ตอนที่ 566 สิ่งที่จักรพรรดิฟ้าเหลือเอาไว้
“ไต๋ซือ! การนำเอาสิ่งของเช่นนี้ออกไป เกรงว่าคงจะไม่ค่อยดีนักหรอกนะ?” ชนชั้นมหาราชันแห่งหุบเขากระบี่แดนตงฮวงกำลังเร่งร้อนใช้กระบี่ฟาดฟันออกมา ในขณะนั้นเอง กระบี่ไท่อาเจี่ยภายในมือของเขาก็ได้ปรากฏประกายแสงอันคมกล้าขึ้นมา ประดุจดั่งจะฟาดฟันเดือนตะวันให้แหลกลาญไปในขณะนี้ก็มิปาน
พลังแรงกดดันพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้แผ่กระจายออกไปทั่วทุกที่ แม้ว่าจะไม่อาจที่จะเทียบได้กับพลังแรงกดดันวิถีเซียนที่อยู่ท่ามกลางสนาม แต่ว่าความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ก็ยังคงสามารถที่จะทำให้ชนชั้นมหาราชันไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะถอยออกไปได้
“ฉึก——”
ทางด้านหลังในที่สุดก็ได้มีชนชั้นมหาราชันกระอักโลหิตถอยออกไป คิดที่จะต่อต้านพลังแรงกดดันวิถีเซียนที่ก่อความรำคาญอย่างถึงที่สุดนี้ ขณะนี้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุกระบี่ไท่อาเจี่ยนี้ก็ได้เพิ่มพลังเข้าไป กล่าวได้อย่างง่ายดายก็คือไม่คิดที่จะหลงเหลือหนทางมีชีวิตอยู่
ในขณะนั้นเอง ชนชั้นมหาราชันของหุบเขากระบี่แดนตงฮวงก็ได้สาดพลังประกายกระบี่เสียดผ่านอากาศไป ประดุจคิดที่จะให้ผู้คนทั้งหมดมิให้ไปไหนก็มิปาน
นี้ราวกับเป็นพลังการโจมตีที่ถือได้ว่ายากที่จะมีผู้ที่ต้านทานได้ภายในดินแดน ท่ามกลางอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุเหล่านี้ทั่วสี่ดินแดน กระบี่ไท่อาเจี่ยแม้ว่าจะมิใช่มีพลังอำนาจที่ร้ายกาจที่สุดเพียงชิ้นเดียว แต่ก็แน่นอนว่าย่อมต้องมีพลังในการโจมตีที่โหดร้ายเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ในขณะนั้นเอง คนมากมายต่างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดที่จะอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ต่อ แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะก้าวออกไปด้านหน้าได้อีกแม้เพียงครึ่งก้าว
“เจ้าเด็กน้อยแดนตงฮวง ขณะนี้ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร นี้ก็ยังเป็นแดนซีฮวงของข้าอยู่นะ!”
มหาราชันเหยียนทันใดนั้นก็ได้หัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมา บริเวณทางด้านหลังของเขาประดุจได้มีภูเขาไฟปรากฏขึ้นมาก็มิปาน จนเกิดเป็นประกายเพลิงนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา พริบตานั้นประกายเพลิงเหล่านั้นก็ได้ปกคลุมส่องสว่างไปทั่วทั้งผืนฟ้า
“ให้ตายเถอะ แท้จริงแล้วนั้นก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนเก้าศิลาเพลิงผลาญจากรัฐเหยียนแห่งเผ่ามนุษย์นั้นเอง! ถือได้ว่าเป็นวัตถุที่เผาผลาญไปได้หมื่นสรรพใต้หล้าได้!” แล้วก็ได้มีคนกระอักโลหิตออกมาคำโตเอ่ยปากขึ้นมา เก้าศิลาเพลิงผลาญนี้กล่าวกันว่าได้ใช้ภูเขาไฟเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าลูกหลอมสร้างขึ้นมา สามารถที่จะหล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง มิใช่สิ่งที่ใช้เพียงพลังของมนุษย์ที่จะต่อกรได้
ขณะนี้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่มีพลังเหลือคณาทั้งสองชิ้นก็ได้เข้าปะทะกันเช่นนี้ หยุดความเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งหมดในท่ามกลางสนาม ควรทราบว่า นี้ถือได้ว่ามีความแตกต่างจากถ้วยทุนเทียนที่จงหลี่ใช้ออกมา แต่เป็นการลงมือของชนชั้นมหาราชัน ที่ได้กระตุ้นพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่แท้จริงออกมา ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีออกมาเช่นไร ต่างก็ถือได้ว่าเป็นการโจมตีออกมาจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าย่อมต้องสามารถที่จะกวาดล้างพื้นที่แห่งหนึ่งไปได้เลย
ขณะนี้ กระบี่ไท่อาเจี่ยและเก้าศิลาเพลิงผลาญก็ได้ประหัตประหารเข้าด้วยกัน จนยากที่จะต่อต้านได้ เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดที่จะแย่งชิงโลงศพหยกนั้นที่ได้แตกจนกลายเป็นชิ้นๆ
“ทั้งสองท่าน พวกเจ้าอย่าได้ทำจนเกินไป คิดที่จะนำเอาวัตถุชิ้นนี้ไป เกรงว่ายังคงต้องถามเฒ่าพิสดารอย่างข้าด้วยแล้วกระมั่ง?” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุของชนชั้นมหาราชันชิ้นที่สามก็ได้ลงมือออกมา ไม้เท้ากระดูกขาวในมือของเขาก็ได้กระทบลงบนพื้นเล็กน้อย วินาทีนั้น ก็ได้พบเห็นว่าได้มีเกราะกระดูกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ลอยเข้ามาสวมไว้อยู่บนร่างของชนชั้นมหาราชันผู้นี้ จนตลอดทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ได้ปกคลุมไปด้วยเกราะกระดูกเช่นนี้เอาไว้ ให้ความรู้สึกที่รุนแรงอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ว่าบรรยากาศเช่นนั้นกลับเรียกได้ว่าโหดร้ายเป็นอย่างมาก
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุอาภรณ์ศึกมารสวรรค์จากตำหนักกระดูกขาวแห่งแดนเป่ยฮวง!” มีชนชั้นมหาราชันเอ่ยปากขึ้นมา บนใบหน้าก็ได้ปกคลุมไปด้วยความอัดอั้น วันนี้เป็นโชคอะไรกัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุเหล่านี้ได้ถูกใช้ออกมาติดต่อกันสองชิ้นสามชิ้นติดต่อกัน ชนชั้นมหาราชันคนอื่นๆ ต่อให้ในยามปกติจะมีลักษณะที่สูงส่ง ขณะนี้เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องถอยออกไป
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ด้านบนของโลงศพหยกนั้นก็ช่างโหดร้ายมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่ยังไม่ทันได้พบเห็นได้ทั้งหมด มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องมีคัมภีร์ซี่ฮวางจี่อยู่ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สืบทอดของจักรพรรดิฟ้าได้อย่างแท้จริง จะปล่อยไปเช่นนี้จริงอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงกำลังขมวดคิ้วอยู่ จ้องมองไปยังทางด้านอีกทางหนึ่งแล้วก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา
“เป็นไร เจ้าหนูเจ้ามาจนถึงตอนนี้ยังคิดที่จะปล่อยวางอีกอย่างงั้นหรือ? แม้ว่าน้องชายจงหลี่เองก็ยังถึงกับถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุถ้วยทุนเทียนชิ้นหนึ่ง แต่ว่าต่อให้เป็นอาจารย์ปู่อย่างข้าใช้พลังทั้งหมดออกมาเพื่อที่จะควบคุม อย่างมากก็ได้แต่เพียงฝืนปกป้องตัวเองไว้เท่านั้น คิดที่จะช่วงชิงคัมภีร์ซี่ฮวางจี่โดยส่วนมากแล้วก็มีเป็นแค่ตัวโง่งมที่เอาแต่เพ้อฝันเท่านั้น” ไต๋ซือหวู่โหวเอ่ยปากขึ้นมา ทอสีหน้ากระวนกระวายออกมาอย่างยิ่ง “เจ้าคิดว่าข้าคิดที่จะจากไปอย่างงั้นหรือ? นอกเสียจากว่าจะมีคัมภีร์ซี่ฮวางจี่แล้ว ทางนั้นยังมีสิ่งที่บันทึกร่องรอยอยู่อีกไม่น้อย ย่อมต้องมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่ออาตมาอยู่แล้ว!”
“ไม่สนแล้ว ไต๋ซือท่านเคยสัญญาว่าจะช่วยข้าช่วงชิงคัมภีร์โบราณมิใช่หรือ ในเมื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชิ้นหนึ่งไม่เพียงพอ งั้นก็เอามาใช้อีกชิ้น!” เยี่ยจงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นี้คือวาสนาจากสวรรค์ จากในมุมมองของเขา หากว่าสามารถได้ครอบครองคัมภีร์โบราณที่สมบูรณ์ได้ ก็เหมือนกับได้ครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ควรทราบว่า ภายในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ได้บันทึกยอดวิชาแห่งการเริ่มต้นเอาไว้ มีแต่ความเหมาะสมที่จะฝึกปรือ หรือไม่มีความเหมาะสมที่จะฝึกปรือหรือไม่นั้น และเคล็ดวิชากระบี่หกสุสานก็ถือได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะ คัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวันยังเป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียว หากกล่าวได้ว่า เยี่ยจงยังถือได้ว่ายังมิได้ครอบครองคัมภีร์โบราณที่สมบูรณ์ได้มาก่อน
ขณะนี้คัมภีร์ซี่ฮวางจี่ไม่เพียงแต่จะเป็นฉบับที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นของบรรพบุรุษเผ่ามนุษย์เมื่อในสมัยก่อน จักรพรรดิฟ้าตะวันออกจักรพรรดิฟ้าชิงเหลือเอาไว้ ไม่ว่าจะมองจากในมุมมองใดก็ตาม เยี่ยจงก็ย่อมไม่อาจที่จะผิดพลาดไปได้อย่างแน่นอน
“ตูม——”
หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงโบกมือคราหนึ่ง กระบี่แสงจันทร์ก็ได้โผล่ออกมาจากใจกลางปราณสมุทรภายในจุดตันเถียนของเขา ปรากฏขึ้นมาอยู่บริเวณเหนือศีรษะ
“ได้ พี่เยี่ยท่านในเมื่อต้องการที่จะแย่งชิงวาสนา เช่นนั้นพวกเราก็ต้องแลกกันซักครา จะมาเสียเปรียบเฒ่าบัดซบกลุ่มนี้ได้อย่างไรกัน!” จงหลี่เองก็ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา พริบตานั้นก็ได้ใช้ออกด้วยถ้วยทุนเทียน
“ตูม——”
ถ้วยทุนเทียนและกระบี่แสงจันทร์ในขณะนี้ก็ได้ผสานกัน ก็ได้พวยพุ่งออกมาประดุจประกายกระบี่ที่เจิดจ้าจากแสงจันทราที่ส่องสว่างอยู่ภายในดวงดาราภายใต้ความมืดมิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ผสมผสานเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวขึ้น
ทั่วทั้งท้องฟ้าก็ได้พวยพุ่งขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เยี่ยจงและจงหลี่กำลังใช้ออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ด้านของพลังย่อมต้องสูงส่งกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุทั้งสามชิ้นถึงขั้นหนึ่ง
ไต๋ซือหวู่โหวถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ในเวลาเช่นนี้เขาก็ไม่อาจที่จะกล่าววาจาไร้สาระมากมายได้อีก เพียงแต่ตบออกไปหนึ่งฝ่ามือ เพิ่มสภาวะพลังลมปราณขึ้น หนุนเสริมการใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุของทั้งสองคน
“กระบี่แสงจันทร์และถ้วยทุนเทียน!?”
“ชนชั้นรุ่นหลังในตอนนี้ ทำไมแต่ละคนต่างก็ร้ายกาจเช่นนี้!”
ต่อให้ชนชั้นมหาราชันของหุบเขากระบี่แดนตงฮวง ชนชั้นมหาราชันแห่งตำหนักกระดูกขาวจากแดนเป่ยฮวง
ยังมีมหาราชันเหยียน มหาราชันเผ่าปีกและพวกต่างก็กล่าวอันใดไม่ออกเป็น พลังฝีมือของชนชั้นรุ่นหลังกลุ่มนี้เรียกได้ว่าใช้ออกมาได้เหลือคนาเลยจริงๆ นึกไม่ถึงจะสามารถที่จะใช้ออกมาด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ครึ่งขั้นบรรลุได้อีก พริบตานั้นกลับกลายเป็นเพิ่มพลังสภาวะขึ้นมาเป็นอย่างมากได้อีก
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชนชั้นมหาราชันสามตนแห่งเผ่ามนุษย์ไม่แน่ว่าอาจจะยืนอยู่ทางฝ่ายของพวกเขาได้ตลอดเวลา อีกทั้งหากมองจากสถานการณ์ในขณะนี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายนี้สามารถเรียกได้ว่ามาจากขุมกำลังเดียวกันก็ว่าได้ ในข้อนี้ได้ทำให้ชนชั้นมหาราชันของหุบเขากระบี่แดนตงฮวงและชนชั้นมหาราชันตำหนักกระดูกขาวจากแดนเป่ยฮวง ต่างก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“เจ้าหนู ถือว่าเจ้าร้ายกาจ ข้าไปซักเดี๋ยวเดียวก็มา!” เสี่ยวหลุนส่งเสียงดังออกมาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ขยับเคลื่อนไหวไปจนถึงเท้าขวาของเยี่ยจง ในสายตาของผู้คนทั้งหมดที่ได้มองดูการปะทะกันท่ามกลางอากาศในขณะนี้ มันก็ได้ลอยมุ่งหน้าเข้าไปจนถึงด้านบนของโลงศพหยก
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ เยี่ยจงจึงค่อยได้ผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ถึงกับมาจนถึงขณะนี้เขายังคงไม่ปล่อยวาง เช่นนั้นก็คงจะต้องพึ่งการลงมือของเสี่ยวหลุนแล้วละ ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยความเคลื่อนไหวจากพลังฝีมือของพวกเขาเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากป้อนอาหารเข้าสู่ปากเสือ ถือได้ว่าเป็นตัวโง่งมที่เอาแต่เพ้อฝันเลยก็ว่าได้
“คว้าง——”
หลังจากนั้นเอง เสี่ยวหลุนก็ได้พุ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว มุดเข้าไปยังอ้อมอกของเยี่ยจงกลิ้งไปกลิ้งมา กล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว : “แย่แล้ว รีบหนีกันเถอะ ของที่สำคัญที่สุดได้ตกมาอยู่ในมือแล้ว ถ้ายังไม่หนีกันอีกก็จะสายเกินไปแล้ว!”
“กร๊อบ——”
เสียงของเสี่ยวหลุนพึ่งจะดังขึ้นมา ทันใดนั้น ตลอดทั่วทั้งสภาวะท่ามกลางอากาศก็ได้ทอเป็นประกายแสงประดุจมาจากสายฟ้าก็มิปาน อสนีบาตขนาดใหญ่แต่ละสายก็ได้กระทบลงมา ยอดภูเขาที่อยู่เหนือศีรษะประดุจดั่งถูกทำลายลงก็มิปาน ต่อมาก็ได้เกิดทะเลอัสนีทอดลงมานับไม่ถ้วน
“ให้ตายเถอะ? นี่มันเรื่องอะไรกัน นี้เหตุใดถึงได้มีการปรากฏของอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ในทันทีขึ้นมาได้อย่างไรกัน!”
“ตัวบัดซบใดนึกไม่ถึงจะถึงกับแย่งชิงสมบัติจักรพรรดิไปจากท่ามกลางโลงศพได้กัน คิดที่จะทำร้ายให้ผู้คนทั้งหมดตายให้ได้อย่างงั้นหรือ?”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยน อดไม่ได้ที่จะด่าทอมารดาขึ้นมา บริเวณที่เป็นส่วนลึกที่สุดภายในโลงศพหยก เดิมทีได้มีม้วนคัมภีร์โบราณม้วนหนึ่งอยู่ ชนชั้นมหาราชันมากมายต่างก็พบเห็นกันแล้ว แต่ว่ากลับจงใจที่จะทำเป็นไม่เห็นขึ้นมา นี้เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่น้อยต่างก็เข้าใจดี นี้จึงถือเป็นสิ่งของที่มีความสำคัญที่สุด หากว่าผู้ใดคิดที่จะแตะต้องมัน แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดศึกวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยโลงศพก็ได้เกิดร่องรอยแตกร้าวขึ้นมาโดยที่ยังไม่ทันจะเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากทางด้านหน้า ย่อมต้องไม่มีคนยินยอมที่จะทำให้เกิดการต่อสู้ที่วุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ว่าคิดไม่ถึง ขณะนี้จะมีคนที่หาญกล้าที่จะลงมือช่วงชิงคัมภีร์โบราณไปได้
ในขณะนั้นเอง ต่อให้เป็นชนชั้นมหาราชันต่างก็ได้มีสีหน้าเดือดพล่านขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะด่าทอมารดาขึ้นมา
แต่ว่าหลังจากที่ได้ด่าทอออกไปประโยคหนึ่งแล้ว ในครั้งนี้ ชนชั้นมหาราชันหลายตนที่ได้ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุเอาไว้ประดุจได้ส่งสัญญาณลับขึ้นมาก็มิปาน ผู้คนทั้งหมดต่างก็ลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน จนเกิดเป็นการโจมตีมุ่งหน้าฟาดออกไปยังบริเวณทางด้านที่เป็นโลงศพหยก
แล้วก็ได้ยินเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้นมา โลงศพหยกก็ได้กลายเป็นห้าหกชิ้น ราวกับโลงศพหยกถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน จากนั้นก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
พูดเป็นเล่นไป อัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ทันใดนั้นก็ได้ฟาดลงมา อย่างน้อยนี้ก็เป็นสิ่งที่จักรพรรดิฟ้าชิงเมื่อก่อนนี้ได้ทิ้งเอาไว้ หากไม่ระมัดระวังถูกฟาดจนตายในที่แห่งนี้ ผู้ใดก็ย่อมไม่อาจที่จะยินยอมอยู่นานกว่านี้แน่นอน
“ตูม——”
เพียงแค่ชั่วเวลาพริบตาเดียว ชนชั้นมหาราชันมากมายถอยออกไป จนลงมาจนถึงทางด้านล่างของเนินสุสานภายในพริบตา อัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นที่ไม่ทราบที่มาที่ไปก็ได้ทำลายเนินสุสานไปจนหมดสิ้น
เยี่ยจงก็ได้เกิดความว้าวุ่นขึ้นมาภายในจิตใจ ขณะนี้แทบจะมิได้นำเอาม้วนคัมภีร์โบราณนั้นมาดูว่าแท้จริงแล้วเป็นอันใด เพียงแต่ละมือกลับมาเท่านั้น หลังจากนั้นจึงค่อยได้กระซิบไปที่ไต๋ซือหวู่โหวที่อยู่ทางด้านข้าง ดูไปที่บันทึกทางด้านบนโลงศพหยกนั้นที่พวกเขากำลังแย่งชิงกันอยู่ว่าเป็นอะไร
ไต๋ซือหวู่โหวและพวก รวมทั้งชิงหญิง จงหลี่ก็ด้วย ขณะนี้แต่ละคนต่างก็ทอดวงตาเหม่อมองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่สร้างจากหยกที่หลงเหลือแต่เพียงแต่ซากเท่านั้นของโลงศพ ขณะนี้รอยร้าวเหล่านี้ก็ได้ลุกลามเข้ามาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าถึงช่วงเวลาที่จะสิ้นสุดได้แล้ว
ดังนั้นในขณะนั้นเอง จึงไม่มีคนใดคิดที่จะยินยอมผิดพลาดไป เพราะว่า สิ่งที่ได้บันทึกอยู่ในของสิ่งนี้ ต่างก็ถือได้ว่าเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ หากว่าปล่อยให้สูญหายไปแล้วละก็ ในด้านของทั้งสี่แดน ก็จะกลายเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไป
“ทางด้านอื่นอย่าได้ไปสนใจอีกแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าจำเอาไว้เอง เจ้าเองก็ดูไปทางนั้น!” เสี่ยวหลุนส่งเสียงดังขึ้นมา บอกให้ไปยังหัวมุมอีกทางหนึ่ง ทำให้เยี่ยจงต้องมองเข้าไปอย่างระมัดระวัง
เยี่ยจงหลังจากที่เงียบงันก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ คำหนึ่ง เพื่อที่จะปลุกปลอบสมาธิขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยมองเข้าไปทางด้านนั้น
เพียงมองเข้าไปเพียงคราเดียว เยี่ยจงก็ได้เข้าใจได้ว่านั้นเป็นเส้นทางเพื่อที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้น ต่อให้เป็นเขาเองที่มีจิตใจที่เข้มแข็งก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมา
ในบริเวณหัวมุมที่เกิดร่องรอยขึ้นมานั้น แท้จริงก็เป็นเหมือนกับภาพวาดของจักรพรรดิฟ้าชิงที่ได้ใช้พลังเทวะออกมาในช่วงบั้นปลายชีวิต
พลังเทวะจักรพรรดิฟ้า เมื่อเทียบกับพลังเทวะตามปกติแล้วไม่ทราบว่าจะมีความร้ายกาจมากมายไม่รู้กี่เท่าตัว เพราะว่าพลังเทวะเพียงแค่กระบวนท่าเดียว เพียงแค่การผนึกพลังเอาไว้เพียงเล่นๆ รอบเดียวของจักรพรรดิฟ้าก็สามารถที่จะกำเนิดพลังเทวะบริสุทธิ์ขึ้นมาใช้อย่างเพียงพอได้แล้ว พลังเทวะเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีพลังที่มากมายมหาศาล หากว่าสามารถที่จะทำความเข้าใจได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ใช้ออกมาได้แล้ว
ภายในจิตใจของเยี่ยจงในขณะนี้ก็ได้รวมเอาไว้ด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน ได้แต่เพียงจ้องมองไปยังทางด้านที่เกิดร่องรอยอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะว่านี้คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายเพื่อที่จะเข้าสู่ขอบเขตต่อไปที่สำคัญมากที่สุดอย่าง——พลังเทวะ
ท่ามกลางรอยร้าวนี้ กลับไม่มีสักตัวอักษรซักประโยค ภายในภาพวาดก็เพียงแต่เป็นแค่การขีดเขียนอย่างง่ายๆ เพียงแค่ไม่กี่ครา แต่ว่าเห็นได้ชัดอย่างยิ่ง นี้เป็นการเผยให้เยี่ยจงเห็นได้ถึงระดับการใช้ออกมาด้วยพลังเทวะแบบหนึ่ง เป็นเหมือนกับสิ่งที่ช่วยทำให้เยี่ยจงพลิกฟ้าพลิกดินสถานการณ์เบื้องหน้าออกมาได้ก็มิปาน
“บรึม——”
ทางด้านบนเนินสุสานก็ได้ปกคลุมไปด้วยทะเลอัสนี ผู้คนต่างก็มีจิตใจที่หวั่นไหวขึ้นมา แต่ว่าเยี่ยจงประดุจดั่งไม่ทราบว่าร่างกายได้มาถึงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรก็มิปาน เพียงแต่พยายามที่จะเข้าสู่พลังเทวะนี้อย่างระมัดระวังภายในการแสดงออกขึ้นมาทั้งหมดนั้นเอง ภายใต้ภาพวาดนั้นก็ได้ค่อยๆ ที่จะมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ต่างก็ถูกจดจำเอาไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจ
“ตูม——”
หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงภายในดวงตาก็ได้สาดประกายคมกล้าขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน วัตถุโลงศพนั้นก็ได้แตกจนไม่อาจที่จะพบเห็นร่องรอยใดๆ ได้อีกภายในพริบตา และไต๋ซือหวู่โหว จงหลี่ ชิงหญิง หลิงเฟ่ยเองต่างก็เงยหน้าขึ้นมาในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดทุกผู้คนมีคำคิดเป็นของตัวเองขึ้นมา
.
.
.
.