ช่วงสิ้นโลก เป็นช่วงที่ผู้มีพลังพิเศษกำเริบเสิบสานไปทั่วโลก ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณแกร่งกล้าจนไม่อาจขวาง และยังมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งดำรงอยู่ เป็นยุคที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างแท้จริง มีเพียงคุณเท่านั้นที่คิดไม่ถึง เป็นโลกอัศจรรย์ที่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ในช่วงสิ้นโลกแม้ว่าจะไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เพียงพอจะปกป้องตนเอง ในช่วงเวลานั้น เขาก็ได้ปกป้องคุ้มครองความสงบสุขของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เนื่องจากตอนนั้น มีผู้มีพลังพิเศษที่ชั่วร้าย มียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณที่วิปริต และมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูรที่กินคนอยู่ด้วย ศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์น้อยนิด ไม่ใช่โลกที่มีมนุษย์ปกครองไปนานแล้ว ปรากฏผู้มีพลังแข็งแกร่งขึ้นมากมาย ตั้งแต่สามารถเคลื่อนภูผาพลิกมหาสมุทรได้ จนถึงขั้นถล่มฟ้าทลายดิน ทำลายฟ้าดินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ นี่เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
และก็เป็นช่วงเวลานั้นที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองความปลอดภัยของเผ่ามนุษย์ ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็ผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน หรือจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์อสูร หรือยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ การต่อสู้เป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขอบเขตพลังก็ก้าวหน้าทะลวงไปถึงระดับพระเจ้า
ในช่วงยุคสิ้นโลก ก็มีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนวิชาพรรควรยุทธโบราณและเคล็ดวิชาพลังพิเศษควบคู่กันอยู่ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้มีพลังพิเศษที่เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ไปฝึกฝนวิชาของพรรควรยุทธโบราณอีก สองสิ่งผสมผสานเข้าด้วยกันทำให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด
ก็เหมือนกับเซี่ยอวี่เหอ หากพูดถึงความสามารถที่แท้จริง เธอก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนั้น ที่สามารถบีบบังคับเย่เทียนเฉินจนถึงขั้นนี้ได้ ก็เป็นเพราะเดิมทีเธอก็เป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง รวมกับที่ได้ฝึกวิชาพรรควรยุทธโบราณ เมื่อสองสิ่งผสมผสานเข้าด้วยกัน กระบวนท่าที่ใช้ออกมาทั้งหมดจะมีพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ดังนั้นในช่วงสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษหลายคนที่เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว จึงอยากจะไปเรียนวิชาของพรรควรยุทธโบราณ สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาอยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายของตน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อของตน พลังพิเศษที่อยู่ในร่างกายผู้คนนั้นล้วนอยู่ในกายเนื้อ ในหยาดเลือด ชีพจรและกระดูก ไม่ว่าจะเป็นพลังพิเศษก็ดี หรือพลังภายในที่แข็งแกร่งก็ดี ล้วนแต่อยู่ภายในร่างกายทั้งสิ้น เมื่อต้องการใช้ก็จะกระตุ้นออกมาในพริบตา เพิ่มพูนพลังโจมตีและพลังทำลายล้าง
ผู้มีพลังพิเศษหลายคนไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นตามการทะลวงและยกระดับของขอบเขตพลังพิเศษ สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือ การบ่มเพาะระดับพลังของกายเนื้อไม่เพียงพอ ร่างกายไม่อาจรองรับพลังพิเศษอันมหาศาลได้ เมื่อฝืนใช้ จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือ ร่างกายระเบิดจนตาย
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่เย่เทียนเฉินมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ล้วนทำการฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อของตนด้วยวิธีเรียบง่ายทุกคืน เขารู้ว่า ถึงแม้ว่าขอบเขตพลังจะเพิ่มขึ้น แต่หากกายเนื้อไม่อาจรองรับได้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์กับตนเอง กลับจะมีโทษอีกต่างหาก
วิชาของพรรควรยุทธโบราณสามารถชดเชยข้อบกพร่องที่กายเนื้อของผู้มีพลังพิเศษไม่แข็งแกร่งมากพอได้อย่างพอดิบพอดี เนื่องจากวิชาของแต่ละพรรคล้วนมีพลังภายในที่เหมาะสม พลังภายในที่กล่าวมานี้ไม่ได้ลึกลับอย่างที่คนธรรมดาจินตนาการเช่นนั้น กล่าวคือ เป็นวิธีการฝึกฝนพลังภายในประเภทหนึ่ง เมื่อพลังภายในสะสมในร่างกายเพียงพอแล้ว ร่างกายของคุณก็จะกำยำแข็งแรงขึ้นเป็นพิเศษ ถ้าพัฒนาไปอีกขั้น เพียงโบกหมัดออกไปตามใจ ก็จะปรากฏพลังภายในที่แข็งแกร่งออกมา ทำให้เก่งกว่าคนธรรมดาขึ้นมา
ดังนั้นในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษหลายคนล้วนปราถนาที่จะได้วิชาพรรควรยุทธโบราณมา ไม่เพียงแค่กระบวนท่าที่ลึกซึ้งเหล่านั้นเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือวิธีฝึกฝนพลังภายในที่ลึกลับเหล่านั้น ในหมู่คนเหล่านั้นเย่เทียนเฉินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนย่อมหวังว่าตนเองจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ประจวบกับอยู่ในยุคสิ้นโลกเช่นนั้น เป็นโลกที่ถ้าคุณไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะถูกกิน คนที่คาดหวังว่าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจึงมีมากตามไปด้วย
ตามความเข้าใจของเย่เทียนเฉิน วิธีฝึกฝนพลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดคือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน เช่นเดียวกับวิชาพรรควรยุทธโบราณอื่นๆ อาทิ มวยไท้เก็กแปดทิศ มวยสิงอี้ เพลงกระบี่บู๊ตึ้ง เพลงกระบี่หัวซาน เป็นต้น วิชาเหล่านี้ถึงจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ล้วนเป็นการฝึกฝนกระบวนท่าคู่กับพลังภายใน ภายนอกดูแล้วก็สามารถทำให้ผู้คนแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ความจริงแล้วมีคุณก็มีโทษ คือไม่สามารถทำให้พลังภายในบริสุทธิ์เพื่อใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อได้
แต่ทว่า คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินไม่เหมือนกัน วิชานี้มีเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ตัวยาก็ยิ่งทำให้วิธีฝึกฝนพลังภายในแข็งแกร่งมาก ไม่มีกระบวนท่าใดที่ฝึกไม่ได้ เป็นวิธีการฝึกพลังภายในที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่น่าเสียดายที่ในช่วงสิ้นโลก วิชานี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้ยังมีอยู่ เช่นนั้นก็คงอยู่ในตระกูลใหญ่ทรงอำนาจสักตระกูลหนึ่ง เหลือไว้เพียงเล็กนน้อยเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ คนของกลุ่มอำนาจและตระกูลเหล่านี้ที่ได้รับไป และนำไปผสานใช้กับพลังพิเศษ ก็เพียงพอที่จะไปได้ทั่วทุกสารทิศในยุคสิ้นโได
“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินในช่วงสิ้นโลกถูกทำลายไปแล้ว ถ้างั้นโลกนี้ยังมีอยู่รึเปล่านะ? ถ้ามีโอกาสควรจะไปวัดเส้าหลินสักครั้ง บางทีอาจจะหาเจอก็ได้” เย่เทียนเฉินกล่วกับตนเองในใจ
ตอนที่เย่เทียนเฉินกลับมาถึงบ้าน เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องโถง หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ดูโทรทัศน์อยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว ทั้งสองก็ตกใจและประหลาดใจ พวกเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินไปตระกูลฉิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“พี่คะ พี่กลับมาแล้วเหรอ ได้เจอพี่สาวหรูเสวี่ยรึเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินรีบเปิดปากพูด
“เทียนเฉิน หรูเสวี่ยเป็นยังไงบ้าง?” หลัวเยี่ยนเองก็เปิดปากถาม
เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินแวบหนึ่ง เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วนั่งลงบนโซฟา หยิบแอปเปิ้ลที่ถูกปลอกอย่างดีขึ้นมากินลูกหนึ่ง กินไปต่อๆ กันสามคำใหญ่แล้วจึงพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเธอสองคนวางใจเถอะ ถึงฉีหรูเสวี่ยจะเป็นยัยทึ่ม แต่โชคของยัยทึ่มคนนี้ก็ไม่เลวเลย พิธีหมั้นของเธอกับฉินเหิงล้มเหลวไปแล้ว ตามการคาดการณ์ของพี่ หลังจากนี้เธอก็ไม่ต้องแต่งให้ตระกูลฉินแล้วล่ะ ตระกูลฉินจบเห่แล้ว!”
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินต่างก็มองเย่เทียนเฉินอย่าเหลือเชื่อ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ เพียงแต่รู้ว่าตื่นตะลึงกับคำพูดของเขา ต่อไปนี้ฉีหรูเสวี่ยไม่ต้องแต่งให้ตระกูลฉินแล้ว? ตระกูลฉินจบเห่แล้ว? นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ใครที่มีความสามารถขนาดนี้ ถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตระกูลฉินกับตระกูลฉีได้?
“ลูก ความหมายของลูกคือ…ตระกูลฉินและตระกูลฉีเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ให้หรูเสวี่ยหมั้นกับฉินเหิงแล้ว?” หลัวเยี่ยนได้สติกลับมาก็ถามด้วยความแปลกใจ
“พี่ชาย พี่บอกว่าตระกูลฉินจบเห่แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?” เย่เชี่ยนเหวินเองก็กล่าวถามอย่างร้อนใจ
“ความลับสรรค์ไม่อาจแพร่งพราย!” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆ จงใจกระตุ้นให้อยากรู้
เย่เชี่ยนเหวินจ้องเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายใหญ่อย่างดุดัน เดินเข้าไปแล้วใช้มือเล็กๆ หยิกเอวเย่เทียนเฉิน เอ่ยขึ้นว่า “พี่คะ ถ้าพี่ยังกล้ามาพูดให้อยากรู้อยู่อีก หนูจะลงมือให้หนักเชียว!”
“เทียนเฉิน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลัวเยี่ยนนเองก็ถามด้วยความกังวล
ชั่วชีวิตนี้ต้องบอกว่าคนที่เย่เทียนเฉินกลัวที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเฉินน้องสาว ถ้าหากเป็นผู้หญิงแบบคนอื่นๆ อะไรนั่น เขาก็ไม่สนใจ หยอกล้อบ้างเป็นครั้งคราวก็เพื่อเติมความสุขให้ชีวิต มีเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่ไม่อาจทำผิดด้วยได้ ครอบครัว มีความสุขความผูกพันธ์อยู่ข้างใน
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนที่ผมตามไปถึง ฉินเหิงกับฉินเทาหยวนสองพ่อลูกก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว ส่วนฉินอี้ผู้เฒ่าคนนี้ ก็โกรธจนสลบไป แขกรับเชิญทั้งหมดของตระกูลฉินก็หนีไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”
เย่เทียนเฉินย่อมไม่อาจบอกเรื่องที่ตนเองไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินให้แม่กับน้องสาวฟังได้ ถ้านี่ยังไม่ทำให่พวกเธอตกใจสิแปลก คำที่พูดให้พวกเธอฟัง เพียงจะทำให้พวกเธอกังวลใจเป็นอย่างมาก หรือกระทั่งอกสั่นขวัญหาย อำนาจของตระกูลเย่ไม่อาจสู้ตระกูลฉินได้โดยสิ้นเชิง ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน เท้าถีบฉินเทาหยวน หมัดอัดฉินเหิง นำเขาใส่เข้าไปในโลงศพ แล้วยังทำให้ฉินอี้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โกรธจนลุกไม่ขึ้น ตรงที่เกิดเหตุก็มีผู้คนจำนวนมากเห็น เกรงว่าคราวนี้ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศ
ยังไม่รู้ว่าเรื่องคราวนี้จะสามารถจบดีๆ ได้หรือไม่ จะพัวพันมาถึงตระกูลเย่หรือไม่ แต่อย่างไร เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ ม้ามาใช้น้ำต้านรับ นี่คือนิสัยของเขา หากใครกล้ามาแตะต้องครอบครัวของเขา ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ ก็จะไม่ยอม
“ไม่จริงมั้ง? มีเรื่องแบบนี้เลยเหรอ?
“มีคนก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน?”
“ใครที่ร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับกล้าไปก่อเรื่องถึงตระกูลฉิน?”
“คงไม่ใช่คนที่ตามจีบพี่สาวหรูเสวี่ยหรอกนะ จะหล่อเกินไปแล้ว!”
ต่อให้เย่เทียนเฉินไม่ได้บอกเรื่องที่ตนเองไปก่อเรื่องที่ตระฉินกับแม่และน้อง ก็ยังทำให้พวกเธอตกตะลึงจนตื่นเต้นไม่หยุด พวกเธอย่อมไม่หวังให้ฉีหรูเสวี่ยแต่งไปยังตระกูลฉินแน่อยู่แล้ว เพราะฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ชอบฉินเหิงอะไรนั่นเลย แต่งเข้าไปก็จะทุกข์ทรมาณไปชั่วชีวิต ตอนนี้ได้ยินเรื่องเหล่านี้ของตระกูลฉิน นอกจากจะยินดีแล้วก็มีเพียงความประหลาดใจเท่านั้น แปลกใจว่าใครที่ร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับกล้าไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน
“ฉีหรูเสวี่ยทึ่มแบบนั้น ไม่มีคนตามจีบเยอะขนาดนั้นหรอก ก็คงแค่โชคดีเท่านั้นแหละ!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ฮี่ๆ พี่ชาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตามจีบพี่สาวหรูเสวี่ยหรือไม่ สรุปแล้วพี่สาวหรูเสวี่ยไม่ต้องแต่งให้ฉินเหิงเจ้าคนชั่วนั่นแล้ว นั่นก็คุ้มค่าที่จะดีใจแล้ว ส่วนคนโชคร้ายคนนั้น คนใจร้อนที่ก่อเรื่องกับตระกูลฉินจะต้องเจอกับความทุกข์ยากอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว พวกเราทำได้แค่อวยพรเขาเงียบๆ ในใจ ให้หนีการแก้แค้นของตระกูลฉินให้ได้!”
เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็เอือมระอาขึ้นมา เด็กคนนี้นี่ ยังไม่รู้ว่าตนเองคือคนที่ไปก่อเรื่องใหญ่โตที่ตระกูลฉิน นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการสาปแช่งพี่ชายตัวเองหรือ?
“พวกเธอก็ดีใจกันไปเถอะ พี่จะไปนอนสักพัก ตอนกลางคืนถึงเวลากินข้าวก็ค่อยเรียกพี่!” เย่เทียนเฉินเคาะเบาๆ ที่หัวของเย่เชี่ยนเหวินแล้วเดินตรงไปยังชั้นสองของคฤหาสน์
หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสองแม่ลูกต่างมองกันแล้วหัวเราะ ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเธอก็ชอบฉีหรูเสวี่ยมาก เพราะช่วงเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเย่นี้ พวกเธอสามคนเข้ากันได้ดีมาก ครั้งนี้ฉีหรูเสวี่ยไม่มีเรื่องอะไร พวกเธอจะไม่ดีใจได้อย่างไรกันล่ะ? เพียงแต่ที่ไม่รู้ก็คือ พี่ชายสุดหล่อที่กล้าไปก่อเรื่องถึงตระกูลฉินที่พวกเธอคิดคนนั้น จะเป็นเย่เทียนเฉินไปได้!
………………………………..