จะทำให้ตนเองเข้าสู่สายทางแห่งความเป็นมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา
คนอื่นๆ ต่างก็ทอสีหน้าประหลาดออกมาอย่างยิ่ง นี้อันที่จริงถือได้ว่าเป็นวิชาลับที่จะเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่งก็ว่าได้ ชนชั้นมหาราชันมากมายก็ยังว่าจะสามารถที่จะยอมรับความในข้อนี้ได้ แต่ว่าขณะนี้ไต๋ซือหวู่โหวกลับออกปากยอมรับออกมาแต่โดยดี ไม่อาจที่จะไม่ทำให้ผู้คนถอนหายใจ
“หากว่าได้ครอบครองกระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ไต๋ซือท่านมีความเป็นไปได้กี่ส่วนกันที่จะสามารถสำเร็จเข้าสู่ระดับมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ได้? ”เยี่ยจงตกใจขึ้นมาอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่เอ่ยปากขึ้นมา
หลังจากที่ไต๋ซือหวู่โหวครุ่นคิด จากนั้นกล่าวออกมาด้วยตั้งใจ : “คาดว่าน่าจะไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำไป แต่ว่าเจ้าก็อย่าได้ดูแคลนหนึ่งส่วนนี้ไป ข้าหากว่าคาดเดาได้ไม่ผิดแล้วละก็ ขณะนี้ทุนเทียนและลิ่วเอ่อลงมือสู้กันยกใหญ่ กว่าแปดส่วนก็เพื่อวัตถุชิ้นนี้ เพราะว่าวัตถุชิ้นนี้หากกล่าวในมุมมองในกลุ่มคนเช่นพวกข้า ย่อมถือได้ว่าไม่มีอะไรเทียบได้เลย! ”
“เสี่ยวเยี่ยจื่อ นำวัตถุชิ้นนี้มาให้อาจารย์ปู่อย่างข้า ในครั้งนี้อาจารย์ปู่จะถือซะว่าติดค้างหนี้ชีวิตเจ้าอีกครั้ง แย่งชิงคัมภีร์โบราณภายในสถานที่แห่งนี้ให้เจ้า หากเป็นอย่างที่อาจารย์ปู่อย่างข้าคาดเดาไม่ผิดแล้วละก็ สถานที่แห่งนี้ต่อให้ไม่มีการปรากฏของสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากวิถีเซียน ต้องก็ย่อมต้องอยู่ในระดับที่มีความเกี่ยวข้องกับระดับจักรพรรดิฟ้าก็เป็นได้ อีกสักครู่อาจารย์ปู่จะออกไป ช่วยเจ้าช่วงชิง! ”ไต๋ซือหวู่โหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองไปทางเยี่ยจงที่ไม่ได้ตอบรับ เสนอข้อตกใจเพิ่มขึ้นมาอีก
เยี่ยจงคิดแล้วคิดอีก หลังจากนั้นก็ได้ยื่นกระดูกมือชิ้นนี้ แม้ว่ากล่าวไปด้วยความล้ำค่าของกระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่ว่าอย่างแรกก็คือจำเป็นที่จะต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ได้ อีกทั้ง ด้วยพลังขอบเขตของตนเองในขณะนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้วัตถุชิ้นนี้ มิสู้เปลี่ยนเพื่อที่จะให้ไต๋ซือหวู่โหวลงมืออย่างเต็มทีสักครา แย่งชิงวาสนาที่ยิ่งใหญ่ภายในสถานที่แห่งนี้กลับยิ่งดูน่าพึ่งพาเสียกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น นี้ก็เหมือนกับการสร้างน้ำใจให้แก่บุคคลในระดับชนชั้นมหาราชันผู้หนึ่งสวรรค์ ควรทราบว่า เมื่อวันก่อนไต๋ซือหวู่โหวได้ลงมือเพื่อตนเอง มีทั้งคำว่าน้ำใจมีทั้งลงมือ การให้วัตถุชิ้นนี้ จึงไม่ถือได้ว่าเป็นอะไรที่มากเกินไปเลย
ไต๋ซือหวู่โหวคว้าไปที่กระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ ราวกับกำลังยิ้มเย้ยไปยังท้องฟ้า จากนั้นเขาจึงค่อยสงบลงมาได้ เก็บสิ่งของลงไปอย่างรวดเร็ว กล่าว : “เสี่ยวเยี่ยจื่อเจ้าวางใจเถอะ ในครั้งนี้ผู้ใดก็ไม่อาจที่จะแตะต้องเจ้าได้อีกต่อไป อาจารย์ปู่อย่างข้าจะใช้กำลังพลังทั้งหมดช่วยเจ้าแย่งชิงวาสนาอันยิ่งใหญ่ภายในสถานที่แห่งนี้มาให้เจ้า มีการถ่ายทอดวิธีแห่งเซียน ก็แย่งชิงการถ่ายทอดวิธีแห่งเซียน มีศพเซียน ก็แย่งชิงศพเซียน มีอะไรก็ทำอะไร! ”
“เอาเถอะ อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระมากมายแล้ว ดูก่อนว่าที่เหลืออยู่นั้นมีอะไรอีกบ้างเถอะ ”เยี่ยจงหัวเราะไปมา มองไปยังสิ่งของสองชิ้นที่อยู่ด้านบนแท่นเซ่นไหว้คราหนึ่ง
หนึ่งในนั้นก็ได้มีแท่งไม้สีเขียวอร่ามก้านหนึ่ง ดูไปแล้วน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ทอเป็นประกายสว่างไสวเจ็ดสีขึ้นมา
“นี้ราวกับเป็นไม้สนในระดับตำนาน ”ชิงหญิงยื่นมือออกไป นำวัตถุชิ้นนี้มาไว้ในมือ จากนั้นก็มองไปอย่างหยาดเยิ้มแล้วก็ยิ้มแล้วกล่าว “ทุกท่าน ผู้น้อยก็ต้องการวัตถุชิ้นนี้แล้ว สิ่งของอื่นก็จะไม่แก่งแย่งกับพวกท่านอีกแล้ว! ”
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงและจงหลี่ต่างก็อ้าปากตาค้าง นางเซียนชิงหญิงผู้นี้ความเร็วในการลงมือก็ช่างไม่เชื่องช้าแม้แต่น้อย กล่าวกันว่าไม้สนนี้เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินมนุษย์เทพ จักรพรรดิฟ้าหลายตนก็ได้ใช้วิธีการเช่นนี้เดินทางไปยังสวรรค์ในตำนาน สิ่งของเฉกเช่นนี้ ไม่สมควรที่จะมีการคงอยู่จึงจะถูกต้อง แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าจะกลับปรากฏขึ้นมาสถานที่แห่งนี้ถึงก้านหนึ่ง
แต่หากมองในมุมมองกลับกันแล้ว ความล้ำค่าของวัตถุชิ้นนี้แน่นอนว่าต้องไม่อาจที่จะสูงไปกว่ากระดูกมือของมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
“ซวบ——”
เยี่ยจงและจงหลี่ลงมือในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้าเข้าไปและคว้าไปที่สิ่งของชิ้นสุดท้ายชิ้นนั้น ทว่าความเร็วของจงหลี่กระนั้นถือได้ว่าช้าไปส่วนหนึ่ง ได้แต่ทอสีหน้าโกรธเกรี้ยวจ้องมองไปที่เยี่ยจงที่หยิบไปที่สิ่งของชิ้นสุดท้าย
นี้ถือเป็นแผ่นหยกโบราณที่เก่าแก่ชิ้นหนึ่ง ดูไปแล้วสกปรกอยู่เล็กน้อย แต่ว่าที่ด้านบนกลับปกคลุมเต็มไปด้วยตัวอักษรยันต์อย่างถี่ยิบ ประดุจหนังสือสวรรค์ก็มิปาน เป็นที่น่าประหลาดอย่างยิ่ง
ไต๋ซือหวู่โหวพบเห็นวัตถุชิ้นนี้ ก็ได้ขยับร่างกายเล็กน้อยขึ้นมาทั้งร่าง ทอสีหน้าเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“ไต๋ซือ ท่านคงจะมิใช่กลายเป็นว่าต้องตาสิ่งของชิ้นนี้อีกหรอกกระมั่ง? ”เยี่ยจงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มจ้องมองไปทางไต๋ซือหวู่โหว
ไต๋ซือหวู่โหวมิได้เอ่ยปากขึ้นมา เขาเพียงจ้องไปที่ของสิ่งนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากนั้น จึงค่อยสูดลมหายใจเข้าแล้วกล่าว : “เสี่ยวเยี่ยจื่อ สิ่งของมาให้ข้าดูหน่อย เจ้าวางใจเถอะ ถ้าหากเป็นวาสนาของเจ้าเองแล้วละก็ ข้าก็ย่อมไม่แย่งชิงอยู่แล้ว ”
จงหลี่ก็ได้แทรกเข้ามา ทอสีหน้าแปลกใจขึ้นมาแล้วกล่าว : “พี่เยี่ย หรือไม่เช่นนั้นของสิ่งนี้ก็มอบให้แก่ข้า อย่างมากหลังจากนี้ข้าจะทุ่มเทชีวิตที่เหลืออยู่ให้ท่านเลย! ”
“พวกเจ้าทั้งสองทราบว่านี้คืออันงั้นหรือ? ”เยี่ยจงกวาดไปที่ทั้งสองคนนี้คราหนึ่ง ก็ได้มีความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังถูกหลอกลวงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นสิ่งของในตำนาน ”ไต๋ซือหวู่โหวกระนั้นยังถือได้ว่าพึ่งพาได้ หลังจากที่ลังเล ก็ได้กล่าวอธิบายออกมาเสียงแผ่วเบา
“ข้ารู้สึกได้ว่านั้นจะต้องเป็นสิ่งของระดับในตำนาน แต่ว่าจะว่าไปแล้วสิ่งของชิ้นนั้นมิใช่ว่าถูกทำลายไปแล้วหรอกงั้นหรือ? นี้สมควรที่จะเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนก็ว่าได้ ”จงหลี่ยื่นมือออกไป กดเข้าไปยังบริเวณใจกลางฝ่ามือของเยี่ยจง ลูบคลำเข้าไปยังแผ่นหยกไม่หยุด ทอสีหน้าเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“พวกเจ้าทั้งสองที่แท้กำลังกล่าวถึงอะไรกัน? ”เยี่ยจงเกิดความอัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง เด็กน้อยทั้งสองคนนี้เอาแต่ทำตัวลับลมคมนัยน์ แต่กลับไม่ย่อมบอกกล่าวออกมาในส่วนที่มีความเกี่ยวข้องให้ชัดเจน ทั้งๆ ที่ทราบเกี่ยวกับสิ่งของมาก็มากมาย
“เจ้าหนู เจ้าทราบจักรพรรดิชิงหรือไม่? ”ไต๋ซือหวู่โหวทันใดนั้นที่เอ่ยปากขึ้นมา ทอสีหน้าว่าง่ายอย่างยิ่ง
“จักรพรรดิฟ้าตะวันออก จักรพรรดิฟ้าชิง (ไท่เฮ้า太昊) งั้นหรือ? ”เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา เหตุใดของสิ่งนี้ถึงได้มีความเกี่ยวข้องกับหนึ่งในจักรพรรดิห้าทิศในตำนานได้กัน
ไต๋ซือหวู่โหว ทอสีหน้าเคร่งเครียดกล่าว : “ข้านั้นได้เคยเข้าไปพบเห็นบันทึกเก่าแก่บทหนึ่งที่อยู่ภายในบริเวณพื้นที่ซากปรักหักพังโบราณแห่งนี้มาก่อน จักรพรรดิฟ้าชิงแห่งตะวันออกก่อนที่ยังไม่ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ก่อนหน้าที่จะมีการบรรลุได้เคยใช้ชื่อว่าไช่ซุ่ย (蔡水) มาก่อน ได้พบเห็นการเกิดขึ้นของเกราะม้ามังกร และเกราะชิ้นนั้น ก็คือหนึ่งในชิ้นที่อยู่ในภาพวาดแปดทิศในตำนาน และด้านภาพวาดแปดทิศก็เป็นหลักความแห่งวิถียันต์ปราณสายหนึ่ง……เสี่ยวเยี่ยจื่อเจ้าก็ควรทราบว่า จักรพรรดิฟ้าชิงถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เข้าสู่วิถียันต์ในระดับจักรพรรดิฟ้าผู้หนึ่ง หยกขาวชิ้นนี้ก็คือส่วนหนึ่งของภาพวาดแปดทิศในตำนานนั้นเอง เกรงว่าสิ่งที่ได้บันทึกเอาไว้ คงจะเรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดคิดไปแล้ว ”
มาจนถึงขณะนั้น เยี่ยจงก็ได้ร่างกายสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง หากว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับกับตะวันออกจักรพรรดิฟ้าชิงจริงแล้วละก็ เช่นนั้นก็ถือได้ว่ามีความล้ำค่าเกินกว่าที่จะคาดเดาได้แล้ว
ต่อมา เยี่ยจงจ้องไปที่แผ่นหยกชิ้นนี้อย่างละเอียด แต่ว่าหลังจากที่ดูแล้ว เข้ากลับยิ่งหดหู่ขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ เพราะว่าอักษรยันต์ที่อยู่ด้านบนของแผ่นหยกนั้นกลับไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลย ต่อให้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง บันทึกด้านบนยังถือได้ว่าเป็นสิ่งที่พลิกสวรรค์ได้เลยทีเดียว แต่ว่าขณะนี้เยี่ยจงนอกเสียจากมองตาปริบๆ แล้ว ก็ไม่อาจที่จะทำเช่นไรได้อีก
“แดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ข้าถือได้ว่าเป็นแดนปราชญ์ชั้นสูง มีความรู้ทางด้านของอักษรโบราณกาลเช่นนี้อยู่ ”นางเซียนชิงหญิงทันใดนั้นที่เอ่ยปากขึ้นมา ทอสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ได้ใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งน้ำเสียงยังถือได้ว่ากระตุ้นผู้คนได้เป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เยี่ยจงจ้องมองไปที่นาง จึงค่อยหัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าว : “หากมีโอกาสจะต้องไปขอรับคำชี้แนะจากแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์สักคราแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นยังคงต้องขอรบกวนนางเซียนนำทางอีกด้วย ”
“เจ้าไม่เกรงกลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปเสาะหาผู้คนกักขังเจ้าเอาไว้ภายในแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์หรอกงั้นหรือ? ”ชิงหญิงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา ราวกับกำลังกล่าวถึงเรื่องที่มิได้มีความเกี่ยวข้องกับตนเองอยู่ก็มิปาน
“ไม่เป็นไร ข้าเมื่อถึงเวลานั้นจะให้ไต๋ซือไปด้วยกันกับข้าสักรอบ ”เยี่ยจงหัวเราะหึหึออกมาในทันที หลังจากก็ตบไปที่ไหล่ของไต๋ซือหวู่โหวไปมาแล้วกล่าว “ไต๋ซือ ภายหลังจากเรื่องนี้แล้วท่านก็รีบไปเก็บตัวโดยเร็ว วันใดที่สำเร็จสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ จะต้องมาหาข้าให้ได้นะ พวกเราจะไปยังแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันซักครา ”
ได้ยินแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคำนี้ ไต๋ซือหวู่โหวก็ได้ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาจ้องเขม็งไปทางชิงหญิง จึงค่อยกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก : “สถานที่แห่งหนึ่งก็ยังว่าไป สถานที่อย่างแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ปู่อย่างข้าก็ไม่ไปแล้ว ”
“ไต๋ซือเหตุใดต้องทำเช่นนี้ พระอาจารย์เช่นท่านเป็นบรรพชิตมาตั้งหลายปีแล้ว เรื่องราวเมื่อกาลก่อนก็คิดเสียว่าเป็นเพียงสายลมหมอกควัน ไต๋ซือหากว่าเวลาก็ไปดื่มชิงฉา (ชาเขียว) สักครา ”นางเซียนชิงหญิงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าก็ได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ว่าไต๋ซือหวู่โหวแน่นอนว่าย่อมส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
พบเห็นฉากเช่นนี้ ภายในดวงตาของเยี่ยจง จงหลี่และหลิงเฟ่ยต่างก็ได้ประหลาดใจขึ้นมาอย่างยิ่ง ก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที อาจารย์ของนางเซียนชิงหญิงถือได้ว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งรุ่นก่อนแห่งแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ และไต๋ซือหวู่โหวนี้ ราวกับว่าต่างก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ในระดับสุดยอดแห่งสี่ดินแดนในสมัยนั้น ตอนนี้เมื่อมองดูไปแล้วละก็ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนเมื่อก่อนนี้ ไม่แน่ว่าอาจยังจะมีเรื่องราวอยู่บ้าง
“ไต๋ซือ ท่านวางใจเถอะ เรื่องนี้พวกข้าจะทำเหมือนไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน ”จงหลี่เดินเข้ามาตบเข้าไปที่หัวไหล่ของไต๋ซือหวู่โหวไปมา ทอสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ไต๋ซือหวู่โหวทอสีหน้าหดหู่ขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง เก็บไข่มังกรทั้งสองลูกอย่างระมัดระวัง ยื่นไปให้แก่หลิงเฟ่ยและจงหลี่คนละชิ้นแล้วกล่าว : “จะเอากลับไปต้มหรือตุ๋นแล้วแต่พวกเจ้าเลย อย่าได้มาวุ่นวายกับอาจารย์ปู่อย่างข้าแล้ว! ”
.
.
.